ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ท่ามกลางกระแสการเมืองอันเชี่ยวกราก และวิกฤตเศรษฐกิจที่เข้าขั้นโคม่า ซึ่งสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างหนักจน “ทิดเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผ้าเหลืองร้อนต้องสึกออกมาช่วยประคับประคองเกม
ข่าวใหญ่ข่าวโตที่น่าสนใจยิ่งไม่แพ้กันก็คือกรณีที่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ พีทีอี ลิมิเต็ด หรือ PTTGE ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องต่อ นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองผู้จัดการบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เรียกค่าเสียหายถึงกว่า 20,000 ล้านบาท โดยมีมูลเหตุมาจากโครงการปลูกปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีการซื้อขายที่ดินเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันที่อินโดนีเซียของบริษัท ปตท.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ (PTTGE) เนื่องจากพบว่า มีการดำเนินผิดปกติ โดยเฉพาะการเข้าไปซื้อที่ดินจำนวนมากเพื่อปลูกปาล์มและการสร้างโรงงานสกัดน้ำมัน
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ พีทีอี ลิมิเต็ด หรือ PTTGE ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องต่อนายนิพิฐ รองผู้จัดการบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ซึ่งต่อมาถูกดึงตัวมาเป็นผู้อำนวยการโครงการพัฒนาธุรกิจน้ำมันปาล์ม ในนามของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ในสำนวนคำฟ้องดังกล่าว ระบุตอนหนึ่งว่า การจัดหาที่ดินเพื่อปลูกปาล์มในโครงการและการดำเนินโครงการนี้ มีความเสี่ยงที่จะเกิดการเสียหาย และสูญเสียเงินในการลงทุน โดยนายนิพิฐ ถูกกล่าวหาว่า เป็นพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที กรีน เอ็นเนอร์ยี่ฯ หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
เนื่องจากมีการซื้อที่ดินเป็นที่ดินทับซ้อนพื้นที่ป่าสงวนเป็นส่วนมาก ทำให้ไม่สามารถขอให้หน่วยงานในประเทศอินโดนีเซียออกเอกสารแสดงสิทธิในการทำเกษตรกรรมได้ ส่วนที่ดินที่เหลือไม่ทับซ้อนป่าสงวนก็เหลืออยู่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน นอกจากนี้ยังมีค่านายหน้าในการจัดซื้อที่ดินที่สูงกว่าผิดปกติถึงร้อยละ 40 เป็นต้น
สำหรับ 5 โครงการที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ลงทุนในนามบริษัท พีทีที กรีน เอ็นเนอร์ยี่ฯ มี 5 โครงการ และมีนายนิพิฐเป็นผู้จัดการของทั้ง 5 โครงการ ประกอบด้วย
1.โครงการ พีที อัซ ซารา แพลนเตชั่น หรือ PT.Az Zahara Plantation (“PT.Az Zhara”)
โครงการนี้ บอร์ด ปตท.มีมติเห็นชอบให้เข้าลงทุนกับ PT.Az Zhara และบริษัท พีที มิตรา อาเนคา เรเซกิ หรือ PT. Mitra Aneka Rezeki (“PT.MAR”) เพื่อลงทุนปลูกปาล์มในพื้นที่ใหม่ ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของเกาะกาลิมันตัน โดยในการลงทุนครั้งนี้ มีพื้นที่รวม 1.7 แสนเฮกตาร์ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรก 1.1 แสนเฮกตาร์ ราคาเฮกตาร์ละ 550 เหรียญสหรัฐ คณะกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อนุมัติให้เข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 55 ส่วนที่สองมีพื้นที่ 60,000 เฮกตาร์ ราคาเฮกตาร์ละ 485 เหรียญสหรัฐ คณะกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อนุมัติให้ลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 95
พบความเสียหาย 50,540,418.46 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 1,642,563,599 บาท
2.โครงการ พีที มาร์ (พอนเทียนัค) หรือ PT.MAR (Pontianak)
สำหรับโครงการนี้ บอร์ด ปตท.มีมติเห็นชอบให้ลงทุนกับ PT.Az Zhara และ PT.MAR ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเกาะกาลิมันตัน ในบริเวณที่เรียกว่า พอนเทียนัค ประกอบธุรกิจน้ำมันปาล์มในพื้นที่ทั้งหมด 14,000 เฮกตาร์ คิดราคาซื้อหุ้นในพื้นที่ร้อยละ 100 เป็นเงิน 15,500,000 เหรียญสหรัฐ
3.โครงการ พีที มาร์ (บันยัวซิน) หรือ PT.MAR (Banyuasin)
โครงการนี้ บอร์ด ปตท. มีมติเห็นชอบให้ลงทุนในธุรกิจปลูกปาล์มและผลิตน้ำมันปาล์มดิบ โดยการซื้อหุ้นบริษัท PT.Surya hutama suwit (“PT.SHS”) ซึ่งประกอบธุรกิจปลูกปาล์มน้ำมันบริเวณที่เรียกว่า บันยัวซิน ในประเทศอินโดนีเซีย จำนวนเงินไม่เกิน 21.5 ล้านเหรียญสหรัฐ มีพื้นที่ปลูกที่เมืองปาเลมบัง ทางตอนใต้ของเกาะสุมาตรา ประมาณ 22,000 เฮกตาร์
พบความเสียหายของโครงการ PT.MAR (Pontianak) และ PT.MAR (Banyuasin) รวม 161,498,459 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 5,248,699,946 บาท
4.โครงการ พีที เฟิร์ส บอร์เนียว แพลนเตชั่น หรือ PT.First Borneo Plantations (“PT.FBP”)
โครงการนี้ บอร์ด ปตท. มีมติเห็นชอบให้ลงทุนกับ PT.FBP ซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกอยู่ในเขตกะลิมันตันตะวันตก รวม 108,000 เฮกตาร์ ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดได้รับอนุญาตประกอบกิจการปาล์มน้ำมัน
พบความเสียหาย 162,783,273 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 5,290,456,378 บาท
5.โครงการ คัลปาตาลู อินเวสต์ตามา หรือ Kalpataru Investama (“KPI”)
โครงการนี้ บอร์ด ปตท. มีมติเห็นชอบให้ลงทุนกับ PT.KPI เพื่อศึกษาการเข้าลงทุนในโครงการแห่งใหม่ มีพื้นที่ประมาณ 80,000 เฮกตาร์ ตั้งอยู่บริเวณเกาะกาลิมันตะวันออก
พบความเสียหาย 224,538735.99 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 7,297,508919.64 บาท
รวมค่าความเสียหายทั้ง 5 โครงการรวมทั้งค่าบริหารจัดการรวมทั้งสิ้น 624,850,887 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 20,307,653,844 บาท
กล่าวสำหรับบริษัท พีทีที กรีน เอ็นเนอร์ยี่ หรือ PTTGE นั้น ตั้งขึ้นเพื่อลงทุนพัฒนาสวนปาล์มและโรงงานสกัดปาล์มดิบที่ประเทศอินโดนีเซีย จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อ ก.ย. 2550 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 10,860 ล้านบาท รับนโยบายจากปตท.ปลูกปาล์มในอินโดนีเซีย 3.1 ล้านไร่ หรือ 500,000 เฮกตาร์ เพื่อส่งออกน้ำมันปาล์มไปขายในตลาดโลก
ต่อมา ฝ่ายบริหารปตท. หยิบยกขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง เนื่องจากการดำเนินการพบความผิดปกติ โดยเฉพาะการเข้าไปซื้อที่ดินจำนวนมากเพื่อปลูกปาล์ม และการสร้างโรงงานสกัดน้ำมัน จนกระทั่งมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้ และได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบข้อเท็จจริง
พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริตเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันที่อินโดนีเซียของ PTTGE ให้สัมภาษณ์ 17 เม.ย. ระบุว่า เบื้องต้นพบความผิดปกติหลายอย่าง เช่น การดำเนินการตามโครงการไม่เป็นไปตามที่บอร์ด ปตท. อนุมัติ และก่อนริเริ่มโครงการนี้มีข้อผิดปกติหลายส่วนทั้งเรื่องที่ดิน ข้อตกลง หุ้นส่วน โดยการไต่สวนอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพราะมีเอกสารจำนวนมาก แต่ในขณะนี้พบว่ามี 2 โครงการที่สามารถชี้มูลความผิดได้
ส่วนโครงการที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งผู้ที่ต้องรับผิดชอบก็เป็นไปตามที่ ปตท. กล่าวหามา อีกทั้งยังต้องดูเรื่องบอร์ดและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งไม่คิดว่าบอร์ดกำลังตัดตอนความรับผิดชอบด้วยการยื่นให้สอบ
ย้อนหลังกลับไปก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 นายนิพิฐได้เคยกล่าวตอบโต้กรณีฝ่ายค้านตั้งกระทู้สดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีการพาดพิงถึงการลงทุนของ ปตท. ในธุรกิจปาล์มน้ำมันในประเทศอินโดนีเซียว่าไม่โปร่งใส โดยระบุว่า ทำทุกขั้นตอนตามแผนของกระทรวงพลังงาน และปตท.มีรายได้จากธุรกิจดังกล่าวจำนวนมาก
ขณะที่แหล่งข่าวจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บอร์ด ปตท.ได้มีมติให้ดำเนินการฟ้อง เนื่องจากนายนิพิฐ มีความผิดวินัยและส่งผลเสียหายต่อองค์กร ปตท. หากไม่ดำเนินการฟ้องร้อง ก็จะถูกกล่าวหาว่าละเลยต่อหน้าที่ได้ ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากคดีดังกล่าว จะมีมูลค่าชัดเจนหลังจาก ปตท. ดำเนินการขายการลงทุนที่ดินปลูกปาล์มน้ำมันใน อินโดนีเซียที่มีอยู่ทั้ง 5 แห่ง โดยได้ดำเนินการทยอยขายไปก่อนหน้านี้แล้ว คงเหลืออยู่เพียง 1-2 แห่งเท่านั้น
สำหรับนายนิพิฐ เป็นพนักงาน ปตท.สผ. ที่ถูกดึงตัวมาช่วยงานในพีทีที กรีนเอนเนอยี่ ทาง ปตท. จึงได้ส่งคืนสู่ต้นสังกัด และได้ทำเรื่องให้ ปตท.สผ. ดำเนินการสอบวินัยและลงโทษในขั้นสูงสุด คือ ไล่ออก ซึ่งขณะนี้ ปตท.สผ. อยู่ระหว่างดำเนินการใกล้ได้ข้อยุติแล้ว
ด้าน ปตท.สผ. แจ้งว่า บริษัทได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงนายนิพิฐแล้ว หลังจากนั้นได้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัย ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ ยังไม่ได้ข้อสรุป
ทว่า สุดท้ายใครจะผิด ใครจะถูก กระบวนการยุติธรรมจะเป็นผู้ตัดสิน