ASTVผู้จัดการรายวัน-ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ลงมติ 8 ต่อ 1 เสียง เห็นว่าพนักงานอัยการไม่มีอำนาจเป็นทนายความแก้ต่างให้ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" กับพวก ในคดีที่ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องฐานสั่งสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ปี 51 โดยมิชอบ ระบุพนักงานอัยการต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายแผ่นดิน มิใช่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อต่อสู้คดีกับแผ่นดินในกรณีที่องค์กรของรัฐเป็นผู้ฟ้องคดีเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีความที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 4 ราย ในฐานะจำเลย กรณีคดีกล่าวหาการสั่งสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551
การออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีความครั้งนี้ ยังไม่มีการพิจารณาคดี เนื่องจากฝ่ายจำเลยได้แต่งตั้งพนักงานอัยการเข้ามาทำหน้าที่ทนายแก้ต่างในคดีให้ ซึ่งองค์คณะผู้พิจารณาเห็นว่าพนักงานอัยการไม่มีอำนาจว่าความแก้ต่างในคดีนี้ให้แก่จำเลยทั้ง 4พร้อมสั่งการให้จำเลยทั้ง 4 แต่งตั้งทนายความคนใหม่เข้ามาดำเนินการกระบวนพิจารณาคดีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า องค์คณะผู้พิพากษาพิจารณาแล้วเห็นว่า พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 11 บัญญัติว่า “ให้มีพนักงานอัยการไว้เป็นทนายแผ่นดินประจำศาลต่างๆ” แม้จะมีบทบัญญัติในมาตรา 14 (4) บัญญัติถึงอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการ แต่การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายแผ่นดินตามมาตรา 11 มิใช่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อต่อสู้คดีกับแผ่นดินในกรณีที่แผ่นดินโดยองค์กรของรัฐเป็นผู้ฟ้องคดีเสียเอง
ประกอบกับการดำเนินคดีนี้ ศาลจะต้องใช้สำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นหลักในการพิจารณา เมื่อปรากฎจากคำฟ้องว่า อัยการสูงสุดส่งสำนวน รายงาน และเอกสารที่เกี่ยวข้องคืนให้แก่โจทก์เพื่อฟ้องคดีเอง แสดงว่าอัยการสูงสุดเห็นควรไม่ฟ้องคดีนี้ให้แก่องค์กรของรัฐแล้ว การที่พนักงานอัยการจะเข้าแก้ต่างคดีนี้ให้แก้จำเลยทั้ง 4 จึงเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฎิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการซึ่งได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10 และมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542
องค์คณะจึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ว่า พนักงานอัยการไม่มีอำนาจเข้าแก้ต่างในคดีนี้ให้แก่จำเลยทั้ง 4 และสั่งให้จำเลยทั้ง 4 แต่งตั้งทนายความใหม่ เข้ามาดำเนินการกระบวนพิจารณาคดีต่อไป
สำหรับคดีนี้ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. เป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 295 และ 302 กรณีเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา ถนนอู่ทองใน กระทั่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 471 ราย
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ ป.ป.ช. ส่งสำนวนการไต่สวนคดีไปให้ทางอัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณายื่นฟ้องคดีให้ แต่ฝ่ายอัยการเห็นว่าสำนวนคดียังมีความไม่สมบูรณ์ ทำให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมสองฝ่ายขึ้นมาพิจารณาสำนวนคดีตามขั้นตอนกฎหมาย แต่สุดท้ายหาข้อยุติไม่ได้ ทำให้ ป.ป.ช. ต้องยื่นเรื่องฟ้องคดีต่อศาลเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีความที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 4 ราย ในฐานะจำเลย กรณีคดีกล่าวหาการสั่งสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551
การออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีความครั้งนี้ ยังไม่มีการพิจารณาคดี เนื่องจากฝ่ายจำเลยได้แต่งตั้งพนักงานอัยการเข้ามาทำหน้าที่ทนายแก้ต่างในคดีให้ ซึ่งองค์คณะผู้พิจารณาเห็นว่าพนักงานอัยการไม่มีอำนาจว่าความแก้ต่างในคดีนี้ให้แก่จำเลยทั้ง 4พร้อมสั่งการให้จำเลยทั้ง 4 แต่งตั้งทนายความคนใหม่เข้ามาดำเนินการกระบวนพิจารณาคดีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า องค์คณะผู้พิพากษาพิจารณาแล้วเห็นว่า พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 11 บัญญัติว่า “ให้มีพนักงานอัยการไว้เป็นทนายแผ่นดินประจำศาลต่างๆ” แม้จะมีบทบัญญัติในมาตรา 14 (4) บัญญัติถึงอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการ แต่การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายแผ่นดินตามมาตรา 11 มิใช่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อต่อสู้คดีกับแผ่นดินในกรณีที่แผ่นดินโดยองค์กรของรัฐเป็นผู้ฟ้องคดีเสียเอง
ประกอบกับการดำเนินคดีนี้ ศาลจะต้องใช้สำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นหลักในการพิจารณา เมื่อปรากฎจากคำฟ้องว่า อัยการสูงสุดส่งสำนวน รายงาน และเอกสารที่เกี่ยวข้องคืนให้แก่โจทก์เพื่อฟ้องคดีเอง แสดงว่าอัยการสูงสุดเห็นควรไม่ฟ้องคดีนี้ให้แก่องค์กรของรัฐแล้ว การที่พนักงานอัยการจะเข้าแก้ต่างคดีนี้ให้แก้จำเลยทั้ง 4 จึงเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฎิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการซึ่งได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10 และมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542
องค์คณะจึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ว่า พนักงานอัยการไม่มีอำนาจเข้าแก้ต่างในคดีนี้ให้แก่จำเลยทั้ง 4 และสั่งให้จำเลยทั้ง 4 แต่งตั้งทนายความใหม่ เข้ามาดำเนินการกระบวนพิจารณาคดีต่อไป
สำหรับคดีนี้ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. เป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 295 และ 302 กรณีเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา ถนนอู่ทองใน กระทั่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 471 ราย
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ ป.ป.ช. ส่งสำนวนการไต่สวนคดีไปให้ทางอัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณายื่นฟ้องคดีให้ แต่ฝ่ายอัยการเห็นว่าสำนวนคดียังมีความไม่สมบูรณ์ ทำให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมสองฝ่ายขึ้นมาพิจารณาสำนวนคดีตามขั้นตอนกฎหมาย แต่สุดท้ายหาข้อยุติไม่ได้ ทำให้ ป.ป.ช. ต้องยื่นเรื่องฟ้องคดีต่อศาลเอง