ASTVผู้จัดการรายวัน-ผบ.ตร.เชื่อทีมบึ้มทำเป็นขบวนการ มีมากกว่า 10 คน เตรียมการล่วงหน้า วางแผนทำงานเป็นระบบ ยันไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง เชื่อยังกบดานอยู่ในไทย "ประวุฒิ" เผยตรวจกล้องวงจรปิดพบมีอีก 3 คน ชายเสื้อแดง เสื้อขาว และหญิงเสื้อดำ ร่วมแก๊ง หลังพบพฤติกรรมน่าสงสัย เผยคนขับตุ๊กตุ๊กเข้าให้ข้อมูลตำรวจแล้ว บช.น. เปิดยุทธการ ปิดเมือง ค้นรังโจร เอ็กซเรย์พื้นที่กรุงเทพฯ ล่าตัวผู้ต้องสงสัย "ประยุทธ์"เผยกำลังสอบอยู่ ไม่อยากเร่ง "ประวิตร" มองไม่น่าใช่ฝีมือต่างชาติ คสช.ขู่ใช้กฎหมายจัดการพวกแชร์สร้างความปั่นป่วน
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในคดีระเบิดบริเวณศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ เมื่อค่ำวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 20 คน ได้รับบาดเจ็บ 123 คน ว่า หลังเกิดเหตุ ตำรวจ ทหาร และฝ่ายความมั่นคง ได้ทำงานร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน รวมทั้งแลกเปลี่ยนข่าวสารกับหน่วยข่าวประเทศต่างๆ ที่มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับการก่อการร้าย การก่อเหตุต่างๆ ทั่วโลก เพื่อนำมาเทียบเคียง เพราะตำรวจ ทหารและฝ่ายความมั่นคงต้องการทำให้ทุกอย่างประจักษ์ ชัดเจน
ทั้งนี้ จากการสืบสวนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่ามีความน่าสงสัยทั้งตัวบุคคลหลายคนที่เชื่อว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ยังมองทุกประเด็น จะตัดประเด็นใดออกไปเมื่อมีพยานหลักฐานชัดเจนเท่านั้น
"การก่อเหตุครั้งนี้ ถ้ามีการดำเนินการโดยคนร้ายที่มีความเชี่ยวชาญชำนาญ อาจมีเจตนาทำให้เจ้าหน้าที่สับสน อาจมีการปลอมแปลงใบหน้า เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นชาวต่างชาติ หรืออาจเป็นกรณีสร้างหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้เกิดความสับสน เพื่อเบี่ยงเบน เรายังไม่ฟันธงว่าเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ เพราะเราไม่อยากถูกหลอก และเราเชื่อว่าการก่อเหตุครั้งนี้ ต้องมีเป็นขบวนการ ทำงานเป็นทีม มีทีมสำรวจพื้นที่ ดูแลเส้นทาง คุ้มกัน จัดหาวัสดุอุปกรณ์ และทีมพามาก่อเหตุ พาหลบหนีโดยรู้เส้นทาง เท่าที่เอ่ยมาไม่ต่ำกว่า 10 คน ผมเชื่อว่าขบวนการนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นขบวนการที่มาจากต่างประเทศโดยลำพัง หรือเป็นอย่างที่หลายคนสงสัยว่าเป็นการก่อการร้าย ซึ่งเดินทางมาจากต่างประเทศ ผมเชื่อว่าขบวนนี้มีความเชื่อมโยงกับคนภายในประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องพิสูจน์กันต่อไป"
***ทำงานเป็นทีมไม่ต่ำกว่า10คน
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระบุว่าผู้ก่อเหตุอาจถูกฆ่าตัดตอน ว่า ท่านคงมีข้อมูลเช่นเดียวกับตนว่าคนร้ายที่ก่อเหตุ น่าจะเป็นคนภายในประเทศ แต่ต้องการที่จะเบี่ยงเบนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าใจผิดว่าเป็นชาวต่างชาติ เป็นเรื่องที่ตำรวจต้องหาพยานหลักฐาน ข้อมูลมาสนับสนุน แต่นี้เราไม่ได้หมายความว่าเรามองเป็นเรื่องในประเทศอย่างเดียว เราให้ความสำคัญทุกประเด็น ทุกกรณี ซึ่งขณะนี้เรายังไม่ตัดประเด็นใดทิ้งเลย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การตั้งข้อสังเกตว่ามีการฆ่าตัดตอน ขบวนการนี้ต้องใหญ่ และอาจเป็นขบวนการต่างประเทศเกี่ยวข้อง พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ตนไม่เคยบอกว่ามีขบวนการต่างประเทศมาเกี่ยวข้อง บอกแค่ว่าเป็นขบวนการใหญ่ มีการจัดตั้ง เตรียมการ โดยใช้บุคคลจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 10 คน ตนเชื่อตามทฤษฎีที่ได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศที่มีประสบการณ์ มีความรู้เรื่องการวางระเบิดเช่นนี้ เขาบอกว่าต้องมีหลายชุดหลายทีมประกอบกันและแต่ละทีมต้องมีจำนวนคนไม่น้อย
"จากพยานหลักฐานที่เราพบ มีการสำรวจพื้นที่หลายครั้ง มีการวางแผนกำหนดจุด พาหนีจากจุดนี้ไปลงตรงนี้ แล้วมีอีกชุดมารับ โดยการวางแผน ต้องวางแผนนอกพื้นที่ กทม. เพื่อให้รอดพ้นจากสายตาเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีคนจัดเตรียม จัดหา ซึ่งผมไม่ได้พูดลอยๆ คิดเอาเอง หรือจินตนาการเอาเอง เพราะจากการรวบรวมพยานหลักฐาน สอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้อง ทำให้เราจินตนาการได้ว่าเมื่อคนร้ายก่อเหตุเดินไปขึ้นรถจักรยานยนต์ พาไปส่งที่สวนลุมฯ ขณะนั่งรถคนร้ายติดต่อโทรศัพท์ พูดคุย เมื่อลงแล้วยืนรอ ไม่ไปไหน แสดงว่ามีคนมารับ คนร้ายโทรศัพท์หาคนที่นัดหมายให้มารับ ส่วนจะพูดภาษาอะไร เป็นคนชาติใดอยู่ในสำนวนบอกไม่ได้ ลักษณะเช่นนี้มันมีการทำงานเป็นทีม แบ่งหน้าที่กันทำ ส่วนกลุ่มไหนจะมีศักยภาพเพียงพอต้องสืบสวนสอบสวนต่อไป จะรีบบอกก็เร็วเกินไป คิดว่าคนร้ายยังอยู่ในประเทศไทย ทั้งนี้ เชื่อว่ามีการวางแผนมาเป็นเดือน” ผบ.ตร.กล่าว
เมื่อถามว่าหากชี้ว่าคนไทยเกี่ยวข้อง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีคนมีสี เข้าไปเกี่ยวข้องเพราะมีความเชี่ยวชาญ ผบ.ตร.กล่าวว่า ยังตอบไม่ได้ ทำไมต้องมีคนมีสี เดี๋ยวนี้ยุทธวิธีคนธรรมก็ทำได้ ในอดีตที่ผ่านมาถามคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 สารภาพว่าไม่เคยยิง ยิงเป็นเพราะดูจากทีวี
***พบชายเสื้อแดง-ขาวต้องสงสัยเพิ่ม
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ภาพวงจรปิดระบุถึงชายเสื้อแดงและเสื้อขาว ที่อยู่ใกล้ผู้ต้องหาขณะก่อเหตุ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ผู้ต้องสงสัยมีมากกว่านั้น สองคนนี้เราตั้งประเด็นไว้ การข่าวมีมากกว่านี้ที่เราสงสัย เรามีรูปภาพ แต่เราต้องสงวนเป็นความลับ ไม่เช่นนั้นทำงานไม่ได้ เราต้องดูหลักฐานย้อนไปเท่าที่ย้อนได้ นำภาพบริเวณศาลพระพรหม มาตรวจดูว่าในช่วงเวลานั้น รวมไปถึงเวลาใกล้เคียงมีใครอยู่ในนั้นบ้าง ถึงบอกผ่านสื่อไปยังพี่น้องประชาชนว่าในวันนั้นหากใครมาบริเวณศาลพระพรหม แล้วถ่ายรูปไว้ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ลองดูว่ามีคนต้องสงสัยหรือไม่ ปกติคนที่มาศาลพระพรหม ต้องมาซื้อพวงมาลัยธูปเทียน กราบไหว้บูชา ซื้อนกปล่อย แต่ถ้าบางคนมายืนเหมือนเฝ้ายาม สังเกตการณ์บางครั้งบางคนอาจไม่สงสัย แต่ถ้ามาดูภายหลังปรากฏภาพบุคคลเหล่านั้น ขณะนี้ได้รับความร่วมมือจากประชาชนส่งมา ต้องตั้งประเด็นว่าเป็นใครอย่างไรต้องสืบสวนดู
"ทั้งคู่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ ลักษณะคล้าย มาจองที่นั่งไว้ พอคนลงมือเดินทางมาถึงก็ลุกขึ้น ต้องจินตนาการว่าสถานที่อย่างนั้น เดินมาถึงมันจะมีที่นั่งเลยไหม อันนี้ยังเป็นเพียงแนวทางสืบสวน อาจไม่ใช่ อาจผิดก็ได้ ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าคนเหล่านี้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ลักษณะคล้ายชนชาติใด ไม่อยากพูดเดี๋ยวจะมีการโยงไปอีก ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน อยู่ในกลุ่มผู้บาดเจ็บหรือไม่ แต่ดูจากคลิปออกจากบริเวณศาลไปก่อนที่คนเสื้อเหลืองจะออกจากจุดเกิดเหตุด้วยซ้ำ ส่วนจะออกหมายจับชาย 2 คนนี้หรือไม่ อยู่ที่พนักงานสอบสวนกำลังดำเนินการอยู่ ตอนนี้ไม่ทิ้งประเด็นทุกสิ่งที่เราคิด ทุกอย่างเป็นจินตนาการ เมื่อคิดว่าน่าจะเกี่ยว ต้องสืบสวนสอบสวนหาตัวมาสอบ ถ้าใช่คือใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่”พล.ต.อ.สมยศ กล่าว
***ระเบิดบึ้มราชประสงค์-สาทรคล้ายคลึงกัน
เมื่อถามถึงการตรวจสอบวัตถุระเบิดเหตุที่ราชประสงค์กับที่สะพานสาทร พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า มีความคล้ายคลึงกัน แต่ต้องดูว่าคล้ายแล้วการทำงานของระเบิดมีการชุดชนวนคล้ายกันหรือไม่ ที่ศาลพระพรหมไม่เจอพยานหลักฐานอะไรมากมาย แต่ที่สะพานสาทรระเบิดตกน้ำการระเบิดไม่สมบูรณ์ จึงทิ้งพยานหลักฐานไว้มาก ยืนยันว่าตำรวจไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ทั้งการสร้างสถานการณ์เพื่อตื่นตระหนก มุ่งหวังชีวิต มุ่งหวังต่อนักท่องเที่ยวประเทศนั้นประเทศนี้ หรือประเด็นก่อการร้าย แต่หลักๆ มุ่งหวังทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ทำลายเศรษฐกิจและท่องเที่ยว
***สงสัยชาวต่างชาติคนไหนก็เชิญมาสอบ
เมื่อถามถึงชายต้องสงสัยชาวต่างชาติ ซึ่งมีแผลที่แขน ซึ่งถูกเจ้าหน้าตำรวจคุมตัวได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค. ผบ.ตร.กล่าวว่า ตอนแรกพบว่าชายคนนี้มีปัญหาเรื่องพาสปอร์ต ที่ตัวหนังสือและลายน้ำไม่ชัด จึงให้ไปทำพาสปอร์ต เมื่อสงสัยว่าอาจจะใช่ก็ตามตรวจสอบ พอทราบว่าชายคนนี้ไปทำพาสปอร์ตที่สถานทูต จึงเชิญตัวมา ให้พยานที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาดูตัว ก็ยืนยันว่าไม่ใช่ ประกอบกับเดินทางจาก จ.เชียงใหม่ แล้วเดินทางมาต่อเครื่องบิน ตรวจสอบเวลาสถานที่อยู่ก็ไม่เกี่ยวเนื่องกัน เมื่อไม่ใช่ก็ปล่อยไปแล้ว
ส่วนชายอีกคนที่ขึ้นเครื่องบินสายการบินแอร์เอเชียไปยังกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อต่อเครื่องบินไปเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อมีข้อมูลว่าหน้าละม้ายคล้ายคลึงผู้ต้องสงสัย จึงประสานทางการมาเลเซียให้ตรวจสอบ แต่ปรากฏว่าชายดังกล่าวสูงมากกว่า 180 ซม. ซึ่งไม่ใช่ผู้ต้องหาจึงปล่อยตัวไป ขณะนี้ตำรวจสงสัยใครก็ต้องนำตัวสอบถามทำให้กระจ่าง
***ตรวจวงจรปิดพบอีก3คนน่าสงสัย
วันเดียวกันนี้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปยังห้างอัมรินทร์พลาซ่า เพื่อเข้าตรวจสอบศูนย์ติดตั้งกล้องวงจรปิดบริเวณแยกราชประสงค์ รอบพื้นที่เกิดเหตุระเบิด
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดพร้อมกับสั่งการให้ตรวจสอบย้อนหลังไป 1 ชั่วโมง ก่อนเกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบข้อมูลของผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้อง ว่า มีจำนวนกี่คน และมีความเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้นก่อนเกิดเหตุบ้าง และไม่ให้ใครทำอะไรกับวงจรปิดทั้งหมด โดยนอกจากผู้ต้องสงสัย 1 คนที่ถูกออกหมายจับแล้ว ยังพบบุคคลที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องอีก 3 คน ซึ่งปรากฎในกล้องวงจรปิดขณะคนร้ายก่อเหตุ คือ ชายสวมเสื้อแดง ชายเสื้อขาว และหญิงเสื้อดำ ซึ่งทั้ง 3 คน มีพฤติกรรมต้องสงสัย คือ ลุกให้นั่ง และทำท่าทางเหมือนยืนบังขณะที่คนร้ายวางกระเป๋า โดยอยู่ระหว่างตรวจสอบการเข้าและออกบริเวณศาลของทั้ง 3 คน กำลังตรวจดูภาพจากวงจรปิดทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ แต่เชื่อว่าหากเป็นขบวนการคนร้ายคงไม่เข้า-ออกพร้อมกับชายเสื้อเหลืองที่วางระเบิด
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นออกภาพสเก๊ตช์ หรือขออนุมัติหมายจับทั้ง 3 คน เพราะยังเป็นเพียงการสงสัย ต้องตามตัวมาสอบปากคำ หากสืบสวนสอบสวนว่าเกี่ยวข้อง ก็เป็นขั้นตอนที่ต้องดำเนินการออกหมายจับกุมต่อไป
นอกจากนี้ ตำรวจทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จะมีการตรวจค้นแบบเอกซเรย์ ในพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ เพื่อเร่งค้นหาผู้ต้องสงสัย โดยมั่นใจว่าคดีนี้จะสามารถจับกุมคนร้ายได้อย่างแน่นอน
***ได้ตัวคนขับตุ๊กตุ๊กสอบปากคำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน ได้นำตัวนายสุชาติ ปั้นงาม หรือจ่อย อายุ 37 ปี คนขับตุ๊กตุ๊กไปส่งผู้ต้องสงสัยวางระเบิดที่แยกราชประสงค์ มาสอบสวนที่ห้องสอบสวนความมั่นคง โดยมีพล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. เป็นผู้สอบสวนด้วยตนเอง และยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ทั้งนี้ ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนบันทึกภาพระหว่างการสอบปากคำ
ทั้งนี้ ตามภาพจากกล้องวงจรปิดในบริเวณใกล้เคียง พบรถตุ๊กตุ๊กมาส่งผู้ต้องสงสัยเป็นชายสวมเสื้อเหลืองลงที่ศาลพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์ ในเวลาประมาณ 18.37 น.ของวันที่ 17 ส.ค.ก่อนที่จะขับออกไป และเกิดเหตุระเบิดขึ้นในเวลาประมาณ 18.55 น.
***วินให้เบาะแสคนร้ายพูดภาษาต่างชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเอ (ขอสงวนชื่อและนามสกุล) ที่ประกอบอาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างประจำซอยมหาดเล็กหลวง 1 ได้ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เป็นผู้ขับไปส่งชาวต่างชาติที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อเหตุ โดยระหว่างรอลูกค้า ได้ยินเสียงระเบิด ก็คิดว่าหม้อแปลงไฟระเบิด จากนั้น มีชายชาวต่างชาติมาที่วิน พร้อมยื่นกระดาษเขียนแผนที่ว่า "ลุมพินี ปาร์ค" เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งตนได้ถามเพื่อนว่าจะไปส่งหรือไม่ แต่เพื่อนปฏิเสธ ก็เลยไปส่งเอง โดยใช้เส้นทางถนนราชดำริ ฝั่งขาเข้า ซึ่งมีระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร และใช้เวลาเพียง 3 นาที โดยตลอดระยะทางผู้ต้องสงสัยได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพูดคุยอยู่ตลอดเวลา แต่ตนไม่แน่ใจว่าเป็นผู้รับหรือโทรออก โดยภาษาที่ใช้พูดคุยนั้น ไม่ใช่ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษแต่อย่างใด และเป็นภาษาที่ตนไม่เคยได้ยินมาก่อน และเมื่อจ่ายเงิน จำรูปพรรณได้เพียงแค่คางมีลักษณะเรียวยาว จมูกโด่ง ผิวขาว และส่วนสูงประมาณ 170 เซนติเมตร หลังจากทอนเงินเรียบร้อยแล้ว ตนได้ขี่รถจักรยานยนต์กลับจุดทันที โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่า ชายคนดังกล่าวเดินเข้าด้านในตัวอาคาร หรือเรียกรถคันอื่นเพื่อโดยสารเดินทางต่อไปอีก
***ปิดเมืองค้นรังโจรล่าทีมบึ้ม
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูต รอง ผบช.น. พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง รอง ผบช.น. ประชุมประชุมชุดสืบสวนสอบสวน 88 สน. จัดการความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ยุทธการ ปิดเมือง ค้นรังโจร เอ็กซเรย์พื้นที่กรุงเทพมหานคร หลังเกิดเหตุระเบิดขึ้นบริเวณแยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร เพื่อวางแนวทางป้องกันเหตุในพื้นที่ โดยจะมีการตั้งด่านความมั่นคง เฝ้าระวังป้องกันพื้นที่ทุกตารางนิ้ว เอ็กซเรย์พื้นที่โดยเฉพาะบริเวณที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอาศัยอยู่ และอพาร์ทเม้นต์ รวมถึงโรงแรมต่างๆ เพื่อหาข้อมูลบุคคลตามหมายจับ ซึ่งกำหนดระยะเวลาให้ดำเนินการภายใน 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 21-23 ส.ค. และปิดล้อมตรวจค้นแหล่งเป้าหมาย โดยกำหนดให้ทุกกองบังคับการประชุมวางแผนแนวทางในวันพรุ่งนี้ เวลา 09.00น. และรายงานผลกลับมายัง บช.น. ต่อไป
***ซอยสีลม9จุดสุดท้ายที่คนร้ายใช้หนี
พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช รอง ผบช.น. กล่าวว่า เส้นทางที่คนร้ายใช้หลบหนี หลังวางระเบิดบริเวณศาลพระพรหม ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าบริเวณซอยสีลม9 เป็นจุดสุดท้ายที่คนร้ายใช้หลบหนี ซึ่งขณะนี้กำลังไล่กล้องวงจรปิดกันอยู่ ส่วนการปาระเบิดบนสะพานบริเวณท่าเรือสาทร กล้องไม่สามารถจับภาพคนร้ายได้ เนื่องจากภาพจากกล้องไม่มีความละเอียด ซึ่งได้ให้เจ้าหน้าที่สืบสวนไปตรวจสอบอีก
***ไม่อยากให้เรียกว่าก่อการร้าย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามตัวคนร้ายวางระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ว่า กำลังดำเนินการอยู่ และไม่อยากให้เรียกว่า ผู้ก่อการร้าย เพราะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เรายังไม่เรียกผู้ก่อการร้ายเลย ต้องดูอีกทีว่าเป็นพวกไหน ซึ่งตนก็ไม่ทราบ ต้องรอก่อนแล้วจะมีความคืบหน้า หากพูดกันมากเกินไปจะจับใครไม่ได้เสียที
ผู้สื่อข่าวถามว่า สื่อต่างชาติมุ่งประเด็นสาเหตุไปที่ไทยส่งชาวอุยกูร์ให้แก่ทางการจีน พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ไม่ใช่ว่าหน้าผู้ต้องสงสัยจะเหมือนฝรั่งแล้วจะเป็นอุยกูร์ แต่อาจจะเป็นฝรั่งที่ร่วมมือกับคนไทยก็ได้ ตอนนี้ยังไม่มองไปทางหนึ่งทางใด ดังนั้นอย่าเพิ่งไปมองว่าใช่หรือไม่ใช่ ถามว่าถ้าเป็นเรื่องอุยกูร์การดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลอย่างที่เราทำ รัฐบาลอื่นเขาทำหรือไม่ เขาทำกันทั้งโลก เพราะหลายประเทศเขาก็ไม่รับผู้อพยพที่เราทำถือว่าดีที่สุดแล้ว บางประเทศจะส่งชาวอุยกูร์กลับจีนหมดเลย แต่ก็ไม่เห็นมีเรื่อง
***ย้ำเร่งสอบอยู่ไม่อยากพูดมาก
เมื่อถามว่า เราจะมีการขอหลักฐานจากสื่อต่างชาติหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์อยู่ มีการแถลงไปแล้วว่าไม่ควรจะทำอย่างนั้น ซึ่งสื่อมวลชนเขียนไปเอง แต่ก็เป็นไปได้หลายประเด็น 1.เรื่องการเมือง 2.เรื่องระหว่างประเทศตามที่สื่อระบุ และ 3.พวกสุดโต่ง ถือว่าเป็นไปได้ทั้งหมด แต่ 2 ข้อหลังยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย จึงไม่อยากพูดในตอนนี้ เพราะมันอันตรายต่อภูมิภาคอาเซียนด้วย ต้องระมัดระวัง เรื่องการเมืองก็ไม่ได้ตัดทิ้ง คิดได้หลายอย่าง ทั้งผู้ก่อเหตุที่อาจเป็นคนต่างชาติ ลักษณะของระเบิด รวมทั้งกำลังตรวจสอบเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีการปล่อยข่าวลวง ทั้งการปิดโรงเรียน สถาบันการเงิน กำลังสอบอยู่ และคิดทุกอย่าง แต่ยิ่งพูดมาก คนร้ายก็จะยิ่งหนีไปไกลอีก ต้องเงียบๆ เสียบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ที่นายกฯ บอกว่าสุดโต่งนั้น หมายถึงสุดโต่งของกลุ่มไอเอส หรือกลุ่มสุดโต่งที่สร้างสถานการณ์ในภาคใต้ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบกลับอย่างมีอารมณ์ว่า “เธอก็รู้อยู่แล้ว เธอจะมาถามฉันทำไม ให้ฉันเอ่ยชื่อออกมาใช่ไหม ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้ว ฉันจะโทษเธอนะจะบอกให้”
เมื่อผู้สื่อข่าวแย้งว่า ไม่ๆ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบตัดบททันทีว่า “ไม่ต้องมาไม่ ฉันพูดมาหลายทีแล้ว ไอ้สุดโต่งนักข่าวสุดโต่งนั่นมันเธอ”
***"ประวิตร"มองไม่น่าใช่ฝีมือต่างชาติ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ครบ 3 วัน ก็ยังไม่มีใครออกมารับว่าเป็นคนดำเนินการ จึงถือเป็นเรื่องการดำเนินการที่อยู่ภายใน จะไปพูดเรื่องการก่อการร้ายก็ไม่ได้ ต้องติดตามคนในภาพให้ได้ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาพยานหลักฐานต่างๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งดำเนินการในขณะนี้ ก็ก้าวหน้าไปมาก
"เท่าที่ได้รับรายงานจากตำรวจ ระเบิดที่ราชประสงค์และที่สาทร เป็นระเบิดที่มีลักษณะใกล้เคียง และการประกอบระเบิดเหมือนกัน จึงต้องสืบสวนสอบสวนต่อไป เพื่อรอดูว่าความก้าวหน้าในเรื่องนี้เป็นอย่างไร เรายังไม่ปักใจว่าคนโน่น คนนี้ หรือเป็นใคร เพราะมีหลายเรื่องด้วยกัน แต่ในเรื่องของต่างประเทศไม่น่าจะเกี่ยวข้อง ขณะนี้ยังไม่ปักใจว่าเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราจะไม่บอกว่าเป็นเรื่องของต่างประเทศหรือไม่ เพราะยังไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นคนต่างประเทศที่ทำหรือไม่ เพราะว่าการดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ต้องเป็นมืออาชีพ และสามารถปลอมแปลงอะไรต่างๆ ได้มากมาย อีกทั้งต้องมีการวางแผนมาอย่างชัดเจน เพราะมีเส้นทางการเข้ามาและการหลบหนีอย่างดี ตอนนี้ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง แต่จะหาหนทางสืบต่อไปเรื่อยๆ ก่อน"พล.อ.ประวิตรกล่าว
*** ห่วงคนไทยแชร์ข้อมูลมั่ว
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกฯ แสดงความเป็นห่วงว่ามีการส่งข้อความบางส่วนที่อาศัยสถานการณ์นี้แอบแฝงวัตถุประสงค์ทางการเมือง อาทิ ท้าทายโจมตีการทำงานของเจ้าหน้าที่ ตั้งข้อสงสัยเคลือบแคลงในแนวทางสืบสวนคดี หรือกล่าวร้ายให้เข้าใจไปว่าสถานการณ์รุนแรงกว่าความเป็นจริง ซึ่งล้วนเป็นถ้อยคำที่บั่นทอน และไม่ควรเกิดขึ้นในช่วงที่บ้านเมืองต้องการพลังใจและความจริงใจให้กัน จึงขอวอนให้การรับฟัง หรือ ส่งต่อ ข้อมูลใด ดำเนินไปด้วยความระมัดระวัง คิดพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อมิให้กลายเป็นผู้ทำร้ายพลังใจของคนร่วมชาติ และกลายเป็นส่วนสนับสนุนให้เกิดการบิดเบือนสถานการณ์ ข้อมูลใดที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศก็ไม่ควรเผยแพร่ต่อไป
*** งัดกฎหมายคุมปล่อยข่าวในโซเชี่ยล
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. กล่าวว่า ขอแจ้งให้ทราบว่าเจ้าหน้าที่จะเพิ่มระดับต่อการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลทางสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะที่ผิดกฎหมาย และผู้ที่ออกมาสร้างเหตุก่อกวน จนทำให้สังคมเกิดความสับสนหรือตื่นตระหนกอย่างจริงจัง
***จับมือโยนบึ้มปลอมปรับ 1 พันบาท
ที่สน.ลุมพินี ตำรวจได้สอบปากคำนายธรภณ พวงจันทร์ขาว อายุ 22 ปี ซึ่งเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งย่านบางเขน หลังตรวจสอบพบว่าเป็นผู้โยนกล่องต้องสงสัยว่าจะเป็นระเบิด ที่บริเวณใต้บันไดทางขึ้นรถไฟฟ้า BTS สถานีนานา เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา
นายธรภณกล่าวว่า ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ที่ต่อเป็น 2 ตอน มาส่งยาเวชภัณฑ์ย่านสุขุมวิทซอย 5 แต่รถติด ก็เลยมายูเทิร์นใต้ BTS นานา แล้วมาจอดบริเวณจุดเกิดเหตุ เห็นว่าของมันเยอะเกินไป ก็เลยจัดเรียงของใหม่ด้วยการโยนกล่องลงมาที่พื้นประมาณ2-3ชิ้น แต่ว่าเก็บขึ้นมาใส่รถไม่ครบ ลืมกล่องที่เป็นที่รองยาเอาไว้ ก็เลยเกิดเรื่องขึ้น
ทั้งนี้ ตำรวจได้ให้ไปเสียค่าปรับ 1,000 บาท ข้อหาสร้างความปั่นป่วนเดือดร้อน
**วางทีเอ็นทีปลอมป่วนเมืองสัตหีบ
นายปริญญา โพธิสัตย์ นายอำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า พบกล่องต้องสงสัยมีวัตถุคล้ายระเบิดโผล่ออกมา วางทิ้งไว้โคนเสาไฟฟ้า ริมถนนซอยข้างแพล้นปูน สาย 332 หมู่ 10 ต.บางเสร่ สั่งการให้นายชวัฒน์ เทพทัพ หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง นำกำลัง ร่วมกับตำรวจ และทหารเรือเข้าเคลียพื้นที่ กันประชาชนออกให้พ้นรัศมีระเบิด สร้างความแตกตื่นระทึกขวัญให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก
ต่อมาร.ต.ต.ธนเมศฐ์ โพธิพันธ์ รองสวป.สภ.สัตหีบ อดีตพลร่มความชำนาญการด้านเก็บกู้ระเบิด เข้าตรวจสอบเบื้องต้นพบเป็นกล่องกระดาษสี่เหลี่ยม ใช้ใส่อุปกรณ์ประปา ถูกผนึกด้วยสก๊อตเทปใสอย่างแน่นหนา ฝากล่องถูกเจาะรู มีท่อพีวีซีสีเหลือง 5 ท่อนมัดรวมกันพันทับด้วยเทปพันสายไฟฟ้าสีดำ ลักษณะคล้ายระเบิดทีเอ็นที และมีสายไฟสีขาวต่อออกจากจากตัวกล่องลากเข้าไปในพงหญ้า ลักษณะไม่บ่งชี้ว่าเป็นระเบิดจริง จึงใจใช้มีดคัตเตอร์กรีดเปิดปากกล่อง ท่ามกลางการลุ้นระทึกของเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน แต่ในที่สุดก็โล่งอกเมื่อพบว่าเป็นเพียงระเบิดปลอมเท่านั้น
นายปริญญา กล่าวว่า น่าจะเป็นความคึกคะนองของคนกลุ่มหนึ่ง นำมาวางไว้ตั้งแต่ช่วงกลางดึก ที่หวังสร้างสถานการณ์ให้เป็นกระแสไปกับเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ ไม่ได้เชื่อมเกี่ยวกับความขัดแย้ง หรือหมายปองร้ายใคร เพราะบริเวณที่นำระเบิดปลอมมาวางไม่มีบ้านเรือน แต่ก็สร้างความโกลาหล จึงให้ สภ.สัตหีบ ติดตามจับกุมผู้สร้างสถานการณ์มาลงโทษให้ได้