ผบ.ตร.ไม่ชี้ชัดกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่าทางมาเลเซียได้ควบคุม “ชายเสื้อเหลือง” มือวางระเบิดแยกราชประสงค์ และผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ เหตุยังไม่มีการประสานงานและยืนยันจากทางมาเลเซีย แต่หากมีการจับกุมจริงก็ต้องดำเนินตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ
วันนี้ (22 ก.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีระเบิดแยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร ว่ากรณีที่มีการกล่าวอ้างว่าทางมาเลเซียได้ควบคุมตัวชายเสื้อเหลืองไว้ได้นั้นจะเป็นการกล่าวอ้างโดยใคร หน่วยงานใดหรือสำนักข่าวไหน ในชั้นนี้ตนไม่สามารถยืนยันข้อมูลเหล่านั้นได้ เพราะยังไม่ได้รับการประสานงานมา ขณะเดียวกัน เราก็ไม่กล้าที่จะยืนยันข้อมูลหรือข่าวสารเหล่านั้น แต่สามารถบอกสื่อมวลชนได้ว่าตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ทำหน้าที่ในทุกมิติ ครอบคลุมเพื่อให้ได้ผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ แต่ในรายละเอียดตนไม่สามารถชี้แจงหรือยืนยันข้อมูลข่าวสารได้ ส่วนจะมีการควบคุมตัวชายเสื้อเหลืองไว้จริงหรือไม่ตนยังไม่ทราบในเรื่องนี้ และไม่ยืนยันว่ามีการควบคุมไว้หรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อมีข่าวออกมาขนาดนี้ได้มีการสอบถามไปทางมาเลเซียถึงความชัดเจนกับการควบคุมตัวใครหรือไม่อย่างไร พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า กรณีที่เป็นข่าวทางเราก็ดำเนินการตามหน้าที่ ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทำทุกเรื่องเพื่อที่จะตอบคำถามข้อสงสัยนั้นออกไป แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันหรือบอกถึงความชัดเจนได้ ส่วนการส่งเจ้าหน้าที่ไปประสานงานที่ประเทศมาเลเซียนั้นยังไม่มีการส่งใครไป ยืนยันไม่มีตำรวจสันติบาลไทยอยู่ที่ประเทศมาเลเซียเพื่อประสานงาน เพราะการจะส่งเจ้าหน้าที่คนใดหรือหน่วยงานใดเข้าไปต้องมีการร้องขอ
เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์กับ ผบ.ตร.มาเลเซียหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า มีการคุยในภาพรวมหลายวันมาแล้ว เรากับมาเลเซียจะทำงานร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารสนับสนุนภารกิจ ในการแก้ปัญหาทุกเรื่องที่มีความเชื่อมโยง ทั้งที่ทางไทยและมาเลเซียมีผลประโยชน์ต่อกัน ส่วนข้อมูลที่ตำรวจมีสำหรับชายเสื้อเหลืองถือว่าเป็นสัญญาณดีที่จะสามารถได้ตัวคนร้ายหรือไม่นั้น หากเป็นอย่างนั้นก็เป็นสัญญาณที่ดีแต่ตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นอะไร อย่างไร จนกว่าจะมีการประสานงานอย่างชัดเจนจึงจะมีการดำเนินการตามขั้นตอนได้
ถามต่อว่ากรณีที่ปรากฏตามข่าวว่าผู้ต้องสงสัยสารภาพว่าเป็นชายเสื้อเหลือง หากใช่จริงๆ จะมีการทำตามกระบวนการตามกฎหมายอย่างไร พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า เรื่องนี้ตนยังไม่ทราบเพราะว่ายังไม่ได้ยินเรื่องนี้ และหากเป็นเช่นนั้นจริงจะมีการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายหรือไม่นั้น ต้องสอบถามไปก่อนว่าควบคุมตัวและดำเนินคดีต่อผู้ต้องสงสัยนั้นดำเนินคดีในข้อหาอะไร และหากคนคนนั้นเป็นผู้ต้องหาจริง เราก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนตามช่องทางที่ถูกต้อง เมื่อถามว่าจากแนวทางการสืบสวนชายเสื้อเหลืองยังอยู่ในมาเลเซียหรือไม่ ผบ.ตร.ตอบว่า ยังไม่ทราบ ไม่ยืนยัน
พล.ต.อ.สมยศกล่าวถึงกรณีที่มีการออกหมายจับผุ้ต้องหาในคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา เป็ยนายทหาร 4 นายว่า เมื่อพนักงานสอบสวนอนุมัติขอหมายจับจากศาลแล้วหลังจากนั้นคงจะเป็นการประสานงานระหว่างหน่วยงาน เราต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะว่าอีกฝ่ายก็เป็นนายทหารมีหน่วยงานสังกัดชัดเจน ต้องมีการประสานงานและขอร้องให้ผู้บังคับบัญชานำมามอบตัว ส่วนจะมีแนวโน้มว่าจะการส่งตัวหรือติดต่อมาหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของพนักงานสอบสวน ตนคิดว่าไม่น่ามีปัญหา เพราะว่าคนเหล่านั้นมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งมีงานมีหน้าที่ ทุกอย่างคงต้องดำเนินการตามขั้นตอน ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 4 รายจะทำหน้าที่อะไรนั้นตนไม่ทราบต้องถามพนักงานสอบสวน
พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า สำหรับกรณีที่มีการโยกย้ายนายตำรวจระดับรอง ผบก.-ผกก.จำนวน 32 นาย นอกวาระประจำปี ในส่วนของสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เป็นเรื่องของมีความเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา เพราะว่าผ่านการสืบสวนสอบสวนจากจเรตำรวจ แล้ว ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชาวอุยกูร์ยังไม่มี ส่วนการแต่งตั้ง พล.ต.ต.ณัฐธร เพราะสุนทร รอง ผบช.สตม.เป็น ผบช.สตม.คนใหม่ ตนคิดว่า พล.ต.ต.ณัฐธรเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถและเป็นรอง ผบช.สตม.อยู่ด้วย และตนเชื่อว่าด้วยประสบการณ์ที่ทำงานมาคงจะมองเห็นปัญหาอะไรหลายๆ อย่าง และคิดว่า พล.ต.ต.ณัฐธรจะเป็นผู้ที่แก้ปัญหาเหล่านี้ได้
เมื่อถามถึงผลสอบของจเรตำรวจเกี่ยวกับการเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ยังไม่ได้ส่งมา เพราะกำหนดคือวันที่ 23 ก.ย.นี้ แต่หากทำไม่ทันก็สามารถขอขยายเวลาได้ ทั้งนี้ก็ได้มีการพูดคุยกับ พล.ต.ท.ศักดิ์ดา ชื่นภักดี ผบ.สตม.แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหน่วย สตม.ซึ่งเป็นหน่วยของ พล.ต.ท.ศักดิ์ดา ในฐานะผู้บังคับบัญชาต้องเป็นคนรับผิดชอบและแก้ไขปัญหานี้ จะมาปฏิเสธว่าไม่มีการกระทำผิดใดๆ เกิดขึ้นต้องมีการชี้แจงมา แล้วให้สังคมเป็นคนตัดสินว่ามีหรือไม่