“ป.ป.ช.” ชี้ศาลฎีกาฯ นักการเมืองทำถูกไม่ให้อัยการว่าความแก้ต่างให้ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพวก” คดีสลายพันธมิตรฯ ปี 2551 เหตุอัยการรู้สำนวนไต่สวน ป.ป.ช.ทั้งหมด
วันนี้ (20 ส.ค.) นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีองค์คณะผู้พิพากษาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 4 ราย ในฐานะจำเลย กรณีกล่าวหาสั่งสลายการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2551 มี่มติ 8 ต่อ 1 ไม่อนุญาตให้นายสมชายกับพวก แต่งตั้งพนักงานอัยการเข้ามาต่อสู้คดีนี้ เนื่องจากพนักงานอัยการไม่มีอำนาจว่าความแก้ต่างให้จำเลยทั้ง 4 คน พร้อมสั่งให้จำเลยทั้งสี่แต่งตั้งทนายความคนใหม่เข้ามาดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีต่อไปว่า
“เป็นดุลพินิจขององค์คณะผู้พิพากษาในศาลฎีกาฯ ตามหลักการแล้วอัยการไม่สามารถเข้าไปแก้ต่างให้กับนายสมชายกับพวกได้ เพราะคดีนี้ ป.ป.ช.เป็นผู้ชี้มูลความผิด และส่งให้อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นผู้ฟ้อง อย่างไรก็ดี อสส.เห็นว่าสำนวนยังไม่สมบูรณ์จึงตั้งคณะทำงานร่วมฯ เพื่อทำสำนวนให้สมบูรณ์ แต่ท้ายสุด อสส.ก็ไม่สั่งฟ้อง ป.ป.ช.จึงเป็นผู้ฟ้องคดีเอง ดังนั้น หากพนักงานอัยการเข้าไปเป็นทนายแก้ต่างให้นายสมชายกับพวกก็ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะฝ่ายอัยการรู้สำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช.ทั้งหมดแล้ว การที่องค์คณะผู้พิพากษาในคดีดังกล่าวมีความเห็นดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 58 ที่ผ่านมา องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีความที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 4 ราย ในฐานะจำเลยกรณีคดีกล่าวหาการสั่งสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551
การออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีความครั้งนี้ยังไม่มีการพิจารณาคดี เนื่องจากฝ่ายจำเลยได้แต่งตั้งพนักงานอัยการเข้ามาทำหน้าที่ทนายแก้ต่างในคดีให้ ซึ่งองค์คณะผู้พิจารณาเห็นว่าพนักงานอัยการไม่มีอำนาจว่าความแก้ต่างในคดีนี้ให้แก่จำเลยทั้งสี่ พร้อมสั่งการให้จำเลยทั้งสี่แต่งตั้งทนายความคนใหม่เข้ามาดำเนินการกระบวนพิจารณาคดีต่อไป
องค์คณะผู้พิพากษาพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติองค์กรอัยการ และพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 11 บัญญัติว่า “ให้มีพนักงานอัยการไว้เป็นทนายแผ่นดินประจำศาลต่างๆ ...” แม้จะมีบทบัญญัติในมาตรา 14 (4) บัญญัติถึงอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการ แต่การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายแผ่นดินตามมาตรา 11 มิใช่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อต่อสู้คดีกับแผ่นดินในกรณีที่แผ่นดินโดยองค์กรของรัฐเป็นผู้ฟ้องคดีเสียเอง
ประกอบกับการดำเนินคดีนี้ ศาลจะต้องใช้สำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นหลักในการพิจารณา เมื่อปรากฏจากคำฟ้องว่า อัยการสูงสุดส่งสำนวน รายงานและเอกสารที่เกี่ยวข้องคืนให้แก่โจทก์เพื่อฟ้องคดีเอง แสดงว่าอัยการสูงสุดเห็นควรไม่ฟ้องคดีนี้ให้แก่องค์กรของรัฐแล้วการที่พนักงานอัยการจะเข้าแก้ต่างคดีนี้ให้แก้จำเลยทั้งสี่ จึงเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฎิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการซึ่งได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10 และมาตรา 11 แห่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542
องค์คณะจึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ว่า พนักงานอัยการไม่มีอำนาจเข้าแก้ต่างในคดีนี้ให้แก่จำเลยทั้งสี่ และสั่งให้จำเลยทั้ง 4 แต่งตั้งทนายความใหม่ เข้ามาดำเนินการกระบวนพิจารณาคดีต่อไป
สำหรับคดีนี้ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. เป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 295 และ 302 กรณีเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา ถนนอู่ทองใน กระทั่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 471 ราย
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ ป.ป.ช.ส่งสำนวนการไต่สวนคดีไปให้ทางอัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณายื่นฟ้องคดีให้ แต่ฝ่ายอัยการเห็นว่าสำนวนคดียังมีความไม่สมบูรณ์ทำให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมสองฝ่ายขึ้นมาพิจารณาสำนวนคดีตามขั้นตอนกฎหมาย แต่สุดท้ายหาข้อยุติไม่ได้ ทำให้ ป.ป.ช. ต้องยื่นเรื่องฟ้องคดีต่อศาลเอง