เมื่อวันที่ 29 พ.ค.2558 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถนนแจ้งวัฒนะ นายธนสิทธิ์ นิลกำแหง ประธานแผนกคดีเลือกตั้ง เจ้าของสำนวน และผู้พิพากษาองค์คณะ รวม 9 คน ได้ออกนั่งบังลังก์นัดพิจารณาคดีครั้งแรกและสอบคำให้การในคดีหมายเลขดำที่ อม. 2/2558 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. (ทั้งหมดดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2551) เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 295 และ 302 จากกรณีเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 รัฐบาลนายสมชายได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา กระทั่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 471 ราย โดยศาลอ่านสรุปคำฟ้องให้จำเลยทั้งสี่ฟังแล้ว จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ขณะที่นายสมชาย พล.อ.ชวลิต และ พล.ต.ท.สุชาติ จำเลยที่ 1-2 และ 4 ได้แถลงขอยื่นคำให้การเป็นรายละเอียดทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในวันที่ 16 ก.ค.นี้ ส่วน พล.ต.อ.พัชรวาท ได้แถลงว่าขณะนี้ยังไม่ได้แต่งตั้งทนาย จึงยังไม่ทราบในรายละเอียด ดังนั้น จะขอยื่นคำให้การในรายละเอียดอีกครั้ง โดยจำเลยได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นคำให้การเป็นเวลา 60 วัน ศาลได้สอบถามโจทก์แล้วไม่คัดค้านที่จำเลยยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นคำให้การ เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ศาลเห็นว่าระยะเวลาที่จำเลยขอยาวนานเกินไป จึงอนุญาตให้จำเลยทั้งหมดยื่นคำให้การที่เป็นลายลักษณ์อักษรภายในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ หากไม่ยื่นภายในระยะเวลาที่กำหนด จะถือว่าจำเลยไม่ติดใจ
ส่วนที่นายสมชาย และ พล.อ.ชวลิต จำเลยที่ 1-2 ยื่นคำร้องขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาลับหลังจำเลย เนื่องจากจำเลยติดภารกิจและคดีมีอัตราโทษไม่สูงนั้น ศาลเห็นว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องมาศาลทุกนัด หากไม่สามารถมาศาลนัดใดให้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาลับหลังเป็นครั้งๆ ไป ซึ่งศาลจะพิจารณาเป็นครั้งคราวไป ขณะที่ศาลสอบถามโจทก์และจำเลยถึงพยานที่จะไต่สวนแล้ว โจทก์ได้แถลงว่าเบื้องต้นมีพยานบุคคล 66 ปากที่จะนำเข้าไต่สวนประมาณ 50 ปาก ส่วนจำเลยที่ 1 มีพยาน 60 ปาก จำเลยที่ 2 มีพยาน 30 ปาก ส่วนจำเลยที่ 3 ยังไม่มีทนายความ จึงไม่ทราบรายละเอียด และจำเลยที่ 4 มีพยาน 180 ปาก
ทั้งนี้ ศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้งวันที่ 18 ส.ค. เวลา 10.00 น. โดยให้โจทก์และจำเลยยื่นแนวทางและประเด็นการไต่สวนเสนอต่อศาลก่อนวันนัดตรวจ หลักฐานไม่น้อยกว่า 14 วัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่มีการสอบคำให้การ ศาลได้กล่าวกับคู่ความทั้งสองฝ่ายว่าการนัดที่กำหนดวันยาวนาน เนื่องจากต้องดูวันว่างขององค์คณะทั้ง 9 คน และคู่ความทั้งสองฝ่าย ดังนั้น หากไม่มีความจำเป็นไม่ควรเลื่อนนัด โดยให้คู่ความเตรียมพยานให้พอนำสืบในทุกนัด ซึ่งศาลไม่ต้องการให้คดีเกิดความล่าช้า ขณะที่ศาลได้สั่งห้ามจำเลยเดินทางออกนอกประเทศแล้ว เว้นแต่ได้รับการอนุญาตจากศาล ซึ่งเป็นแนวทางปกติที่ใช้ในทุกคดี
ภายหลัง พล.ต.ท.สุชาติ อดีต ผบช.น. กล่าวว่า ตนให้การปฏิเสธและมั่นใจในความบริสุทธิ์ โดยมีพยาน 180 ปากที่เตรียมไว้ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำจุดต่างๆ และปฏิบัติ หน้าที่ตามแผนควบคุมสถานการณ์ และ แผนกรกฎ 48 แต่หากศาลจะพิจารณาแล้วเห็นว่าพยานจะซ้ำซ้อนกัน และมีเหตุจำเป็นต้องตัดพยานบางปากออกก็เป็นดุลพินิจของศาล
ด้าน พล.อ.ชวลิต กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ทุกอย่างให้เป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการของศาล
ส่วน นายสมชาย กล่าวว่า การพิจารณาวันนี้เป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม ตนเคารพและปฏิบัติตามคำสั่งหรือที่ศาลนัดทุกอย่าง ส่วนพยานที่เตรียมไว้ก็ประมาณ 60 ปาก ก็จะนำมาสืบพยานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของเรา โดยทนายจะเป็นผู้พิจารณาทั้งหมดว่าจะนำใครมาเบิกความบ้าง ซึ่งการให้การปฏิเสธก็เหมือนกันว่าเรามั่นใจในความบริสุทธิ์ใจอยู่แล้ว และต่อสู้คดีไปตามความจริง ส่วนที่ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวก็ถือเป็นความเมตตาของศาล อย่างไรก็ตามช่วงนี้ยังไม่มีกำหนดเดินทางออกนอกประเทศ โดยนายสมชายกล่าวอย่างหัวเราะว่าไม่มีค่าตั๋วเครื่องบิน
ขณะที่นายสมชาย พล.อ.ชวลิต และ พล.ต.ท.สุชาติ จำเลยที่ 1-2 และ 4 ได้แถลงขอยื่นคำให้การเป็นรายละเอียดทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในวันที่ 16 ก.ค.นี้ ส่วน พล.ต.อ.พัชรวาท ได้แถลงว่าขณะนี้ยังไม่ได้แต่งตั้งทนาย จึงยังไม่ทราบในรายละเอียด ดังนั้น จะขอยื่นคำให้การในรายละเอียดอีกครั้ง โดยจำเลยได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นคำให้การเป็นเวลา 60 วัน ศาลได้สอบถามโจทก์แล้วไม่คัดค้านที่จำเลยยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นคำให้การ เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ศาลเห็นว่าระยะเวลาที่จำเลยขอยาวนานเกินไป จึงอนุญาตให้จำเลยทั้งหมดยื่นคำให้การที่เป็นลายลักษณ์อักษรภายในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ หากไม่ยื่นภายในระยะเวลาที่กำหนด จะถือว่าจำเลยไม่ติดใจ
ส่วนที่นายสมชาย และ พล.อ.ชวลิต จำเลยที่ 1-2 ยื่นคำร้องขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาลับหลังจำเลย เนื่องจากจำเลยติดภารกิจและคดีมีอัตราโทษไม่สูงนั้น ศาลเห็นว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องมาศาลทุกนัด หากไม่สามารถมาศาลนัดใดให้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาลับหลังเป็นครั้งๆ ไป ซึ่งศาลจะพิจารณาเป็นครั้งคราวไป ขณะที่ศาลสอบถามโจทก์และจำเลยถึงพยานที่จะไต่สวนแล้ว โจทก์ได้แถลงว่าเบื้องต้นมีพยานบุคคล 66 ปากที่จะนำเข้าไต่สวนประมาณ 50 ปาก ส่วนจำเลยที่ 1 มีพยาน 60 ปาก จำเลยที่ 2 มีพยาน 30 ปาก ส่วนจำเลยที่ 3 ยังไม่มีทนายความ จึงไม่ทราบรายละเอียด และจำเลยที่ 4 มีพยาน 180 ปาก
ทั้งนี้ ศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้งวันที่ 18 ส.ค. เวลา 10.00 น. โดยให้โจทก์และจำเลยยื่นแนวทางและประเด็นการไต่สวนเสนอต่อศาลก่อนวันนัดตรวจ หลักฐานไม่น้อยกว่า 14 วัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่มีการสอบคำให้การ ศาลได้กล่าวกับคู่ความทั้งสองฝ่ายว่าการนัดที่กำหนดวันยาวนาน เนื่องจากต้องดูวันว่างขององค์คณะทั้ง 9 คน และคู่ความทั้งสองฝ่าย ดังนั้น หากไม่มีความจำเป็นไม่ควรเลื่อนนัด โดยให้คู่ความเตรียมพยานให้พอนำสืบในทุกนัด ซึ่งศาลไม่ต้องการให้คดีเกิดความล่าช้า ขณะที่ศาลได้สั่งห้ามจำเลยเดินทางออกนอกประเทศแล้ว เว้นแต่ได้รับการอนุญาตจากศาล ซึ่งเป็นแนวทางปกติที่ใช้ในทุกคดี
ภายหลัง พล.ต.ท.สุชาติ อดีต ผบช.น. กล่าวว่า ตนให้การปฏิเสธและมั่นใจในความบริสุทธิ์ โดยมีพยาน 180 ปากที่เตรียมไว้ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำจุดต่างๆ และปฏิบัติ หน้าที่ตามแผนควบคุมสถานการณ์ และ แผนกรกฎ 48 แต่หากศาลจะพิจารณาแล้วเห็นว่าพยานจะซ้ำซ้อนกัน และมีเหตุจำเป็นต้องตัดพยานบางปากออกก็เป็นดุลพินิจของศาล
ด้าน พล.อ.ชวลิต กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ทุกอย่างให้เป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการของศาล
ส่วน นายสมชาย กล่าวว่า การพิจารณาวันนี้เป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม ตนเคารพและปฏิบัติตามคำสั่งหรือที่ศาลนัดทุกอย่าง ส่วนพยานที่เตรียมไว้ก็ประมาณ 60 ปาก ก็จะนำมาสืบพยานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของเรา โดยทนายจะเป็นผู้พิจารณาทั้งหมดว่าจะนำใครมาเบิกความบ้าง ซึ่งการให้การปฏิเสธก็เหมือนกันว่าเรามั่นใจในความบริสุทธิ์ใจอยู่แล้ว และต่อสู้คดีไปตามความจริง ส่วนที่ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวก็ถือเป็นความเมตตาของศาล อย่างไรก็ตามช่วงนี้ยังไม่มีกำหนดเดินทางออกนอกประเทศ โดยนายสมชายกล่าวอย่างหัวเราะว่าไม่มีค่าตั๋วเครื่องบิน