xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.ยื่นฟ้อง “นิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา” อดีตผู้บริหาร ปตท.สผ.ซื้อที่อินโดฯปลูกปาล์มมิชอบ เสียหาย 2 หมื่นล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


สำนักข่าวอิศรา เผย ปตท. และ PTTGE ยื่นฟ้อง “นิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา” รอง ผจก.ปตท.สผ. ฐานเป็นพนักงานในหน่วยงานรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พบซื้อที่ดินอินโดนีเซียทับซ้อนป่าสงวน ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิเกษตรกรรมได้ ส่วนที่เหลือก็ไม่คุ้ม แถมพบค่านายหน้าแพงผิดปกติถึง 40% พบ 5 โครงการเสียหายรวม 20,307 ล้าน

วันนี้ (29 ก.ค.) สำนักข่าวอิศรา นำเสนอข่าว “ฟ้องบิ๊ก ปตท.สผ. เรียก 2 หมื่น ล.กล่าวหาทุจริตคดีปลูกปาล์ม อินโดฯ” โดยอ้างว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ พีทีอี ลิมิเต็ด หรือ PTTGE ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องต่อ นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองผู้จัดการบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ซึ่งต่อมาถูกดึงตัวมาเป็นผู้อำนวยการโครงการพัฒนาธุรกิจน้ำมันปาล์ม ในนามของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

โดย นายนิพิฐ ถูกกล่าวหาว่า เป็นพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที กรีน เอ็นเนอร์ยี่ฯ หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เนื่องจากมีการซื้อที่ดินเป็นที่ดินทับซ้อนพื้นที่ป่าสงวนเป็นส่วนมาก ทำให้ไม่สามารถขอให้หน่วยงานในประเทศอินโดนีเซียออกเอกสารแสดงสิทธิในการทำเกษตรกรรมได้ ส่วนที่ดินที่เหลือไม่ทับซ้อนป่าสงวนก็เหลืออยู่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน นอกจากนี้ ยังมีค่านายหน้าในการจัดซื้อที่ดินที่สูงกว่าผิดปกติถึงร้อยละ 40 เป็นต้น นอกจากนี้ สำนวนคำฟ้องดังกล่าว ตอนหนึ่งยังระบุว่า การจัดหาที่ดินเพื่อปลูกปาล์มในโครงการและการดำเนินโครงการนี้ มีความเสี่ยงที่จะเกิดการเสียหาย และสูญเสียเงินในการลงทุน

โดยโครงการที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ลงทุนในนามบริษัท พีทีที กรีน เอ็นเนอร์ยี มี 5 โครงการ คือ 1. โครงการ พีที อัซ ซารา แพลนเตชั่น (“PT.Az Zhara”) เข้าลงทุนกับ PT.Az Zhara และบริษัท พีที มิตรา อาเนคา เรเซกิ (“PT.MAR”) ลงทุนปลูกปาล์มในพื้นที่ใหม่บริเวณตอนกลางของเกาะกาลิมันตัน รวม 1.7 แสนเฮกตาร์ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรก 1.1 แสนเฮกตาร์ ราคาเฮกตาร์ละ 550 เหรียญสหรัฐฯ ปตท. เข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 55 ส่วนที่สองมีพื้นที่ 6 หมื่นเฮกตาร์ ราคาเฮกตาร์ละ 485 เหรียญสหรัฐฯ ปตท. ลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 95 โดยพบความเสียหาย 1,642,563,599 บาท

2. โครงการ พีที มาร์ (พอนเทียนัค) หรือ PT.MAR (Pontianak) ลงทุนกับ PT.Az Zhara และ PT.MAR ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเกาะกาลิมันตัน ในบริเวณที่เรียกว่า พอนเทียนัค ประกอบธุรกิจน้ำมันปาล์มในพื้นที่ทั้งหมด 14,000 เฮกตาร์ คิดราคาซื้อหุ้นในพื้นที่ร้อยละ 100 เป็นเงิน 15,500,000 เหรียญสหรัฐฯ 3. โครงการ พีที มาร์ (บันยัวซิน) หรือ PT.MAR (Banyuasin) ลงทุนในธุรกิจปลูกปาล์มและผลิตน้ำมันปาล์มดิบ โดยการซื้อหุ้นบริษัท PT.Surya hutama suwit (“PT.SHS”) ซึ่งประกอบธุรกิจปลูกปาล์มน้ำมันบริเวณที่เรียกว่า บันยัวซิน จำนวนเงินไม่เกิน 21.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีพื้นที่ปลูกที่เมืองปาเลมบัง ทางตอนใต้ของเกาะสุมาตรา ประมาณ 22,000 เฮกตาร์ พบความเสียหาย รวม 5,248,699,946 บาท

4. โครงการ พีที เฟิร์ส บอร์เนียว แพลนเตชั่น หรือ PT.First Borneo Plantations (“PT.FBP”) ลงทุนกับ PT.FBP ซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกอยู่ในเขตกะลิมันตันตะวันตก รวม 108,000 เฮกตาร์ ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดได้รับอนุญาตประกอบกิจการปาล์มน้ำมัน พบความเสียหาย 5,290,456,378 บาท และ 5. โครงการ คัลปาตาลู อินเวสต์ตามา หรือ Kalpataru Investama (“KPI”) ลงทุนกับ PT.KPI เพื่อศึกษาการเข้าลงทุนในโครงการแห่งใหม่ มีพื้นที่ประมาณ 80,000 เฮกตาร์ ตั้งอยู่บริเวณเกาะกาลิมันตะวันออก พบความเสียหาย 7,297,508919.64 บาท รวมค่าความเสียหายทั้ง 5 โครงการรวมทั้งค่าบริหารจัดการรวมทั้งสิ้น 624,850,887 เหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทย 20,307,653,844 บาท

ทั้งนี้ บริษัท พีทีที กรีน เอ็นเนอร์ยี หรือ PTTGE ตั้งขึ้นเพื่อลงทุนพัฒนาสวนปาล์มและโรงงานสกัดปาล์มดิบที่ประเทศอินโดนีเซีย จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อ ก.ย. 2550 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 10,860 ล้านบาท รับนโยบายจาก ปตท. ปลูกปาล์มในอินโดนีเซีย 3.1 ล้านไร่ หรือ 5 แสนเฮกตาร์ เพื่อส่งออกน้ำมันปาล์มไปขายในตลาดโลก ขณะที่การลงทุนธุรกิจดังกล่าว เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ฝ่ายบริหาร ปตท. หยิบยกขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง เนื่องจากการดำเนินการพบความผิดปกติ โดยเฉพาะการเข้าไปซื้อที่ดินจำนวนมากเพื่อปลูกปาล์ม และการสร้างโรงงานสกัดน้ำมัน จนกระทั่งมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้ และได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบข้อเท็จจริง

ซึ่งทาง พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริตเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันที่อินโดนีเซียของ บริษัท ปตท. กรีน เอ็นเนอร์ยี ให้สัมภาษณ์ 17 ม.ย. ระบุว่า คณะอนุกรรมการได้รวบรวมพยานหลักฐานจากผู้ที่เกี่ยวข้อง และเอกสารจำนวนมากจึงมีความคืบหน้าพอสมควร แต่ ปตท. ส่งข้อมูลให้ ป.ป.ช. สอบเฉพาะ 5 โครงการที่มีการดำเนินการไปแล้ว อย่างไรก็ดี ป.ป.ช. ยังเสาะหาพยานหลักฐานก่อนที่จะเริ่มโครงการด้วยว่าเป็นมาอย่างไร เบื้องต้นพบความผิดปกติหลายอย่าง เช่น การดำเนินการตามโครงการไม่เป็นไปตามที่บอร์ด ปตท. อนุมัติ และก่อนริเริ่มโครงการนี้มีข้อผิดปกติหลายส่วนทั้งเรื่องที่ดิน ข้อตกลง หุ้นส่วน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ประเมินว่าสร้างความเสียหายให้รัฐเท่าไหร่ เพราะต้องดูผลประกอบการเทียบกับการลงทุน อีกทั้งยังมีการขายโครงการเพื่อลดภาวะขาดทุนไปหลายโครงการด้วย จึงต้องดูผลลัพธ์จากการขายกับเงินลงทุนที่เสียไปแตกต่างกันอย่างไร ส่วนการไต่สวนอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เพราะมีเอกสารจำนวนมาก แต่ในขณะนี้พบว่ามี 2 โครงการที่สามารถชี้มูลความผิดได้ ซึ่งจะสรุปออกมาก่อน ส่วนโครงการที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งผู้ที่ต้องรับผิดชอบก็เป็นไปตามที่ ปตท. กล่าวหามา อีกทั้งยังต้องดูเรื่องบอร์ดและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งไม่คิดว่าบอร์ดกำลังตัดตอนความรับผิดชอบด้วยการยื่นให้สอบการดำเนินธุรกิจปาล์มของบริษัท ปตท.กรีน เอ็นเนอร์ยี เพราะ ป.ป.ช. ดูทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องบอร์ด ปตท.กรีน เอ็นเนอร์ยี ที่เป็นผู้รับผิดโครงการที่ 5 หรือบอร์ดใหญ่ของ ปตท. ว่ามีการดำเนินการอย่างไร

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (PTTGE) เคยกล่าวตอบโต้กรณีฝ่ายค้านตั้งกระทู้สดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีการพาดพิงถึงการลงทุนของ ปตท. ในธุรกิจปาล์มน้ำมันในประเทศอินโดนีเซีย ว่า ไม่โปร่งใส โดยระบุว่า ทำทุกขั้นตอนตามแผน “กระทรวงพลังงาน” ฟุ้ง ปตท. มีรายได้จากธุรกิจดังกล่าวจำนวนมาก ส่วนสาเหตุที่เลือกจดทะเบียน “สิงคโปร์” เพราะเป็นศูนย์กลางการเงินและธุรกิจค้าน้ำมัน (อ่านข่าวทั้งหมด : บิ๊ก "PTTGE" โต้ลงทุนน้ำมันอินโดฯโปร่งใส โกยเงินเข้า ปตท.เพียบ วันที่ 11 มีนาคม 2554)




กำลังโหลดความคิดเห็น