ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)เมื่อวานนี้ (13ส.ค.) มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาการถอดถอน อดีต ส.ส. 248 คน ออกจากตำแหน่ง กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาส.ว. มิชอบ โดยเป็นการรับฟังคำแถลงปิดสำนวนด้วยวาจาของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย คือ ป.ป.ช. และฝ่าย 248 อดีต ส.ส.
ทั้งนี้ ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหามีเพียง นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เพียงคนเดียว ที่เป็นตัวแทนพรรคเพื่อไทย มาแถลงปิดสำนวนด้วยวาจา ขณะที่อดีต ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา ขอแถลงปิดสำนวนเป็นลายลักษณ์อักษรแทน
นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการป.ป.ช. ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทน กก.ป.ป.ช. แถลงว่า ประเด็นที่ผู้ถูกกล่าวหายกมาต่อสู้ และแคลงใจอยู่ ในประเด็นความชอบด้วยกฎหมายของการเป็นกรรมการป.ป.ช. ของ นายภักดี โพธิศิริ คงเป็นที่ชัดเจนไปแล้ว จากหลักฐานต่างๆ ที่ยืนยันว่าการดำรงตำแหน่งชอบด้วยกฎหมายทุกประการ
แต่คำถามที่อาจจะข้องใจ คือ เมื่อสนช. มีมติไม่ถอดถอนอดีต ส.ว.ไปแล้วในเรื่องเดียวกัน ทำไม กรรมการป.ป.ช. จึงดันทุรังชี้มูลความผิด อดีต ส.ส.ทั้ง 248 คนนั้น ขอชี้แจงว่า กระบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แตกต่างจากกระบวนการพิจารณาของศาล คือเมื่อศาลวินิจฉัยเด็ดขาดไปแล้ว ในกระบวนการหลังต้องยึดถือตามนั้นเป็นบรรทัดฐาน แต่เรื่องเกี่ยวกับการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีความแตกต่างคือ การดำเนินการไต่สวนอุทธรณ์มีหลักการอย่างหนึ่ง ส่วนการพิจารณาของ สนช. ก็มีหลักเกณฑ์อีกอย่าง ทาง ป.ป.ช.จะพิจารณาว่า คำร้องขอให้ถอดถอน มีมูลหรือไม่ กรรมการป.ป.ช. ต้องให้เหตุผลในรูปกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริง ที่สำคัญต้องมีเหตุผลแห่งคำวินิจฉัย ส่วนกระบวนการปลายทาง คือ การพิจารณา สนช. ที่ทำหน้าที่เป็นวุฒิสภา ไม่ใช่กระบวนการตรวจสอบไต่สวนข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช. มีหน้าที่พิจารณาว่า จะถอดหรือไม่ถอดเท่านั้น เป็นดุลพินิจทางการเมือง ไม่มีระบบการให้เหตุผล และไม่ผูกพันองค์กร ดังนั้นจึงต้องมีการไต่สวนต่อไป ทั้งที่ สนช. มีมติไม่ถอดถอนอดีต ส.ว.ไปแล้ว
นายวิชัย กล่าวด้วยว่า ในทางวิชาการ ถือว่าพิจารณาถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นภารกิจของวุฒิสภาโดยแท้ ส่วนกรรมการ ป.ป.ช. เป็นเพียงกลไกของวุฒิสภาอย่างหนึ่งเท่านั้น ในฐานะต้องทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 คือ ต้องเคารพการทำงานของสนช. และต้องไม่แย่งชิงการทำหน้าที่ของ สนช.มาทำเสียเอง จึงต้องส่งเรื่องมาให้สนช. พิจาณาในวันนี้ และการถอดถอนไม่ใช่มีความมุ่งหมายเฉพาะนำบุคคลที่ไม่เหมาะสมออกจากตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังให้การเรียนรู้กับประชาชนจะได้เข้าใจระบบการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ต้องมีองค์ประกอบสองอย่าง คือ เสียงข้างมาก และเสียงข้างน้อย คือเสียงข้างมากต้องปกครองประเทศ แต่เสียงข้างน้อย ก็ต้องมีหลักประกันพอสมควรในการตรวจสอบเสียงข้างมาก
ส่วนความผิดคดีถอดถอน อดีต ส.ส. 248 คน ที่กำลังพิจารณานี้ พ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 มาตรา 58(4) คือใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ทางป.ป.ช.ต้องวินิจฉัยว่า การร่วมกับ นายอุดมเดช และสมาชิกคนอื่น ร่วมลงมติในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มฉบับที่มีปัญหาเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ คือในมาตรา 290 (1) ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 50 ที่บัญญัติญัตติขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยบุคคล 4 กลุ่ม จึงต้องวินิจฉัยว่า ร่างที่กลุ่มคนเหล่านี้นำมาใช้พิจารณา และลงมติในวาระ 1/2/3 จัดอยู่ในกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดใน 4 หรือไม่ ซึ่งพบว่า มีการยื่นแก้ไขเพิ่มต่อสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอย่างถูกต้อง แต่กลับไม่ได้นำมาใช้ในการพิจารณา และลงมติในที่ประชุม โดยร่างที่นำมาพิจารณา เป็นอีกร่างหนึ่ง มีหลักการเนื้อหาต่างกับเสนอญัตติ คือ มีการเพิ่ม ม. 6 ผลทำให้การแก้ไขข้อความ 116 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญพ.ศ.2550 ปลดล็อกข้อห้ามไม่ให้ ส.ว.ดำรงตำแหน่งสองคราวติดต่อกัน
ซึ่งในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีการกล่าวถึงที่มาที่ไปของร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมที่ใช้ในสภา โดย ผอ.สำนักประชุมสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ชี้แจงว่า นิติกรชำนาญพิเศษสำนักประชุมแจ้งว่า มีผู้มาขอเปลี่ยนร่าง โดยเป็นข้าราชการในสำนักเลขาธิการสภา ซึ่งเป็นคนของ นายอุดมเดช แต่ไม่มีการประสานจากนายอุดมเดช แต่อย่างใด และมีการนำไปใช้พิจารณาเห็นชอบวาระ 1 , 2 และ 3
ดังนั้นร่างที่นำมาสับเปลี่ยน จึงไม่ใช่ร่างที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 291(1) อย่างแน่นอน และจากกระบวนการที่สืบเนื่องจากนั้นคือ การลงมติใน วาระ 1/2/3 กลายเป็นการลงมติที่ไม่ชอบไปด้วย จึงถือว่าใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอย่างสมบูรณ์แล้ว
ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหา อ้างเรื่องกระบวนการนิติบัญญัติว่า เป็นเอกสิทธิที่สมาชิกรัฐสภาจะทำได้นั้น ตามหลักว่าด้วยการนิติบัญญัติ ถือเป็นหลักตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่มีผลบังคับใช้ เป็นแค่แนวทางการบังคับใช้อีกทีเท่านั้น และหลักการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะแตกต่างกับร่างพ.ร.บ. คือมีการเสนอในรูปของญัตติ ดังนั้นสมาชิกทุกคนที่ร่วมลงชื่อ และร่วมกันลงมติทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ
"การถอดถอน ถือเป็นมาตรการถ่วงดุล หรือคานอำนาจอย่างหนึ่ง ที่นอกจากสกัดกั้นบุคคลไม่เหมาะสมเข้ามาดำรงตำแหน่งการเมืองแล้วยังให้ความรู้ประชาชน ถึงแก่นแท้ของการปกครองแบบประชาธิปไตยอีกด้วย ตลอด 90 ปีของการปกครอง คนไทยรู้จักเพียงด้านเดียว คือ ประชาธิปไตยเสียงข้างมาก แต่ไม่ให้ความสนใจต่อปัญหาเรื่องการรังแกเสียงข้างน้อยเลย ดังนั้นเรื่องนี้จะทำให้เสียงข้างน้อยมีหลักประกัน หรือมีที่ยืน มีความอดกลั้นและยอมรับความพ่ายแพ้ แก่การเลือกตั้ง และไม่ทำให้เกิดวัฒนธรรมแบบด้านได้ อายอด ของเสียงข้างมากอย่างที่เป็นอยู่นี้ ดังนั้นประสิทธิภาพการถอดถอนในคดีนี้ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศด้วย" นายวิชัยระบุ
ขณะที่ นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย แถลงปิดสำนวนว่า ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของ อดีต ส.ส. 248 คน ทำด้วยความสุจริต ไม่มีอะไรแอบแฝง ยึดหลักประชาธิปไตย การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ดำเนินการตามมาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญ และขั้นตอนการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ยืนยันว่า การแก้ไขร่างกฎหมายทำได้ ตราบใดที่ประธานสภาฯ ยังไม่สั่งบรรจุร่างเข้าสู่วาระการประชุม ที่ผ่านมา เคยมีการแก้ไข ร่าง พ.ร.บ.ต่างๆ ก่อนบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมมาแล้ว ซึ่งอดีตรองประธานวุฒิสภา ที่ขณะนี้เป็นรองประธานสนช. ก็เคยไปให้ปากคำต่อ ป.ป.ช. ว่า สามารถทำได้ เรื่องนี้เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า เป็นร่างปลอม แต่ขอยืนยันว่า มีเพียงร่างเดียว ตั้งแต่วาระ 1-3 ซึ่งตลอดการพิจารณาวาระสอง ฝ่ายผู้ร้อง ก็ไม่เคยท้วงติงว่า เป็นร่างปลอม
นายสามารถ กล่าวว่า ขณะนี้สังคมยังกังขาถึงคุณสมบัติ นายภักดี โพธิศิริ ว่ามีคุณสมบัติเป็นกรรมการ ป.ป.ช.หรือไม่ เพราะไม่ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัทเอกชน ภายในเวลาที่กำหนด หลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นกรรม การ ป.ป.ช. ขณะที่ ป.ป.ช. บางคนมีอคติต่อ ส.ส. โดยป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดอดีต ส.ส. 248 คน ในวันเดียวกับที่ สนช. ลงมติว่า อดีต ส.ว. 38 คน ไม่มีความผิดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กรณีที่มาส.ว. ทั้งที่เป็นฐานความผิดเดียวกัน น่าคิดว่า เป็นอคติ ไม่ยึดหลักการที่ถูกต้องหรือไม่ จะต้องเล่นกันให้สุดๆเลยใช่หรือไม่
ขณะเดียวกัน ปัจจุบันไม่มีรัฐธรรมนูญปี 50 แล้ว ป.ป.ช. จึงไม่มีอำนาจอ้างรัฐธรรมนูญที่ถูกยกเลิกไปแล้ว มาลงโทษพวกตน และอดีตส.ส. 248 คน พ้นจากหน้าที่ไปแล้ว จึงไม่มีตำแหน่งอะไรเหลือให้ถูกถอดถอนอีก ทั้งนี้ หวังว่า สนช. จะยึดการลงมติกรณี อดีต 38 ส.ว.มาพิจารณาเป็นบรรทัดฐานในการลงมติคดีนี้เช่นกัน
จากนั้นนายสุรชัย ในฐานะประธานที่ประชุม ได้นัดสมาชิกพิจารณาลงมติถอดถอน อดีต ส.ส.248 คน ในวันนี้(14 ส.ค.)เวลา10.00 น.
ทั้งนี้ ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหามีเพียง นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เพียงคนเดียว ที่เป็นตัวแทนพรรคเพื่อไทย มาแถลงปิดสำนวนด้วยวาจา ขณะที่อดีต ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา ขอแถลงปิดสำนวนเป็นลายลักษณ์อักษรแทน
นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการป.ป.ช. ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทน กก.ป.ป.ช. แถลงว่า ประเด็นที่ผู้ถูกกล่าวหายกมาต่อสู้ และแคลงใจอยู่ ในประเด็นความชอบด้วยกฎหมายของการเป็นกรรมการป.ป.ช. ของ นายภักดี โพธิศิริ คงเป็นที่ชัดเจนไปแล้ว จากหลักฐานต่างๆ ที่ยืนยันว่าการดำรงตำแหน่งชอบด้วยกฎหมายทุกประการ
แต่คำถามที่อาจจะข้องใจ คือ เมื่อสนช. มีมติไม่ถอดถอนอดีต ส.ว.ไปแล้วในเรื่องเดียวกัน ทำไม กรรมการป.ป.ช. จึงดันทุรังชี้มูลความผิด อดีต ส.ส.ทั้ง 248 คนนั้น ขอชี้แจงว่า กระบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แตกต่างจากกระบวนการพิจารณาของศาล คือเมื่อศาลวินิจฉัยเด็ดขาดไปแล้ว ในกระบวนการหลังต้องยึดถือตามนั้นเป็นบรรทัดฐาน แต่เรื่องเกี่ยวกับการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีความแตกต่างคือ การดำเนินการไต่สวนอุทธรณ์มีหลักการอย่างหนึ่ง ส่วนการพิจารณาของ สนช. ก็มีหลักเกณฑ์อีกอย่าง ทาง ป.ป.ช.จะพิจารณาว่า คำร้องขอให้ถอดถอน มีมูลหรือไม่ กรรมการป.ป.ช. ต้องให้เหตุผลในรูปกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริง ที่สำคัญต้องมีเหตุผลแห่งคำวินิจฉัย ส่วนกระบวนการปลายทาง คือ การพิจารณา สนช. ที่ทำหน้าที่เป็นวุฒิสภา ไม่ใช่กระบวนการตรวจสอบไต่สวนข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช. มีหน้าที่พิจารณาว่า จะถอดหรือไม่ถอดเท่านั้น เป็นดุลพินิจทางการเมือง ไม่มีระบบการให้เหตุผล และไม่ผูกพันองค์กร ดังนั้นจึงต้องมีการไต่สวนต่อไป ทั้งที่ สนช. มีมติไม่ถอดถอนอดีต ส.ว.ไปแล้ว
นายวิชัย กล่าวด้วยว่า ในทางวิชาการ ถือว่าพิจารณาถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นภารกิจของวุฒิสภาโดยแท้ ส่วนกรรมการ ป.ป.ช. เป็นเพียงกลไกของวุฒิสภาอย่างหนึ่งเท่านั้น ในฐานะต้องทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 คือ ต้องเคารพการทำงานของสนช. และต้องไม่แย่งชิงการทำหน้าที่ของ สนช.มาทำเสียเอง จึงต้องส่งเรื่องมาให้สนช. พิจาณาในวันนี้ และการถอดถอนไม่ใช่มีความมุ่งหมายเฉพาะนำบุคคลที่ไม่เหมาะสมออกจากตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังให้การเรียนรู้กับประชาชนจะได้เข้าใจระบบการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ต้องมีองค์ประกอบสองอย่าง คือ เสียงข้างมาก และเสียงข้างน้อย คือเสียงข้างมากต้องปกครองประเทศ แต่เสียงข้างน้อย ก็ต้องมีหลักประกันพอสมควรในการตรวจสอบเสียงข้างมาก
ส่วนความผิดคดีถอดถอน อดีต ส.ส. 248 คน ที่กำลังพิจารณานี้ พ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 มาตรา 58(4) คือใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ทางป.ป.ช.ต้องวินิจฉัยว่า การร่วมกับ นายอุดมเดช และสมาชิกคนอื่น ร่วมลงมติในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มฉบับที่มีปัญหาเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ คือในมาตรา 290 (1) ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 50 ที่บัญญัติญัตติขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยบุคคล 4 กลุ่ม จึงต้องวินิจฉัยว่า ร่างที่กลุ่มคนเหล่านี้นำมาใช้พิจารณา และลงมติในวาระ 1/2/3 จัดอยู่ในกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดใน 4 หรือไม่ ซึ่งพบว่า มีการยื่นแก้ไขเพิ่มต่อสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอย่างถูกต้อง แต่กลับไม่ได้นำมาใช้ในการพิจารณา และลงมติในที่ประชุม โดยร่างที่นำมาพิจารณา เป็นอีกร่างหนึ่ง มีหลักการเนื้อหาต่างกับเสนอญัตติ คือ มีการเพิ่ม ม. 6 ผลทำให้การแก้ไขข้อความ 116 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญพ.ศ.2550 ปลดล็อกข้อห้ามไม่ให้ ส.ว.ดำรงตำแหน่งสองคราวติดต่อกัน
ซึ่งในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีการกล่าวถึงที่มาที่ไปของร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมที่ใช้ในสภา โดย ผอ.สำนักประชุมสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ชี้แจงว่า นิติกรชำนาญพิเศษสำนักประชุมแจ้งว่า มีผู้มาขอเปลี่ยนร่าง โดยเป็นข้าราชการในสำนักเลขาธิการสภา ซึ่งเป็นคนของ นายอุดมเดช แต่ไม่มีการประสานจากนายอุดมเดช แต่อย่างใด และมีการนำไปใช้พิจารณาเห็นชอบวาระ 1 , 2 และ 3
ดังนั้นร่างที่นำมาสับเปลี่ยน จึงไม่ใช่ร่างที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 291(1) อย่างแน่นอน และจากกระบวนการที่สืบเนื่องจากนั้นคือ การลงมติใน วาระ 1/2/3 กลายเป็นการลงมติที่ไม่ชอบไปด้วย จึงถือว่าใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอย่างสมบูรณ์แล้ว
ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหา อ้างเรื่องกระบวนการนิติบัญญัติว่า เป็นเอกสิทธิที่สมาชิกรัฐสภาจะทำได้นั้น ตามหลักว่าด้วยการนิติบัญญัติ ถือเป็นหลักตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่มีผลบังคับใช้ เป็นแค่แนวทางการบังคับใช้อีกทีเท่านั้น และหลักการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะแตกต่างกับร่างพ.ร.บ. คือมีการเสนอในรูปของญัตติ ดังนั้นสมาชิกทุกคนที่ร่วมลงชื่อ และร่วมกันลงมติทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ
"การถอดถอน ถือเป็นมาตรการถ่วงดุล หรือคานอำนาจอย่างหนึ่ง ที่นอกจากสกัดกั้นบุคคลไม่เหมาะสมเข้ามาดำรงตำแหน่งการเมืองแล้วยังให้ความรู้ประชาชน ถึงแก่นแท้ของการปกครองแบบประชาธิปไตยอีกด้วย ตลอด 90 ปีของการปกครอง คนไทยรู้จักเพียงด้านเดียว คือ ประชาธิปไตยเสียงข้างมาก แต่ไม่ให้ความสนใจต่อปัญหาเรื่องการรังแกเสียงข้างน้อยเลย ดังนั้นเรื่องนี้จะทำให้เสียงข้างน้อยมีหลักประกัน หรือมีที่ยืน มีความอดกลั้นและยอมรับความพ่ายแพ้ แก่การเลือกตั้ง และไม่ทำให้เกิดวัฒนธรรมแบบด้านได้ อายอด ของเสียงข้างมากอย่างที่เป็นอยู่นี้ ดังนั้นประสิทธิภาพการถอดถอนในคดีนี้ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศด้วย" นายวิชัยระบุ
ขณะที่ นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย แถลงปิดสำนวนว่า ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของ อดีต ส.ส. 248 คน ทำด้วยความสุจริต ไม่มีอะไรแอบแฝง ยึดหลักประชาธิปไตย การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ดำเนินการตามมาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญ และขั้นตอนการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ยืนยันว่า การแก้ไขร่างกฎหมายทำได้ ตราบใดที่ประธานสภาฯ ยังไม่สั่งบรรจุร่างเข้าสู่วาระการประชุม ที่ผ่านมา เคยมีการแก้ไข ร่าง พ.ร.บ.ต่างๆ ก่อนบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมมาแล้ว ซึ่งอดีตรองประธานวุฒิสภา ที่ขณะนี้เป็นรองประธานสนช. ก็เคยไปให้ปากคำต่อ ป.ป.ช. ว่า สามารถทำได้ เรื่องนี้เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า เป็นร่างปลอม แต่ขอยืนยันว่า มีเพียงร่างเดียว ตั้งแต่วาระ 1-3 ซึ่งตลอดการพิจารณาวาระสอง ฝ่ายผู้ร้อง ก็ไม่เคยท้วงติงว่า เป็นร่างปลอม
นายสามารถ กล่าวว่า ขณะนี้สังคมยังกังขาถึงคุณสมบัติ นายภักดี โพธิศิริ ว่ามีคุณสมบัติเป็นกรรมการ ป.ป.ช.หรือไม่ เพราะไม่ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัทเอกชน ภายในเวลาที่กำหนด หลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นกรรม การ ป.ป.ช. ขณะที่ ป.ป.ช. บางคนมีอคติต่อ ส.ส. โดยป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดอดีต ส.ส. 248 คน ในวันเดียวกับที่ สนช. ลงมติว่า อดีต ส.ว. 38 คน ไม่มีความผิดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กรณีที่มาส.ว. ทั้งที่เป็นฐานความผิดเดียวกัน น่าคิดว่า เป็นอคติ ไม่ยึดหลักการที่ถูกต้องหรือไม่ จะต้องเล่นกันให้สุดๆเลยใช่หรือไม่
ขณะเดียวกัน ปัจจุบันไม่มีรัฐธรรมนูญปี 50 แล้ว ป.ป.ช. จึงไม่มีอำนาจอ้างรัฐธรรมนูญที่ถูกยกเลิกไปแล้ว มาลงโทษพวกตน และอดีตส.ส. 248 คน พ้นจากหน้าที่ไปแล้ว จึงไม่มีตำแหน่งอะไรเหลือให้ถูกถอดถอนอีก ทั้งนี้ หวังว่า สนช. จะยึดการลงมติกรณี อดีต 38 ส.ว.มาพิจารณาเป็นบรรทัดฐานในการลงมติคดีนี้เช่นกัน
จากนั้นนายสุรชัย ในฐานะประธานที่ประชุม ได้นัดสมาชิกพิจารณาลงมติถอดถอน อดีต ส.ส.248 คน ในวันนี้(14 ส.ค.)เวลา10.00 น.