ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ช่วงก่อนที่ยังไม่ถูกถอดยศ “พันตำรวจโท” ออกจากคำนำหน้าชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร เคยท้าเหยงๆ ว่า อยากถอดก็ถอด พูดทำนองว่าตัวเองไม่แคร์ จะเอายังไงก็เอา อย่ามัวชักช้าน่ารำคาญ คงเพราะเห็นว่า ท่าทีของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้มีอำนาจเซ็นถอดยศ ในขณะนั้น ยังกล้าๆ กลัวๆ และมีแนวโน้มว่าจะถ่วงเรื่องจนเกษียณอายุราชการ
แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ลงนามในคำสั่ง คสช.ที่ 26/2558 เรื่อง การดำเนินการเพื่อถอด พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ออกจากยศตำรวจ ลงประกาศในราชกิจจนุเบกษา มีผลตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2558
ทั้งนี้ โดยอ้างตามที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้รายงานและเสนอเรื่องการถอดยศ พันตํารวจโท ทักษิณ ชินวัตร ออกจากยศตํารวจ ในกรณีมีความผิดปรากฏชัดตามคําพิพากษาศาลถึงที่สุดแล้วว่า มีความผิดและยังมีข้อหาความผิดอาญาอื่น ๆ อีกหลายฐาน ซึ่งเป็นการเสื่อมเสีย หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา44 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นกรณีกระทบต่อความมั่นคงของชาติและมีความจําเป็นต้องดําเนินการเป็นการด่วน ทั้งได้ตรวจสอบข้อกฎหมายตามระเบียบสํานักงานตํารวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตํารวจ พ.ศ. 2547 และข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่ามีมูล สมควรใช้อํานาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่งให้ถอด พันตํารวจโท ทักษิณ ชินวัตร ออกจากยศตํารวจ
นายทักษิณก็ถึงกับเก็บอาการไว้ไม่อยู่
ในวิดีโอคลิปที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 7 กันยายน แม้นายทักษิณ จะพูดเหมือนคนที่ปลงแล้ว ว่าตนเองเป็นคนพุทธ ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ทุกอย่างที่เรามีวันนี้ ไม่ใช่ของเรา แม้กระทั่งตัวและร่างกาย ก็ไม่ได้เป็นของเรา จะไปยึดติดอะไรกันนักหนา ตอนตนเป็นนักธุรกิจ ตนไม่ใช้ยศเลย
แต่ในคำพูดประโยคต่อๆ มา มันสะท้อนว่า นายทักษิณไมไ่ด้ปลงอย่างที่พูดไว้ตอนแรก เพราะได้เหน็บแนมกลับไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ ว่า ตนมองพวกนี้เป็นเด็ก ตำแหน่งใหญ่ แต่พฤติกรรมเหมือนเด็ก ไม่ทำเรื่องสำคัญของบ้านเมือง เรื่องความเดือดร้อนของประชาชนไม่ทำ ทำแต่เรื่องเล็กๆ และก็เอาเรื่องเล็กๆ มาเป็นผลงาน แล้วก็แสดงเอาหัวใจความรักชาติของตัวเอง มาผูกขาดมารักชาติคนเดียว
นายทักษิณยังโวยวายต่อว่า ตอนปฏิวัติแรกๆ บอกว่าจะปรองดอง แต่ตอนนี้เป็นการล้างเผ่าพันธุ์ ถ้าอยากเหยียบอีก ก็เหยียบมาเลย ประเทศไทยเราแค่สามัคคีอย่างเดียว ก็ยังสู้ต่างประเทศไม่ได้ เพราะเราทำให้การเมืองอ่อนแอมาตลอด วันนี้ถ้าเราเชื่อผู้นำ ก็ลากชาติลงคลอง เพราะโลกเปลี่ยนไป
ส่วนบรรดาลูกสมุนบริวารของนายทักษิณ แม้จะไม่สามารถแสดงปฏิกิริยาอะไรออกมาได้ชัดเจนนัก แต่ก็พุดเลี่ยงๆ แกมประชดประชัน ว่า ถึงจะถูกยอดก็จะยังจงรักภักดีต่อนายใหญ่เสมอ
อีกด้านหนึ่ง นายธนเดช พ่วงพูล ทนายความและนักกฎหมายจากบริษัท ไลท์เฮ้าส์ลอว์เยอร์เซอร์วิส จำกัด ได้ไปยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพวกกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยอ้างว่า เมื่ออ้างการถอดยศตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฯ ก็ควรทำให้ครบขั้นตอนตามาตรา 28 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ที่ระบุไว้ว่า การถอดยศหรือการออกจากยศตำรวจชั้นสัญญาบัตร ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้ทำโดยประกาศพระบรมราชโองการ แต่ คสช.กลับใช้อำนาจมาตรา 44 ซึ่งไม่มีอำนาจดังกล่าว ทั้งนี้ ตามมาตรา 28 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ระบุไว้ชัดว่าการถอดยศต้องประกาศพระบรมราชโองการ แต่มาตรา 44 ที่ คสช.เอามาใช้นั้น จริงๆ ไม่มีอำนาจทำเช่นนั้น
นายธนเดชอ้างอีกว่า ต้องพิจารณาสอบสวนความผิดว่าเข้าข่ายละเมิดพระราชอำนาจหรือไม่ มองว่าเป็นการกระทำไม่บังควร และยืนยันว่าการออกมาครั้งนี้ไม่มีใบสั่งหรือรับการจ้างวาน ว่าจ้าง หรือไหว้วานจากใคร ตนเคลื่อนไหวเรื่องกฎหมายมาหลายครั้ง ออกมาในนามตัวเองและในนามกฎหมายพิทักษ์ผลประโยชน์ของรัฐ ไม่มีการเคลื่อนไหวให้ใครทั้งสิ้น และไม่เคยติดต่อกับนายทักษิณ ชินวัตรแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดโปงนายธนเดชว่า จากประวัติการทำคดีของนายธนเดช เขาคือทนายความของจำเลยในคดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฟ้องหมิ่นประมาท มีนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เป็นจำเลย ศาลชั้นต้ และศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุกนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เป็นเวลา 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ปัจจุบันคดีอยู่ในศาลฎีกา แล้วจะไม่เกี่ยวกับนายทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างไรในเมื่อนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง คือ แกนนำสำคัญคนหนึ่งของคนเสื้อแดงในการบุกล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา และศาลพัทยาตัดสินลงโทษจำคุก 4 ปีอีกด้วย
ส่วนทนายความอีกคนหนึ่งที่ไปกับนายธนเดช ก็เห็นเดินตามหลังนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นประจำ
นอกจากนี้ นายธนเดชมีอาชีพเป็นทนายความเป็นนักกฎหมาย ไม่เข้าใจหรืออย่างไรว่ามาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น ใช้ดำเนินการได้ทุกเรื่อง หากเป็นว่าเป็นกรณีที่มีความจำเป็นและกระทบต่อความมั่นคง
การไปยื่นร้องต่อ ผล.ตร.ให้สอบสวนเอาผิด พล.อ.ประยุทธ์ ที่ใช้ มาตรา 44 ถอดยศทักษิณ จึงเป็นเพียงการแสดงออกเพื่อแก้เกี้ยวแทนนายเท่านั้น
และโดยข้อเท็จจริง ก็มีการเคลื่อนไหวโดยยกเรื่องข้อกฎหมายมาอ้าง เพื่อคัดค้านการถอดยศนายทักษิณมาแล้วก่อนหน้านี้
โดยเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ต.อ.บรรจบ สุดใจ ประธานชมรมข้าราชการตำรวจบำนาญ 41 ได้ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คัดค้านการถอดยศนายทักษิณ โดยอ้างว่าการถอดยศตำรวจชั้นสัญญาบัตรที่อยู่นอกราชการไม่สามารถทำได้
ขณะที่บรรดาแกนนำคนเสื้อแดง อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็พากันออกมา เปิดแคมเปญ “เติม ก.ไก่ ให้นาย... ทักษิณ” เป็นการปลอบใจบรรดาเหล่าสาวก โดยการทำภาพหน้าปกโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก หรือ อินสตาแกรม ด้วยข้อความดังกล่าว ตามที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นางพินทองทา คุณากรวงศ์ บุตรสาวของนายทักษิณ เป็นผู้ริเริ่ม
อาการที่นายทักษิณและบรรดาลูกสมุนบริวารแสดงออก หลังจากการถอดยศมีผล จึงไม่ใช่การ “ไม่แคร์” อย่างที่พยายามสร้างภาพ แต่เป็นความพยายามกลบเกลื่อนความขมขื่นที่อยู่ภายในใจของนายทักษิณมากกว่า
นั่นเพราะนอกจากถอดยศแล้ว ยังจะมีเรื่องการริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นขั้นตอนต่อไป ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ.2548 ข้อ 7(2) ซึ่งกำหนดให้กระทำกับผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ซึ่ง พล.ต.อ.วศิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ได้กล่าวว่า การถูกถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นตราบาปสำคัญในชีวิตของข้าราชการทุกคนขายหน้าทั้งตนเองและวงศ์ตระกูล คนหน้าด้านเท่านั้นที่จะบอกว่าไม่เดือดร้อนแต่อย่างใด ในขณะที่สังคมมองดูด้วยความสมเพชและเหยียดหยามไปชั่วชีวิต
แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้นายทักษิณต้องดิ้นทุรนทุรายได้อย่างไร