xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ลุงกำนัน-เด็ก กปปส.” สุมหัว เคลื่อนทัพแม่น้ำสายที่ 6 ต่ออายุ “ลุงตู่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สุเทพ เทือกสุบรรณ
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ความจริงต้องบอกว่า พูดกันมาปากเปียกปากแฉะและโยนหินถามทางกันมาจนรถแทบจะวิ่งไม่ได้แล้ว สำหรับ “การต่ออายุ” รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดยไม่เป็นไปตามโรดแมปที่ป่าวประกาศเอาไว้

คราวนี้จะแปลกอะไรถ้าจะมีกระแสข่าวว่า รัฐธรรมนูญที่กำลังร่างโดยคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญของ “ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” จะถูกคว่ำ โดยสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ดังที่มีการสาวไส้ให้กากินของคนกันเอง

เพราะตัวละครที่ปรากฏเป็นข่าวเรื่องรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะขออยู่ต่อเพื่อปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งก็ยังเป็นตัวละครหน้าเดิมๆ ทั้งนายวันชัย สอนศิริ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งมีความเห็นในลักษณะนี้ต่อสาธารณชนมาโดยตลอด

ขณะที่นายไพบูลย์เสนอให้ทำประชามติก่อนเลือกตั้ง นายวันชัยก็เสนอให้คว่ำรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วทั้ง 2 วิธีล้วนมีจุดประสงค์เดียวกันคือให้รัฐบาล คสช.บริหารประเทศต่อไป

รวมกระทั่งถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณที่เพิ่งสึกออกมาก็ประกาศชัดว่า ต้องการให้รัฐบาลปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แถมยังระบุด้วยว่า ไม่จำกัดระยะเวลาในการปฏิรูปอีกต่างหาก หรือสามารถใช้คำว่า “ปฏิรูปจนกว่าจะพอใจ” กลายเป็นแม่น้ำสายที่ 6 เข้ามาช่วยสนับสนุนการอยู่เพื่อปฏิรูปของรัฐบาล คสช.ต่อไปอีกด้วย

และถ้าจะว่าไปแล้ว ก็ต้องบอกว่า ทั้งนายวันชัยและนายไพบูลย์ก็ล้วนแล้วแต่เป็น สปช.ที่มีความใกล้ชิดกับลุงกำนันและ กปปส.อย่างไม่อาจปฏิเสธได้

แต่การที่เสนอถึงขั้นให้คว่ำรัฐธรรมนูญเพื่อขออยู่ต่อนั้น ดูเหมือนจะมี เสียงคัดค้านดังขรมถึงความสูญเปล่าในการทำหน้าที่ขององค์กรที่ คสช.ตั้งขึ้นมาอย่างคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญและสภาปฏิรูปแห่งชาติ และภาษีที่ประชาชนทั้งประเทศต้องเสียไปเพื่อองค์กรเหล่านี้

นายสิระ เจนจาคะ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านสังคม ซึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่พุทธะอิสระ ย้ำแล้วย้ำอีกว่ามีกระบวนการรวบรวมรายชื่อ เพื่อให้สมาชิก สปช.ลงมติคว่ำร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแลกกับการเข้าดำรงตำแหน่ง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเป็นเรื่องจริง ซึ่งตอนนี้มีสมาชิก สปช. ลงชื่อแล้วจำนวน 100 คนโดยกระบวนการในการทำจะเป็นไปในลักษณะให้กลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่ง ราว 2-3 คน ทำหน้าที่ไปขอให้สมาชิก สปช. ลงนามในกระดาษเปล่า

“ผมไม่เข้าใจคุณวันชัย สอนศิริ สปช. ที่ออกมาพูดว่าจะคว่ำร่าง รัฐธรรมนูญโดยไม่บอกเหตุผลว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ดีตรงไหน และทำไมไม่พูดสิ่งดีๆ ในร่างรัฐธรรมนูญบ้าง การที่คิดแบบนี้แสดงว่ามีอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า อย่าลืมว่าก็เป็นสมาชิก สปช.ที่ทำคลอด กมธ.ยกร่างฯเหมือนกัน ดังนั้น หากคุณเป็นสุภาพบุรุษ ผมขอท้าว่าคุณวันชัยและสมาชิก สปช.คนไหนที่คว่ำร่างรัฐธรรมนูญขอให้แสดงความรับผิดชอบด้วยการคืนเงินเดือนและ สวัสดิการที่ได้ระหว่างเป็นสมาชิก สปช.ที่เป็นภาษีของประชาชน หรือจะมีวิธีรับผิดชอบอย่างไรกับเงินและเวลาที่เสียไป ซึ่งผมขอประกาศว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำผมจะคืนเงินทุกบาทให้กับประเทศ” นายสิระเตือนสติติ่ง คสช.

ย้ำกันอีกครั้ง ผู้ที่ออกมาแฉเรื่องนี้ก็คือนายสิระ เจนจาคะ ศิษย์เอกของ หลวง ปู่พุทธอิสระ ซึ่งถือเป็นพระที่ขุนทหารผู้มีอำนาจใน คสช.ล้วนแล้วแต่ให้ความเคารพนับถือและฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้จึงไม่ใช่ข่าวโคมลอยอย่างแน่นอน

และคำถามที่นายสิระโยนให้สังคมได้ขบคิดก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องน่ารับฟังทั้งสิ้น

และหากยังไม่ลืม นายสิระผู้นี้ก็คือคนที่ออกมาแฉเรื่องการรับใบสั่ง “พล.อ.”สนับสนุนการเปิดบ่อนกาสิโนเพื่อแลกกับเก้าอี้สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ แถมแจก 1 หมื่นล้านไปตั้งพรรคการเมืองมาแล้วก่อนหน้านี้ ดังนั้น ข้อมูลจากปากของนายสิระจึงเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง

ทว่า ดูเหมือนนายวันชัยจะไม่สนใจและยังคงตอกย้ำแนวทางของตนเอง เหมือนเดิมว่า “จำเป็นที่รัฐบาลต้องอยู่ปฏิรูปต่อไป โดยที่รัฐธรรมนูญต้องไม่ผ่าน เพราะหากรัฐธรรมนูญผ่าน คนจะมองไปที่การเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ อำนาจตามมาตรา 44 ที่ต้องใช้ผลักดันให้มีการปฏิรูปจะไม่มีน้ำหนักอีกต่อไป”

ขณะที่ทางด้านนายไพบูลย์ซึ่งต้องถือเป็นกระบอกเสียงของ คสช.อีกสายหนึ่งก็เดินหน้าการขออยู่ต่ออย่างไม่ลดละเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมานายไพบูลย์พร้อมด้วย สปช. อีกจำนวน 19 คน ได้ร่วมกันลงชื่อในหนังสือถึง นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช.เพื่อขอเสนอญัตติ เรื่อง ขอให้มีการปฏิรูปประเทศอีก 2 ปี ก่อนจัดการเลือกตั้ง โดยให้เหตุผลว่า จากการสำรวจความเห็นประชาชนเพื่อปฏิรูปประเทศไทย จำนวน 24,721 คน ที่ดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏ 40 แห่ง พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 75.75 เห็นว่า ควรปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.มีประชาชนพร้อมรายชื่อผู้สนับสนุนจำนวน 50,000 ราย ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และประธาน สปช. ขอให้มีการทำประชามติให้ปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีความมั่นคงก่อนจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่

นั่นคือเหตุผลของติ่งลุงตู่เจ้าของฉายา “อวยกันจนไส้แตก”

แน่นอน ไม่อาจมองข้ามการเคลื่อนไหวของนายไพบูลย์ได้เพราะเมื่อตรวจสอบรายชื่อ สปช.ที่ลงชื่อร่วมกับนายไพบูลย์แล้วก็จะเห็นว่า ไม่ธรรมดาทั้งสิ้น เช่น บิ๊กเยิ้ม-พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป นายคุรุจิต นาครทรรพ นายมนูญ ศิริวรรณและนายดำรง พิเดช เป็นต้น

แต่ใครจะเคลื่อนไหวอย่างไร ก็ไม่มีความสำคัญเท่ากับความเห็นและท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งก็ดูเหมือนพล.อ.ประยุทธ์ได้แบะท่าในเรื่องนี้ออกมาชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ

พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังยกร่างโดยคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ไม่ผ่านการโหวตของสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)ก็จะต้องมีการตั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปฯขึ้นมาใหม่ รวมทั้งต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ขึ้นมาเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ซึ่งกระบวนการรวมทั้งขั้นตอนต่างๆจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าสองปี

“ถ้าบอกว่ารัฐบาลผมไม่ดีคงไม่เหลือใครดีแล้ว เพราะผมพยายามเลือกคนดี คนมีคุณธรรมเข้ามาทำงานให้พิสูจน์ฝีมือให้เห็นว่าการทำหน้าที่ดีๆ ทำอย่างไร ผมให้โอกาสกับทุกคน ไม่ได้ไปรังเกียจใคร ฝ่ายการเมืองผมก็จำเป็น เพราะผมเข้ามาอย่างนี้ ถ้าผมจะเอาฝ่ายการเมืองเก่าๆ มาทำงานกับผมมันก็คงไปกันไม่ได้ หลายคนก็เลยยังไม่เข้าใจ ออกมาว่าทุกวัน เพราะเขามีอำนาจอยู่แล้ว ผมไปเอาอำนาจเขามา แต่ยืนยันว่าเอามาทำในสิ่งที่ดีกว่าในระยะยาว แต่ระยะสั้นอาจจะยังไม่เห็น ทั้งเรื่องการลงทุนทางเศรษฐกิจ การปรับปรุงโครงสร้าง ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี ซึ่งถึงเวลานั้นผมคงไม่อยู่แล้ว ก็ต้องให้รัฐบาลใหม่มาทำ ซึ่งถ้าเขาไม่ทำก็ล้มเหลวอีก แล้ววันหน้าก็กลับมาด่าผม ว่าผมไม่ได้ทำอะไรทั้งๆ ที่ผมเริ่มให้แล้ว ทุกอย่างก็จะไปอยู่ในรัฐธรรมนูญว่าจะทำอะไรกันต่อไป

“ส่วนรัฐธรรมนูญ อย่าเอาผมไปเกี่ยวข้องอะไรมากนัก เพราะการที่ตั้งขึ้นมาก็เพื่อให้รับฟังความคิดเห็นของคน และหาข้อสรุปออกมา ถ้าผ่านความเห็นชอบ ก็ไปทำประชามติแล้วก็ไปเลือกตั้ง ผมไม่มีหน้าที่ที่จะไปสั่งให้ผ่านหรือไม่ผ่าน รัฐธรรมนูญเขาเขียนไว้อย่างไร ถ้าไม่ผ่านก็ต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่เท่านั้นเอง และถ้าต้องอยู่ต่อก็เป็น เพราะด้วยความจำเป็น ไม่เช่นนั้นใครจะเข้ามาเป็น ผมก็อยากทำหน้าที่ให้มันเสร็จ และให้เริ่มต้นด้วยดี ให้มีอนาคต ทุกคนเห็นร่วมกัน แต่ก็ยอมรับว่าจะให้คนทั้ง 70 ล้านคนเห็นพ้องต้องกันเป็นเรื่องยาก”

แม้ว่าคำพูดของ พล.อ. ประยุทธ์คือความจริงเพราะถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน รัฐบาลก็จำต้องทำหน้าที่ต่อ แต่ก็ต้องบอกว่า แล้วทำไมรัฐธรรมนูญถึงจะไม่ผ่าน เพราะคนร่าง คนโหวต ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ คสช.ตั้งขึ้นมากับมือทั้งสิ้น

กระนั้นก็ดี ต้องบอกว่า ในความเป็นจริง เสียงคัดค้านการอยู่ต่อของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เพื่อการปฏิรูปประเทศจะไม่มีหรือมีน้อยมาก ถ้าหากที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการในเรื่องของการปฏิรูปให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนและจับต้องได้

ปีเศษๆ ที่ผ่านมาแม่น้ำทั้ง 5 สายได้ปฏิรูปอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันไปแล้วบ้าง

ปีเศษๆ ที่ผ่านมา ถ้ารัฐบาลมีผลงานดีเลิศอย่างที่กล่าวอ้างจริง สังคมคงชูรักแร้เชียร์ดังกระหึ่มทั่วทั้งแผ่นดินโดยไม่มีข้อสงสัยแล้ว เพราะส่วนใหญ่ไม่มีใครชอบการเมืองแบบเก่าๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

กรณีการปฏิรูปพลังงาน การปฏิรูปตำรวจ คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนว่า ไม่ได้มีความคืบหน้า

ดังนั้น จึงไม่มีหลักประกันอะไรว่า ถ้าอยู่ต่อแล้วจะทำเรื่องเหล่านี้เพื่อประชาชน

พล.อ.ประยุทธ์ลองใช้เวลาที่เหลืออยู่นับจากนี้ให้ภาคประชาชนได้เห็นบ้าง แล้วประชาชนจะหมดคำถามว่า อยู่ต่อเพื่อปฏิรูปจริงหรือ เพราะเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 58 พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ชัดเจนว่า “ขอให้เข้าใจว่าผมไม่ได้ผูกขาดในการปฏิรูป แต่จะให้เสร็จในรัฐบาลนี้คงยาก การปฏิรูปที่ทำคือทำในระยะที่ 1 จากนั้นรัฐบาลหน้าก็นำผลไปทำ สปช.วางแนวทางไว้ 11 ด้านแล้ว”

คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์มิอาจตีความเป็นได้ว่า อาจจะไม่เห็นการปฏิรูปใดแล้วเสร็จและบังเกิดผลภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แม้จะมีการต่ออายุไปอีก 2 ปีก็ตาม

แต่ไม่ว่า สุดท้ายจะเป็นอย่างไร แต่ความจริงก็คือ เวลานี้ แม่น้ำสายที่ 6 ที่มี “นายสุเทพ” เป็นประธานกำลังเคลื่อนสรรพกำลังเพื่อยืดอายุรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และดูเหมือนว่าจะเป็นแม่น้ำสายที่มีอิทธิพลและทรงพลังกับรัฐบาลเป็น อย่างมากเสียด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น