ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ทั้งยังมีข้าราชการตำรวจอื่นที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ซึ่งมิใช่คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นเช่นนี้รอรับการเยียวยาก่อนหน้าพล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล อีกจำนวนมาก แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกลับปล่อยปละละเลยถือว่าธุระไม่ใช่ เลือกปฏิบัติไม่ดำเนินการเยียวยา โดยเลือกที่จะทำการเยียวยาให้แก่พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล เป็นลำดับแรก ทั้งๆที่เมื่อมีคำพิพากษาศาลปกครองกลางในวันที่ 10 มิ.ย. 2558 ก.ตร.ถึงขนาดนำมติในการประชุมครั้งที่ 15/2552 เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2552 มาทบทวนแล้วมีมติใหม่ดังกล่าวโดยมิได้คำนึงถึงจิตใจข้าราชการตำรวจอื่นที่รอรับการเยียวยาจำนวนมากอยู่ก่อนเลย อันเป็นการเลือกปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ การกระทำลักษณะเช่นนี้ยิ่งทำให้เห็นถึงการเล่นพรรคเล่นพวกกัน โดยหากเป็นพวกที่มีความสนิทสนมใก้ลชิดกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แล้วก็จะได้รับการดูแลเป็นพิเสษมากกว่าข้าราชการตำรวจอื่นในทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นและตำแหน่งสำคัญ....
การเยียวยาให้แก่พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ดังกล่าว จึงก่อให้เกิดความแตกแยกทั้งความรักความสามัคคีในหมู่ข้าราชการตำรวจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการเล่นพรรคเล่นพวกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ฯพณฯเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดขอบข้าราชการตำรวจตามกฏหมาย แต่หากไม่มีความสามารถพอที่จะปกครองเขาเหล่านั้นให้บังเกิดความยุติธรรมได้แล้ว ฯพณฯ จะปกครองประชาชนให้รักและสามัคคีปรองดองกันเพื่อคืนความสุขให้แก่คนในชาติได้อย่างไร”
ตอนหนึ่งของหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผบ.ตร.ส่งถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ จนเป็นเหตุให้วาระการประชุมเรื่องเยียวยาทวีคูณอายุราชการของพล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล ต้องเลื่อนออกไปและการเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แน่นอนว่าฝ่ายหนึ่งต้องผิดหวัง แต่เหตุผลต่างๆที่อดีตนายตำรวจใหญ่ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนนำเสนอต่อสาธารณะนั้นสะท้อนความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลคณะ คสช.ว่ายังคงวังวนอยู่ในระบบพวกพ้อง เส้นสาย
การเสียจังหวะของนายตำรวจเพียงคนเดียวเพื่อแลกกับหลักการถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้งย่อมส่งผลดีต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างแน่นอนเพราะในช่วงมืดมิดของสังคมสีกากียังมีคุณธรรมของผู้มีอำนาจตัวจริงแสดงออกมาให้เห็น จนต้องกลับไปยังข้อความหนังสือร้องทุกข์ของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่ว่า...หากฯพณฯไม่สามารถปกครองเขาเหล่านั้นให้บังเกิดความยุติธรรมแล้ว จะปกครองประชาชนให้รักและสามัคคีปรองดองกันเพื่อคืนความสุขให้แก่คนในชาติได้ย่างไร....
เมื่อผู้มีอำนาจมองเห็นปัญหาภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วแน่นอนว่าน่าจะเกิดผลดีต่อการพิจารณาตำแหน่งสำคัญอีกตำแหน่งหนึ่งนั่นคือ “ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”คนใหม่
หลังจากนำเสนอเบื้องหน้าเบื้องหลังกันมาอย่างต่อเนื่องจนทราบกันดีว่า “คู่ชิง”หรือ แคนดิเดทที่แท้จริงก็คือพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์รองผบ.ตร.ฝ่ายกฎหมาย เจ้าของผลงานขุดรากถอนโคนขบวนการค้ามนุษย์ ผู้มีอาวุโสอันดับ 1 กับพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36 ผู้มีอาวุโสอันดับ 5 ผลงานต่างๆที่ผ่านมาคือคดีเกาะเต่า ฆ่าหมอพระและคดีความมั่นคง
ส่วนสายตำรวจที่เหลือคือพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ และพล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน หากไม่หลอกตัวเอง ไม่โลกสวยอย่างที่ใครพยายามจะอธิบายต่อสังคมว่านายตำรวจทั้ง 5 ที่จัดทำวิสัยทัศน์ตามคำสั่งของพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.ล้วนมีสิทธิ์ได้เลื่อนเป็นผบ.ตร.คนใหม่ทั้งสิ้น แต่ในความเป็นจริงก็แค่แอบฝัน แอบลุ้นเพราะบุคคลที่จะชี้ชะตาให้ใครมานั่งตำแหน่งนี้ก็คือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะ คสช.
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและได้รบมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ไม่ใช่ นาทีถึงพริกถึงขิงมีเพียงนายกฯตู่ คนเดียวที่จะชี้เป็นชี้ตาย !!
ส่วนขั้นตอน จังหวะลีลาต่างๆนั้นเป็นเพียงพิธีกรรมมาประกอบการตัดสินใจ...จริงอยู่ที่เงื่อนไขของบุคคลที่จะก้าวเป็น ผบ.ตร.คนที่ 11 มีสเปกรวมๆว่าต้องมีความอาวุโส มีความสามารถและสนองนโยบายรัฐบาลได้แต่ที่มากไปกว่าก็คือประวัติต่างๆที่ผ่านมามีความซื่อสัตย์สุจริตมากน้อยแค่ไหน หรือมีความด่างพร้อยพอเอ่ยชื่อออกมาสังคมร้อง “ยี้”หรือไม่
ดังนั้นวิธีคิดของผู้มีอำนาจในยุคคืนความสุขควรจะตีกรอบว่ากันแบบนี้ อาวุโส ความสามารถ ตอบสนองนโยบายรัฐบาลได้ และต้องมีประวัติไม่ด่างพร้อย
ถึงตรงนี้อาจจะมีคนถามว่าเหตุใดจึงตัด “พงศพัศ - วุฒิ -เฉลิมเกียรติ”ออกไป คำตอบแบบแมนๆที่ไม่ต้องมานั่งแหกตากันก็คือพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ นั้นท่านเป็นตำรวจสีอะไร ....ยิ่งมีเสียงร่ำลือว่า สตช.ในยุค “เซียนอ๊อด คาสิโน”ภายใต้กำกับดูแลของท่านรองฯประวิตร ยังมีตำรวจมะเขือเทศโลดแล่นอยู่เต็มไปหมดทหารเขาจะเอาหรือ
บทพิสูจน์ขอให้ดูรายชื่อบรรดา สนช.สายตำรวจมี “พงศพัศ”ติดตรงไหนหรือไม่ เหตุผลคือเขาไม่ไว้ใจ เอาแค่ปล่อยให้ทำหน้าที่ตามปกติในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ถือเป็นบุญโขแล้วดังนั้นจึงอย่าคิดอย่าฝัน
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน เป็นนายตำรวจอีกคนหนึ่งที่เจอหางเลขการเมืองด้วยเพราะเป็นลูกเขยของพล.ต.อ.ประชา พรหมนอกอดีตผบ.ตร.ผู้หันมาเล่นการเมืองในซีก “ทักษิณ” แม้จะก้มหน้าก้มตาทำงาน วางตัวอย่างปกติไม่อิงสีใดๆแต่ผู้มีอำนาจจำเป็นถึงขนาดต้องเรียก “เสี่ยอวบ”มาใช้บริการหรือ
สุดท้ายคือพล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ รองผบ.ตร. AEC แม้จะลอยตัวเหนือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นใน สตช.และมีความน่าสนใจที่สุดคนหนึ่งในบรรดารายชื่อทั้งหมดแต่อาจเพราะความ “พลิ้วสูง” ขาดลูก “ได้-เสีย”จุดแข็งตรงนี้จึงเด้งกลับกลายเป็น “จุดอ่อน”
นี่คือข้อเท็จจริงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ และไม่มีไอ้โม่ง-อีโม่งที่ไหนไปปล่อยข่าวดีสเครดิต “คู่ชิง”ผบ.ตร.ตามที่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.ออกมาตีโพยตีพาย
ทุกข่าว ทุกบทวิเคราะห์สะท้อนการเคลื่อนไหวในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปอย่างรู้เท่าทันเช่น ผบ.ตร.เป็นนายร้อยตำรวจรุ่น 31 รุ่นเดียวกับพล.ต.อ.พงศพัศ ก็อาจจะมีจิตใจเอนเอียงไปทางเพื่อนบ้างซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในสังคมไทยที่เพื่อนต้องเป็นห่วงเพื่อน และสนับสนุนเมื่อมีโอกาส เพราะถ้า “เซียนอ๊อดกาสิโน”ไม่บัง “จูดี้”ไว้ป่านนี้ไม่รู้ไปนั่งตบยุงที่ไหนแล้ว เป็นต้น
หรือความสนิทสนมที่มีต่อน้องๆ นรต.36 อย่างออกหน้าออกตา ท่านผบ.ตร.จะปฏิเสธอย่างไรได้เพราะรอบๆตัวมองไปทางไหนก็เจอแต่เลข 36 ไม่ว่าจะเป็นพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดารองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง หรือพล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบช.สันติบาล เป็นต้น
แม้แต่ความขัดแย้งไม่เพียงระดับ รองผบ.ตร.ยังขยายวงลงล่างไปถึง “บิ๊กปู”พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิตพราหมณกุล ผบช.น. ( นรต.35) ตามที่ทราบกัน
คำสัมภาษณ์เมื่อวันก่อนท่านผบ.ตร.พูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่า มีการสาดโคลนทำลายความเชื่อถือของคู่ชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการที่สกปรก ไม่ใช่เรื่องลุกผู้ชายที่ทำกัน...อย่าทำอย่างนั้นไม่ดีเลยเพราะทำให้องค์กรเสื่อมเสีย คนข้างนอกจะมองว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่มีความสามัคคี แก่งแย่งชิงดี “ผมเองก็เคยโดน แต่ทองแท้ไม่แพ้ไฟ”
ท่านว่าของท่านไปเรื่อยเพราะข้อเท็จจริงปรากฏอยู่แล้วว่า ผบ.ตร.ให้ท้าย-สนับสนุนพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ตั้งแต่ออกสตาร์ท ส่วนพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร.ฝ่ายกฎหมาย ครั้งหนึ่งเคยถูกพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้มีอาวุโสน้อยกว่าแต่รวยกว่าขับรถปาดหน้ามาแล้ว
ประสบการณ์ครั้งนั้น “บิ๊กเอก”ก็ต้องรู้รักษาเนื้อรักษาตัว ขับรถด้วยความระมัดระวัง ไม่ยอมเผลอเพราะมัวเพลินเมื่อไหร่พวกปากว่าตาขยับ พวกรอโอกาสก็เบียดเข้ามา กระแซะเข้ามาจากถึงก่อนต้องไปต่อตูดเขา
เที่ยวนี้เหลือปีเดียวถ้าทำเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน มีความเชื่อว่าตำแหน่งผบ.ตร.เป็นเรื่องของบุญวาสนาโดยไม่ต้องแสดงอิทธิฤทธิ์อะไร “บิ๊กเอก”ก็คงไม่ปกติอย่างแน่นอน
วันนี้ใก้ลกำหนดถอดหัวโขนเข้ามาทุกทีแล้ว เฉพาะพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.เจ้าของคำพูด “ยุคผมใหญ่แค่ไหนก็จับ” หรือเคยเป็นหัวหอกหนุนให้ประเทศไทยเปิดบ่อยกาสิโนถูกกฎหมายจนต้องยกให้ท่านเป็น “เซียนอ๊อด กาสิโน”ในฐานะกูรู รู้แจ้งเห็นจริง...ท่านเหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 เดือน
หลังจากนั้นคงกลับไปเป็น “เซียนหุ้น”อย่างเต็มตัว ดีไม่ดีอาจเตรียมเล่นการเมืองเป็นใหญ่เป็นโตกลับมาบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกครั้ง
แต่สิ่งที่จะฝากไว้ก็คือสิ่งที่ท่านเห็นว่าเหมาะ ควรหรือถูกต้องแล้วอาจไม่เหมาะ ไม่ควร ไม่ถูกต้องในสายตาคนอื่นก็ได้ หากท่านไม่ยอมรับก็อย่าดูแคลนความคิดของคนอื่นเพราะเขาอาจจะกลับไปดูถูกความคิดของท่านก็ได้...อย่าคิดว่าใหญ่โตร่ำรวยจนลืมส่องกระจก
เกือบ 1 ปีของ “เซียนอ๊อด กาสิโน”สดๆร้อนๆเป็นเดือดเป็นร้อนกับขบวนการปล่อยข่าวทำให้คนภายนอกมองสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ดี แตกแยกแย่งชิงและไม่สามัคคี...ถามจริงๆท่านไม่ทราบหรือทำเป็นแกล้ง
วันแรกที่ก้าวมาเป็นผบ.ตร.คนที่ 10 ตำรวจทั้งประเทศไชโยโห่ร้อง ท่านบอกว่าจะให้ตำรวจเป็นที่ยอมรับของประชาชน จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่และศักดิ์ศรีตำรวจดีขึ้น “ตำรวจจะเป็นที่รักของประชาชน”
แล้วไง วันเวลานาฬิกาถอยหลังหนาห้องทำงานมันบอกให้ท่านได้คิดอะไรอีกไหม..ตกลงจนจะเกษียณฯแล้วตำรวจยังทยอยฆ่าตัวตายอยู่บ่อยๆ....คุณภาพชีวิตลุกน้องเป็นอย่างไร ดีขึ้นจริงไหมเพราะที่ผ่านมาเห็นมีแต่พระเดช ย้ายล้างบาง ย้ายกันเป็นร้อยเป็นพัน และ....ประชาชนยอมรับและรักตำรวจหรือยัง
ตอนนี้มาทำตกใจเรื่องสามัคคีสีกากี...สาเหตุมาจากอะไร ใครเป็นคนทำจวนจะเก็บข้าวของกลับบ้านแล้วท่านยังไม่รู้ตัวอีกหรือ!!!