xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“มารา ปาตานี” ฤๅแค่ปาหี่ไฟใต้โรงใหม่?!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

.ตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ ที่เข้าร่วมในมารา ปาตานี
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คลี่ม่านปิดฉากลงไปเรียบร้อยแล้วสำหรับ “เวทีพูดคุยสันติสุข” เพื่อนำไปสู่การ “ดับไฟใต้” ระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยจำนวน 15 คน กับตัวแทนกลุ่มผู้เห็นต่างจำนวน 15 คนเท่ากัน ซึ่งประเทศมาเลเซียในฐานะคนกลางหรือผู้อำนวยความสะดวกเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน

ถึงเวลานี้เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยน่าจะยังคงรู้สึกทั้ง “งุนๆ” และ “งงๆ” กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารที่ถูกนำเสนอต่อสาธารณะ ซึ่งนอกจากจะเป็นไปแบบกระท่อนกระแท่นแล้ว ยังแทบไม่มีใครหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใดๆ พยายามทำความเข้าใจกับสังคมให้กระจ่างในเรื่องนี้

เวทีพูดคุยสันติสุขเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จัดส่งคณะอย่างเป็นทางการไปร่วมโต๊ะเจรจากับกลุ่มผู้เห็นต่างที่มาเลเซีย และคราวนี้ก็แตกต่างกว่าครั้งก่อนๆ ตรงที่ 2 วันถัดมาคือวันที่ 27 สิงหาคมได้มีการเปิดเวทีให้กับตัวแทนกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนต่างๆ ได้มีโอกาสพบกับพูดคุยกับ “สื่อมวลชนไทย” อย่างเป็นพิเศษ ซึ่งมีทั้งสื่อมวลชนจากส่วนกลางและที่ไปจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

จนดูเหมือนความความตั้งใจที่จะให้มีการเปิดตัวองค์การใหม่ของฟากฝ่ายกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐไทย เพื่อให้สื่อมวลชนไทยที่ถูกขนไปรวม 14 ชีวิตได้นำกลับมาเผยแพร่ต่อให้คนไทยได้รับรู้ ขณะเดียวกันก็เพื่อให้สื่อมาเลเซียหรือสื่อจากนานาชาติได้นำเสนอเป็นข่าวไปทั่วโลกด้วยเช่นกัน อันเป็นองค์กรที่เพิ่งถูกสถาปนาขึ้นมาให้เป็นเหมือน “องค์กรร่ม (Umbrella Corporation)” หรือองค์กรตัวแทนจากการรวมตัวกันแบบหลวมๆ ขององค์กรย่อยๆ หลายองค์กร โดยชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า...

“มารา ปาตานี” หรือ “MARA Patani”
  
สำหรับที่มาของชื่อนี้ก็ยังไม่เป็นที่ยุติ โดยศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา เคยรายงานว่ามาจากชื่อเต็มคือ Majlis Amanah Rakya Patani และ ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี จากคณะรัฐศาสตร์ ม.อ.ปัตตานี ในฐานะ ผอ.สถาบันวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ (CSCD) ชี้ว่า ฝ่ายมาเลเซียกำหนดขึ้นเพื่อดึงเอาขบวนการปาตานี 6 กลุ่มที่พร้อมเจรจากับรัฐไทยมาร่วมไว้ในร่มเดียวกัน

แต่มีผู้ใช้ชื่อว่า “อาบู ฮาฟิซ อัล-ฮากิม (Abu Hafez Al-Hakim)” ที่เคยเขียนบทความให้กับสำนักข่าวอิศรา บอกเล่าเรื่องราววงในของกระบวนการพูดคุยสันติภาพในฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐไทย ตั้งแต่ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในช่วงการเจรจาครั้งนี้เขาได้เขียนบทความชิ้นใหม่อธิบายถึง MARA Patani ไว้ว่ามาจากคำเต็มคือ Majlis Syura Patani หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Patani Consultative Council (PCC)

MARA Patani เป็นข้อเสนอของกลุ่มบีอาร์เอ็นที่สนับสนุนการเจรจา ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2557 โดยมีสมาชิกทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่ และแนวร่วมติดอาวุธที่เคลื่อนไหวในนาม “บีอาร์เอ็น แอคชั่น กรุ๊ป (Barisan Revolusi Nasional : BRN Action Group)” เข้าร่วม แต่ไม่มีความชัดเจนว่ากลุ่มดังกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มบีอาร์เอ็นหลักที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อสถานการณ์ในชายแดนใต้หรือไม่

กลางเดือนมีนาคม 2558 กลุ่มบีอาร์เอ็น แอคชั่น กรุ๊ป ได้เสนอแนวคิด MARA Patani ให้กับกลุ่มเคลื่อนไหวปลดปล่อยปาตานีกลุ่มอื่นๆ และได้เชิญให้รวมกลุ่มกันภายใต้องค์กรเดียว เพื่อกำหนดแนวทางในการเคลื่อนไหว และหารือข้อเสนอสำหรับเจรจากับไทยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งปรากฏว่ามีอีก 5 กลุ่มที่เข้าร่วม ประกอบด้วย บีไอพีพี (Barisan Islam Pembehbasan Patani : BIPP), พูโล-พี 4 (Pertubuhan Persatuan Pembebasan : PULO-P4), พูโล-ดีเอสพีพี (Pertubuhan Pembebasan Bersatu : PULO-dspp), พูโล-เอ็มเคพี (Pertubuhan Pembebasan Bersatu : PULO-mkp) และ จีเอ็มไอพี (Gerakan Mujahidin Islam Patani : GMIP)

เขายังอ้างแหล่งข่าวใน MARA Patani ว่า การก่อตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาได้รับความเห็นชอบจากกลุ่มเคลื่อนไหวทุกกลุ่ม และไม่ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลหรือการกดดันจากตัวกลางฝ่ายมาเลเซีย โดยกลุ่มนี้มีจุดประสงค์ร่วมการเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลไทย โดยได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากนานาชาติในสิทธิที่จะกำหนดสถานะของตนเองของประชาชนปาตานี

ในวันเปิดตัวกับสื่อไทยและเทศที่ 27 สิงหาคมนั้น มีการปรากฏตัวของบรรดาตัวแทนมารา ปาตานี รวม 7 คน ประกอบด้วย นายอาวัง ยาบะ ผู้แทนจากกลุ่มบีอาร์เอ็น ในฐานะประธานมารา ปาตานี, นายสุกรี ฮารี หรือ อุสตาซสุกรี ผู้แทนจากกลุ่มบีอาร์เอ็น ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจา, ดร.อารีฟ มุคตาร์ ผู้แทนจากกลุ่มพูโล-เอ็มเคพี (พูโลใหม่), นายอาบูยาซิน อาบัส ผู้แทนจากกลุ่มบีไอเอ็มพี, นายหะยีอาหะมัด ชูโว หรือ ฮัจยีมะห์มุต ผู้แทนจากกลุ่มบีอาร์เอ็น, นายอาบูอากรัม บินฮาซัน ผู้แทนจากกลุ่มพูโล-ดีเอสพีพี (พูโลเก่า) และ นายอาบู ฮาฟิซ อัล ฮากิม ผู้แทนจากกลุ่มบีไอพีพี ซึ่งคนหลังนี้ก็คือคนเขียนบทความให้ข้อมูลวงในกลุ่มผู้เห็นต่างกับรัฐไทยนั่นเอง

ในส่วนของผลเจรจาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น องค์กรมารา ปาตานี ระบุว่าทุกขบวนการที่เคลื่อนไหวจุดมุ่งหมายสูงสุดคือ “เอกราช” แต่เงื่อนไขอยู่ที่การพูดคุยกับรัฐบาลไทย ขณะนี้การพูดคุยยังอยู่ในช่วงของการสร้างความไว้วางใจต่อกัน

โดยเสนอข้อเรียกร้องต่อทางการไทย 3 ข้อประกอบด้วย 1.กำหนดให้การพูดคุยเพื่อสันติสุขเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องแม้เปลี่ยนรัฐบาล 2.ยอมรับองค์กรมารา ปาตานี ว่าไม่ใช่กลุ่มที่มีความเห็นต่างจากรัฐ และเป็นองค์กรที่อยู่บนโต๊ะเจรจา และ 3.ให้การคุ้มครองทางกฎหมายกับคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขขององค์กรมารา ปาตานี จำนวน 15 คน เพื่อให้สามารถเดินหน้าการพูดคุยอย่างเป็นรูปธรรม

ส่วนเรื่องที่จะมีการสื่อสารกับคนปาตานี ซึ่งหมายถึงพื้นที่ชายแดนใต้ เพื่อให้เข้าใจการทำงานนั้น หากตัวแทนกลุ่มยังไม่สามารถเข้าไปทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ได้ ก็จะเชิญคนในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นผู้นำศาสนา องค์กรพัฒนาเอกชน หรือผู้นำชุมชนไปพูดคุยกันนอกพื้นที่ และเมื่อขั้นตอนไปถึงจุดที่ทางกลุ่มสามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ ก็จะเดินทางไปทำความเข้าใจถึงในพื้นที่ แต่แนวทางนี้คงต้องใช้เวลาสักพัก

ขณะที่ผู้แทนรัฐไทยโดย พล.อ.อักษรา ประธานที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก ในฐานะหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข ให้ข้อมูลว่าได้เสนอความร่วมมือในการทำงานร่วมกันกับผู้เห็นต่างที่จะก่อให้เกิดผลดีในพื้นที่กลับไป 3 ข้อเช่นกันคือ 1.ความปลอดภัยในพื้นที่ โดยการกำหนดพื้นที่ปลอดภัยร่วมกับผู้เห็นต่าง เพื่อให้เห็นผลอย่างถาวร ซึ่งจะใช้เสียงของประชาชนเป็นตัวชี้วัด 2.การพัฒนาที่ได้ดำเนินการมากว่า 10 ปีที่ผ่านมาก็ตรงตามความต้องการของผู้เห็นต่าง ตลอดจนความต้องการเร่งด่วน ซึ่งอยากให้กลุ่มผู้เห็นต่างได้แจ้งความต้องการ แล้วเราจะนำไปพิจารณาดำเนินการต่อไป และ 3. ความยุติธรรมในพื้นที่จะต้องพูดคุยกันอีกครั้ง แต่รัฐบาลไทยมีหน่วยงานที่ดูแลอย่างชัดเจน

ด้าน พล.ต.ชวลิต เรืองแสง ผอ.สำนักบังคับใช้กฎหมายและสิทธิมนุษยชน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ถือเป็นหน่วยงานหลักแก้ไขปัญหาความไม่สงบในชายแดนใต้ ขณะนี้ได้จัดทำแผนไว้ 3 ขั้นตอนคือ 1.สร้างความไว้วางใจให้เกิดกับทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งมีระยะการทำงานตั้งแต่ ก.ย.-ธ.ค.2558 2.ทำให้มีการลงสัตยาบันของทั้ง 2 ฝ่ายช่วง ม.ค.-เม.ย.2559 และ 3.จัดทำโรดแมปในพื้นที่ที่ปลอดความรุนแรง เช่น โรงพยาบาล ตลาด วัด มัสยิด เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม จากข่าวคราวการเปิดเวทีพูดคุยสันติสุข หรือการเจรจาเพื่อหาทางดับไฟใต้รอบล่าสุดนั้น ผู้ชื่นชอบมองสังคมแบบเรียลิตี้บางคนอาจพานคิดไปได้ว่า นี่เป็นความสำเร็จอีกขั้นของการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นบนแผ่นดินปลายด้ามขวาน แต่สำหรับผู้ที่มีสายตาที่สามารถพินิจพิเคราะห์สักหน่อย โดยให้ความสำคัญกับเรื่องราวในอดีต แล้วจิ๊กซอว์ต่อภาพไปยังอนาคต ก็จะพบเห็นเรื่องราวที่เป็นที่น่าวิตกกังวลไม่น้อย

สำหรับผู้คนในชายแดนใต้ ซึ่งต้องอยู่ท่ามกลางไฟสงครามของความขัดแย้ง เสียงระเบิด เสียงปืน เสียงกรีดร้องของผู้คน ต้องทนทุกข์กับสถานการณ์ความรุนแรงนานเกินกว่า 10 ปีมาแล้วนั้น การเปิดโต๊ะเจรจาระหว่างรัฐไทยกับกลุ่มผู้เห็นต่าง ล้วนสร้างความหวังที่เพริศแพร้วไปเสียทุกครั้ง

แต่การเจรจาแบบโชว์ออฟทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา สิ่งที่เป็นบทสรุปก็ล้วนให้เวลาผ่านเลยไปแบบแทบไร้แสงริบหรี่ส่องสว่างที่ปลายอุโมงค์

ภายหลังการเจรจาดับไฟใต้ครั้งนี้พ้นผ่าน มีการตั้งข้อสังเกตจากหลายฝ่ายไว้อย่างน่าสนใจ ประกอบด้วย ประการแรก-การเกิดขึ้นขององค์กร “มารา ปาตานี” ที่รวมตัวอย่างหลวมๆ จากหลายขบวนการแบ่งแยกดินแดน เรื่องไม่ใช่เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับชายแดนใต้ แล้วองค์กรต่างๆ ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ก็มีเกิดใหม่ แตกแยก แบ่งฝ่าย ขยายและหดหายให้เห็นอยู่บ่อยๆ

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ในปี 2532 เคยมีการแจ้งเกิดองค์กรแบบเดียวกันนี้มาแล้วคือ “เบอร์ซาตู” หรือ “ขบวนการร่วมเพื่อเอกราชปัตตานี” ที่มี ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน หัวหน้ากลุ่มบีไอพีพี เป็นแกนหลักในการจัดตั้งและนั่งเป็นประธานเบอร์ซาตู แต่ในวันนี้แม้เพียงแค่ชื่อก็แทบไม่มีใครพูดถึง ขณะที่กลุ่มบีไอพีพีในวันนี้ก็ได้เป็น 1 ใน 6 กลุ่มที่เข้าร่วมในองค์กรร่มอย่างมารา ปาตานี อีกครา

ประการที่ 2 การมารวมตัวกันอย่างหลวมๆ รวม 6 กลุ่มเป็นองค์กรมารา ปาตานี ดังกล่าวส่วนใหญ่จัดว่าเป็น “สายพิราบ” ที่แทบไม่มี “สายเหยี่ยว” เข้าร่วม แถมในเวลานี้มีการประมาณการกันว่ามีถึง 13 ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เคยปฏิบัติการและเคลื่อนไหวนายแดนใต้ แสดงว่าการมาร่วมตัวกันครานี้ยังได้ไม่ถึงครึ่งเลย

โดยเฉพาะขบวนการบีอาร์เอ็นที่อยู่ในองค์กรมารา ปาตานี เวลานี้ก็ไม่ใช่สายฮาร์ดคอร์ “บีอาร์เอ็น โคออร์ดิเน็ต (BRN Coordinate)” ที่มีกำลังรบหลักและเปิดปฏิบัติการอยู่ในชายแดนใต้ อีกทั้ง นายซำซูดิง คาน หนึ่งในแก่นแกนพูโลที่กุมกองกำลัง “พีแอลเอ (Patani Liberation Army : PLA )” ที่เปิดปฏิบัติการในชายแดนใต้เช่นกันก็ไม่ได้มีชื่อเข้าร่วม

ประการที่ 3 สำหรับองค์กรมารา ปาตานี ในมุมมองของผู้นำรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงไทยแล้ว เวลานี้ยังมากมายไปด้วยข้อฉงนสนเท่ห์ โดยเฉพาะคำถามคำโตๆ ที่ว่าทั้งองค์กรและตัวแทนที่เข้าร่วมโต๊ะเจรจาด้วยนั้น ล้วนแล้วแต่ “เป็นตัวจริงเสียงจริง” จริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงที่ฝ่ายมาเลเซียในฐานะผู้อำนวยความสะดวกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้กระบวนการเจรจาได้เดินหน้า

เรื่องนี้ยืนยันได้จากความจริงแล้ว “เวทีพูคุยสันติสุข” ควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2558 ที่ผ่านมา อันเป็นไปตามกำหนดเดิม แต่กลับถูกโรคเลื่อนรุมเร้ามาต่อเนื่อง โดยแทนที่จะต้องเกิดก่อนห้วงรอมฎอนหรือเดือนถือศีลอด แต่รัฐไทยกลับขอใช้ช่วงเวลาเดือนอันศักดิ์สิทธิ์ของพี่น้องมุสลิมนี้ เพื่อการพิสูจน์ความรุนแรงและความถี่ของสถานการณ์ไฟใต้เสียก่อนจึงจะยอมพูดคุยด้วย

ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสิ่งที่ค้างคาใจผู้นำรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงไทยอีกอย่างหนึ่ง และควรต้องถือว่ามีน้ำหนักที่ต้องให้ความสำคัญพอสมควรคือ หลายๆ สิ่งที่ประกอบขึ้นมาในนามองค์กรมารา ปาตานี เป็นผลต่อเนื่องมาจากการเปิดโต๊ะเจรจาของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายใต้ปีกโอบของระบอบทักษิณชุดก่อน แม้ฝ่ายของกลุ่มผู้เห็นต่างในวันนี้จะไม่มีชื่อของ นายฮัสซัน ตอยิบ ก็ตาม

ประการสุดท้าย เป็นเรื่องราวภายในของคณะพูดคุยสันติสุขที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งก็มีมาจากหลายปีก แม้การขบเหลี่ยมจะยังไม่ปรากฏเป็นข่าว แต่ก็ไม่เป็นเอกภาพเท่าที่ควร โดยเฉพาะความเห็นที่ไม่ค่อยจะลงรอยเกี่ยวกับมุมมองต่อกลุ่มผู้เห็นต่างว่าเป็นตัวจริงหรือไม่ และควรจะว่างท่าทีหรือแสดงในระดับไหน

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีกระแสเสียงหลุดรอดออกมาจากคณะพูดคุยสันติสุขว่า พล.อ.อักษรา เกิดผล เคยถอดใจไม่ขอเป็นหัวหน้าคณะเจรจา ด้วยมองเห็นกระบวนการพูดคุยที่นำไปสู่การบรรลุผลได้ยากยิ่ง แถมตัวเองก็ใกล้เกษียณราชการ ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้รับมอบบทบาทให้ทำหน้าที่ต่อหรือไม่ และที่สำคัญกว่าคือ อายุของรัฐบาล คสช.ชุดปัจจุบันก็ดูท่าจะเหลือเวลาไม่มากพอที่จะทำให้การเจรจาเป็นไปตามวาดหวัง

อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมมองต่อกระบวนการสร้างสันติสุข หรือสันติภาพ หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ว่าเป็นการเปิดเจรจาเพื่อเดินหน้าดับไฟใต้นั้น ต้องไม่ลืมว่าฝ่ายทหารเองได้เปิดยุทธการเจรจากับกลุ่มเห็นต่าง โดยเฉพาะภายใต้การนำของแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ถูกส่งไม้ให้กับ พล.ท.ปราการ ชลยุทธ อยู่ในวันนี้ ซึ่งเป็นไปในลักษณะที่ค่อนข้างครอบคลุมและต่อเนื่องมาโดยตลอด ประเด็นนี้ถือเป็นความหวังได้อย่างแน่นอน เพียงแต่เมื่อการเจรจาเป็นไปในทางลับ ผลที่ได้จึงไม่มีปรากฏเป็นข่าวก็เท่านั้น

ดังนั้น ถ้าจะคาดการณ์หรือเพียงคาดหวังต่อเรื่องราวของการเจรจาเพื่อดับไฟใต้แล้ว การเปิดโต๊ะพูดคุยระหว่างตัวแทนรัฐไทยกับฝ่ายผู้เห็นต่างแบบ “โชว์ออฟ” ก็น่าจะมีคำตอบอยู่ในตัวของมันเองแล้วว่าแตกต่างอย่างไรกับแบบ “ใต้ดิน”

ที่สำคัญสังคมไทยก็ได้เห็นอย่างเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดวงเจรจาอย่างเอิกเกริกในสมัยนักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร ยังครองเมือง หรือตอนออกไปเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ แต่ยังแผ่อิทธิพลให้กับคนในระบอบที่ตัวเองบงการ โดยเฉพาะตัวอย่างคลาสสิกในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือแม้แต่การจัดแถลงข่าวทางทีวีที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รับบทเป็นพระเอกนั่นไง





นายอาวัง ยาบะ ผู้แทนจากกลุ่มบีอาร์เอ็น ในฐานะประธานมารา ปาตานี

เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ ..ใช่ว่า เมื่อมีการเปิดโต๊ะเจรจาอย่างเป็นทางการแล้ว  จะไม่เกิดเหตุร้ายแบบนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น