ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ปรากฏกาย ทำตัวให้เป็นข่าวต่อเนื่องในระยะนี้ สำหรับสัมภเวสีสัญชาติมอนเตเนโกร “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายก รัฐมนตรี โดยเฉพาะในช่วงที่ดูเหมือนตัวเองและลูกหาบกำลังตกที่นั่งลำบากหลายๆ ทาง โดยเฉพาะกรณีที่คนตัวเล็กใจใหญ่ “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ออกโรงมาสะสางปัญหาถอดยศ พ.ต.ท.ของ “ทักษิณ” ที่ยืดเยื้อยาวนานมาหลายสมัย กระทั่งสิ้นกระแสความโดยใช้เวลาไม่นาน พร้อมเคลียร์คัตชัดเจนว่า ทำได้
ส่งผลให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ต้องเล่นบทตามน้ำทุบโต๊ะให้ สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ (สตช.) รับไปดำเนินการให้แล้วเสร็จ แถมมีช็อตติดพันเรียกเรตติ้งตัวเองไม่ปล่อยให้ “บิ๊กต๊อก” ออฟไซด์เกินหน้า ด้วยการรับลูกเรื่องการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ท่าถูกนักข่าว ถามยัดปากว่า ต้องทำเคียงคู่กับกรณีถอดยศ และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอน
เรียกว่านับถอยหลังปลดยศฐาบรรดาศักดิ์ เหลือเพียง “นายทักษิณ” เต็มที
สัญญาณลบถึงเครือข่าย “ทักษิณ”
ในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีเรื่องร่างรัฐธรรมนูญที่ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญของ “อ.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เคาะออกมาให้มี คณะกรรมการยุทธศาสตร์ปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ ที่เป็นการจำลองโมเดล “คสช.” มาไว้ในรัฐธรรมนูญ มีอำนาจเหนือฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ เสมือนถือมาตรา 44 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ไว้ในมือ โดยให้เหตุผลว่าเป็น “ทางหนีไฟ” ในกรณีที่มีเหตุการณ์ไม่คลาดฝัน ทำให้รัฐบาลหรือกฎหมายปกติไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
พรวดเดียวกับข้อเสนอของ “อ.ปื๊ด” ที่สอดรับกับไอเดียของ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่โยนหินถามทางให้มีการถามคำถามในการทำประชามติเพิ่มอีกคำถามว่า สมควรจะให้มีรัฐบาลปรองดองแห่งชาติมาบริหารประเทศในระยะเวลาหนึ่งก่อนหรือไม่
ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปในลักษณะที่เหมือนกำลังไล่อีกฝั่งให้จนตรอก กล่าวคือ ทิศทางการเมืองไทยในตอนนี้ มีแนวโน้มว่า “ทักษิณ” และบรรดาลิ่วล้อ จะสูญเสียประโยชน์และตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบตามกติกาใหม่ และจากการดำเนินการข้างต้นทั้งสิ้น
ประเด็นถอดยศที่ “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของ “ทักษิณ” ใช้พื้นที่เฟซบุ๊กโพสต์ข้อความออกมาในลักษณะช่างมันฉันไม่แคร์
“เวลานี้พ่อผมน่าจะเลือกที่จะใช้ชีวิตเป็นนายทักษิณ ที่สามารถใช้ชีวิตอบอุ่นอยู่กับครอบครัวและลูกหลานได้อย่างปกติสุขอย่างคนทั่วไป มากกว่าที่จะต้องมาผจญวิบากกรรมจากกระบวนการยุติธรรมที่ตั้งเรื่องมาจากองค์กรอิสระที่บิดเบี้ยว” เฟซบุ๊กพานทองแท้ ระบุ
แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว มันเป็นอาการ “เลือดขึ้นหน้า” หรือไม่ เพราะหากไม่สนใจกับการดำเนินการดังกล่าว โดยปกติคนทั่วไปจะไม่ใส่ใจแล้วออกมาเต้นแรงเต้นกาก็ได้
แม้ในการดำรงชีวิตการถอดยศหรือการเรียกคืนเครื่องราชฯจาก “ทักษิณ” แทบจะไม่มีผล เพราะทุกวันนี้ก็เร่ร่อนใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ แต่ในทางการเมืองแล้วนี่การตัด “เส้นบางๆ” ระหว่าง “ทักษิณ” กับสิ่งที่เจ้าตัวพยายามจะ “เข้าหา” เพื่อแสวงหาทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน
การถอดยศและการเรียกคืนเครื่องราชฯจึงเป็น “บทอวสาน” ของการเดินทางเข้าประเทศไทย เสมือนเป็นการปิดประตูตาย ไม่รับทุกเงื่อนไข แม้แต่ “ดีล” ที่พยายามจะหยิบยื่น แล้วยังเป็นการส่งสัญญาณว่า ตราบใดที่ “บิ๊กตู่” และ คสช.ยังอยู่ “ทักษิณ” จะไม่ได้รับความปรานีหรือรับการต่อรองอะไรทั้งสิ้น
รัฐธรรมนูญใหม่สูตร “ยาแรง”
ขณะที่ประเด็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ นี่คือ “ยาแรง” ของจริงของ คสช. เพราะนั่นเป็นการปิดทุกประตูที่ พรรคเพื่อไทยจะกลับมาแล้วทำอะไรก็ได้เหมือนก่อนๆ แม้จะชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายแค่ไหนก็ตาม คิดได้ล่วงหน้าเลยว่า ต่อให้เลือกตั้งกี่ครั้ง พรรคเพื่อไทยจะชนะทุกรอบก็ไม่มีความหมาย เพราะมีคนคอย “ถ่วงดุลอำนาจ” อยู่
สำหรับประเด็น “รัฐบาลปรองดองแห่งชาติ” นี่คือ การหยิบยื่นข้อเสนอในแกมบังคับไปยังพรรคเพื่อไทย ว่า จะยอมถอยร่นมาอยู่ในจุดที่จัดไว้ให้หรือไม่ เพราะอย่างน้อยก็ยังเหลือพื้นที่ให้ยืนอยู่ แต่ก็ถือเป็นเดิมพันสำคัญ เพราะจะเท่ากับ “ระบอบทักษิณ” ต้องก้มหัวให้กับ คสช.ผู้ที่ใช้กระบอกปืนเข้ามาบังคับให้ตัวเองลงจากอำนาจ
นอกจากเรื่องร้อนๆที่ว่ามาแล้ว ท่าทีของ คสช.ในระยะหลังที่ขึงขังไม่ไว้หน้า “ทักษิณ” ครั้งนี้ ยังสะท้อนสัญญาณไปยังเรื่องต่างๆ ที่เหลือต่อจากนี้ว่า มีความเป็นไปได้สูงแล้วว่า จะออก “หัว” หรือ “ก้อย” มากกว่ากัน
โดยเฉพาะคดีสำคัญๆ ของ “เพื่อไทย” ที่อยู่ในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกเป็นกระบุงโกย ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคดีละเว้นไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวจนก่อให้เกิดความเสียหายของน้องสาวในไส้ตัวเองอย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่วันนี้เธอยังคงอยู่ในประเทศไทย
หรือคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยมิชอบ ที่ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นน้องเขย ตกเป็นจำเลยขณะนี้
จากเดิมคนแดนไกลค่อนข้างมั่นใจว่า คดีนี้น่าจะยังไม่จบภายในรัฐบาลชุดนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั่นย่อมเป็นการแสดงว่า ทุกอย่างอาจไม่เสมอไปแล้ว และมันอาจออกมาในทางที่เป็น “ลบ” กับตัวเองสูงมาก
เมื่ออยู่ในสภาวะถูกไล่บี้ทุกกระเบียดนิ้ว มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่าง “ทักษิณ” จะปลง และอยู่เฉยๆ เพียงฝ่ายเดียว ตามคิวที่ออกมาด่ากราดรัฐบาลถี่ขึ้นเรื่อยๆ มีการอัปเดตความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
อย่างก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน โผล่ไปถึงเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เพื่อร่วมงานเลี้ยงของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ภายใต้ชื่องาน "เรามันพี่น้องกัน" ที่ร้านอาหารไทย-จีน Tang Dynasty พร้อมกับมีคลิปวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญและเศรษฐกิจภายในประเทศไทยอย่างดุเดือด
รวมถึงการเคลื่อนไหวล่าสุดที่ไปโผล่ประเทศเยอรมนี พร้อมมีการปล่อยข่าวถึงเนื้อหาในวงสนทนา ในขณะที่องคาพยพอื่นๆ แม้แต่ “ยิ่งลักษณ์” เองก็ออกมาชะยันโตร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “โหรปื๊ด” แบบยับเยิน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอโลว์โปรไฟล์ แค่เฉิดฉายเลี้ยงกระแสโดยการเดินทางไปโชว์ตัวที่นู่นที่นี่เท่านั้น
ความเคลื่อนไหวขององคาพยพเพิ่มดีกรีความเข้มข้นและต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ นั่นอาจะเป็นการสะท้อนว่า ที่ผ่านมาคนเหล่านี้ถอยสุดแล้ว หลังจากนี้ไม่มีทางเลือกนอกจาก “ลุกขึ้นสู้” แลกกันหมัดต่อหมัด เมื่ออีกฝ่ายส่งสัญญาณชัดว่า ไม่มีการรอมชอมใดๆ สารพัด “ดีล” ที่พยายามเข้าหาไม่มีความหมาย แถมระยะหลังยัง “ล่ม” อยู่เสมอ
ที่บอกว่า “ปลง” จึงขัดกับพฤติการณ์ และน่าจะเป็นอาการ “ปรี๊ด” ถึงจะถูก!!!
จับตาลูกเล่น “บิ๊กอ๊อด” ณ สตช.
แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ว่าเรื่องการถอดยศจะสุดซอยหรือไม่ เพราะในขณะที่จำเลยอย่าง “ทักษิณ” ทำท่ายกธงขาว แต่โจทก์อย่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ปลายยุค “บิ๊กอ๊อด - พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่กำลังจะปลดระวางเกษียณอายุราชการในอีกเพียงเดือนเศษ ก็ยังไม่เป็นที่ไว้วางใจว่าจะทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ
แม้ “บิ๊กอ๊อด” จะประกาศลั่นไปทั่วคุ้งทั่วแควว่า เป็นลูกผู้ชายพอไม่ผลักภาระเรื่องนี้ให้กับ ผบ.ตร.คนใหม่ และจะเป็นผู้บันทึกหน้าประวัติศาสตร์ว่า ทำเรื่องนี้สำเร็จในยุคของตัวเอง หลังจากที่ ผบ.ตร.รุ่นพี่ก่อนหน้านี้ 7 คนทำไม่สำเร็จ แต่ก็อย่าลืมว่าเป็นคำพูดของ “บิ๊กอ๊อด” คนเดิมที่เคยออกอาการบิดพลิ้วเตะถ่วงจนเรื่องคาราคาซัง แถมโยนเรื่องไปกระเด็นกระดอนไปมาจนเป็นที่ระอาใจของคนที่ติดตามข่าว ทั้งที่มีรายงานสรุปของคณะกรรมการที่ตัวเองแต่งตั้งเสร็จสรรพแล้ว
ซึ่งหากเลือกเดินทางกระบวนการของ สตช.เป็นการภายในตั้งแต่วันที่ พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา สบ.10 ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ “ถวายพาน” ขึ้นมาให้ เรื่องก็จบในตัวเอง ไม่ต้องมาถูก “บิ๊กต๊อก” จัดประชุมและล้วงลูกในเรื่องอำนาจของ สตช. ทั้งที่ตัวเองก็รู้อยู่เต็มอก
ที่สำคัญยังถูกขโมยซีน และจับไต๋ได้ว่า สตช.ไม่เอาจริง
โบราณว่า คำพูดเป็นนายตัวเอง ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น นับถอยหลังเหลืออีกเดือนเศษ “บิ๊กอ๊อด” ก็จะกลายเป็นอดีต ผบ.ตร. ก็ต้องรอดูว่าที่สุดจะเดินหน้าถอดยศ “ทักษิณ” ตามที่ได้ประกาศไว้หรือไม่ หรือจะเลือกประคองตัวอ้างลมฟ้าอากาศไปจนหมดหน้าที่
ยิ่งล่าสุดมีเหตุระเบิดราชประสงค์ตัวช่วยเบี่ยงประเด็น โดยที่ไม่ต้องลงทุกใช้มุกกาสิโนเหมือนอย่างที่เคย ก็ไม่รู้ว่าจะกลายมาเป็นข้ออ้างว่า ต้องติดตามทำคดีระเบิดอย่างใกล้ชิด จนหลงลืมไปว่าภารกิจที่สังคมเฝ้ารอคอยอยู่คืออะไรหรือไม่ ทั้งที่ไม่น่าจะเกี่ยวกันเลย
อีกไม่นานก็รู้ว่าคนชื่อ “บิ๊กอ๊อด” เป็นลูกผู้ชายตัวจริงรึเปล่า