ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -จากประโยคอมตะ นิ้ง…หน่อง “มิสทินมาแล้วค่ะ” ที่ดังฮิต เมื่อ 20 ปีก่อน และส่งต่อมาถึงปัจจุบัน ด้วยฝีมือ ของ ดร. อมรเทพ ดีโรจนวงศ์ ผู้พ่อ ก่อนที่จะส่งผ่านมายังซีอีโอหนุ่มไฟแรง ดนัย ดีโรจน์วงศ์ ที่เข้ามาสานงานต่อ และสร้างความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้มิสทินยุคใหม่ ที่มีความทันสมัยขึ้น
ล่าสุด เมื่อสองแบรนด์ยักษ์วงการธุรกิจชั้นแนวหน้าของประเทศไทย มิสทิน เครือข่ายเครื่องสำอางขายตรงอันดับหนึ่งของไทย จับมือกับ ทรูมูฟ เอช ผู้นำเครือข่ายเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร ร่วมสร้างปรากฏการณ์ครั้งแรกของวงการธุรกิจความงามและเทคโนโลยีการสื่อสาร ภายใต้โครงการ TRUE BEAUTY an unilimieted performance”
เป็นการผนึกกำลังที่อลังการไม่น้อย นับเป็นก้าวแรกและก้าวต่อไปของสองธุรกิจนี้ และถือว่า เป็นการปรับตัวและตอบรับเทคโนโลยีของธุรกิจขายตรง ธุรกิจความงามอย่างมิสทิน ขณะที่ TRUE เองก็จะได้ฐานลูกค้า 1 ล้านราย หันมาใช้ซิมมิสทิน และได้รับส่วนแบ่งการตลาดของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้น เช่นกัน
ทั้งนี้ ดนัย ดีโรจนวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายเครื่องสำอางระบบขายตรง “มิสทิน” เปิดเผยว่า “ปัจจุบันแนวโน้มไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไป รวมถึงรูปแบบการขายสินค้าของมิสทิน ที่พบว่าจากจำนวนฐานสมาชิกกว่า 1 ล้านราย กว่า 38% ใช้สมาร์ทโฟน ซึ่งในจำนวนดังกล่าว 27% สั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ ส่งผลให้เชื่อว่าในอนาคตช่องทางออนไลน์จะมีศักยภาพสูงมาก”
บริษัทฯ ได้ใช้งบลงทุนกว่า 40 ล้านบาท จับมือเป็นพันธมิตรกับทรูมูฟ เอช กับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยมอบซิมมิสทินแก่สาวมิสทินกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ ในการโทรฟรีในเครือข่ายทรูมูฟ เอช พร้อมเล่นแอพพลิเคชั่นไลน์ และเฟซบุ๊กฟรีอย่างต่อเนื่อง โดยหวังเจาะกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์รักความงาม มีความมั่นใจ เป็นการขยายกลุ่มสมาชิกไปสู่กลุ่มวัยรุ่นได้มากขึ้น ภายใต้โครงการ TRUE BEAUTY ที่เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2558-กรกฎาคม 2559 โดยคาดหวังว่า แคมเปญนี้จะเพิ่มฐานสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 200,000 คน
ทั้งนี้ จากช่วงครึ่งปีแรก บริษัทโต 2% ดนัยให้ความเห็นว่า “เหตุการณ์เหล่านี้ เราไม่เคยเจอกำลังซื้อที่ลดลงทั้งประเทศ ประกอบกับวิกฤตภัยแล้งก็มีส่วนทำให้ยอดขายเราลดลงด้วย แต่คิดว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น เนื่องจากแรงซื้อในช่วงครึ่งปีหลังเริ่มดีขึ้น”
ดนัยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ จะยังคงมีอัตราการเติบโตด้านรายได้อีก 3% หรือมีรายได้ที่ 14,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 13,600 ล้านบาท เติบโต 5% โดยมีสัดส่วนรายได้จากขายตรงกับขายออนไลน์เป็น 70 : 30 ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทได้ทุ่มงบกว่า 2,300 ล้านบาทสำหรับการเปิดตลาดในช่องทางออนไลน์อย่างจริงจัง โดยแบ่งออกเป็นการลงทุนด้านโลจิสติกส์ คลังสินค้า และสถานที่ วางระบบ 2,000 ล้านบาท และพัฒนาเทคโนโลยีด้านช่องทางออนไลน์ 300 ล้านบาท
ซึ่งการลงทุนครั้งนี้จะรองรับระบบและการขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้ครอบคลุมตลอด 5 ปีหลังจากนี้ และเชื่อว่าภายในปี 2562 หรืออีก 5 ปีข้างหน้าจะมียอดขาย 16,000 ล้านบาท และจะเพิ่มยอดขายออนไลน์กับยอดขายตรง เป็น50:50
จากแนวโน้มระบบขายตรงที่จะเปลี่ยนไป โดยมุ่งเน้น digital มากขึ้น ดังนั้น การผนึกกำลังกับทรูมูฟครั้งนี้ ถือเป็นก้าวแรก ของมิสทิน ที่จะก้าวต่อไปในโลกดิจิตอล
ขณะที่ปัจจุบันสัดส่วนกลุ่มลูกค้า จะอยู่ที่กลุ่มนักเรียน นักศึกษา 75% และสาวออฟฟิศ 25% ซึ่งการเพิ่มช่องทางออนไลน์ จะทำให้ขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น
“ธุรกิจของเราต้องเปลี่ยนรวดเร็วตามเทรนด์ เรามีสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาดปีละ 200-300 ตัว โดยมีทีมงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ 20กว่าคน เรามีสินค้ากว่า 4,000 SKU มีสินค้าหลากหลาย ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า”
ในขณะที่เป้าหมายของดนัย คือ “การทำให้มิสทินเป็นที่ยอมรับ มากกว่าเป็นที่รู้จัก ภายใต้ธีมหลัก คือ คุณภาพสินค้า ราคาสินค้า และโปรโมชั่น” ดนัยกล่าว
แต่ในขณะเดียวกัน ช่องทางการขายผ่านสาวมิสทิน ก็เป็นหัวใจของบริษัทฯ เช่นกัน
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากขึ้น และเพื่อให้ก้าวทันโลก และให้สอดคล้องกับทิศทางของบริษัทฯ มากขึ้น การเปิดเคมเปญนี้ นอกจากจะขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นตามเป้าที่ตั้งไว้ คือ 200,000 ราย ยังเป็นการปูทางให้สาวมิสทิน ฐานสมาชิกเก่าอีก 1 ล้านราย ได้เคยชินกับการใช้เทคโนโลยี ที่ทันสมัย ผ่านช่องทาง application ต่างๆ เช่น LINE หรือ facebook ทั้งนี้ เพื่อจะเป็นตัวกลางระหว่างการติดต่อลูกค้าหรือกับบริษัทฯ เอง เพื่อความรวดเร็วและสะดวกมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ในปลายปีนี้บริษัทฯ จะมีการออกแค็ตตาล็อกในรูปแบบดิจิตอลเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่องทางด้วย ตามที่ดนัยคาดว่า อีก 5 ปี ข้างหน้า ธุรกิจขายตรงจะเปลี่ยนเป็นจิตอลมากขึ้น
มิสทินทุ่มงบการตลาดฯ ประมาณปีละ 500-700 ล้านบาท โดยรวมถึงการใช้ พรีเซ็นเตอร์ดังๆ ซึ่ง ตลอดระยะเวลา 27 ปี บริษัทฯ ได้ใช้พรีเซ็นเตอร์ถึง 57 คน โดยมิสทินเป็นเจ้าแรกๆ ที่นำดารายอดนิยมมาเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา คนแรกคือ หมิว ลลิตา ปัญโญภาส ที่เปิดตัวด้วยโฆษณาลิปสติก และไล่เลียงตามมา ทั้งดาราดังอีกหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น “อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ “พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์” แพนเค้ก ญาญ่า และดาราดังๆ อีกมากมาย ภายใต้กรอบ “พรีเซ็นเตอร์ต้องนางเอก หรือดาวรุ่งมาแรงเท่านั้น” ถือเป็นจุดขายสำคัญของการโฆษณาโดยเลือกพรีเซนเตอร์ให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์สินค้าที่จะโปรโมต และใช้พรีเซ็นเตอร์หลากหลาย และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มลูกค้าได้
เรียกได้ว่ามิสทินต้องทุ่มงบเป็นจำนวนมากในการนำดาราดังๆ หรือนางเอกชั้นนำ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์ ให้สามารถจดจำแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ได้ง่าย
มิสทินประสบผลสำเร็จได้ดีตลอดมาจากการใช้กลยุทธ์การตลาดวิธีนี้
ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ความงามของมิสทิน จะมีเมคอัพเป็นหัวหอกโดยเฉพาะแป้ง ซึ่งมียอดขายเกือบ 40% เลยทีเดียว ในขณะที่สัดส่วนยอดขายของผลิตภัณฑ์มิสทิน 50% มาจากผลิตภัณฑ์เมคอัพ, เพอร์ซันนอล แคร์ 20% สกินแคร์ 15% และน้ำหอม 15%
นอกจากแนวรุกในตลาดไทยแล้ว มิสทินได้พาแบรนด์ไทยมุ่งสู่ตลาดโลก เช่นการไปเปิดร้าน MISTINE de PARIS ร้านโชว์เคสแห่งแรกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สำเร็จ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และมีแผน ที่จะขยายไปประเทศอื่นๆ ด้วย
ในขณะที่ตลาดอาเซียน มิสทินได้ก้าวรุกสู่ประเทศต่างๆ มานานแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเมียนมา ลาว และกัมพูชา โดยใช้การตลาดผ่านสาวมิสทิน ซึ่งยังคงคอนเซ็ปต์ของธุรกิจขายตรง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะตลาดเมียนมา ในปีที่แล้วสามารถทำยอดขายได้ถึง 400ล้านบาท ใน สปป. ลาวมียอดขายกว่า 60 ล้านบาท และในกัมพูชาทำยอดขายได้ 90 ล้านบาท
นอกจาก 3 ตลาดหลักข้างต้นแล้ว ตลาดประเทศ อื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ก็เป็นตลาดที่ตอบรับดีเช่นกัน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย เป็นตลาดใหญ่ และดีมากเช่นกัน
อีกหนึ่งตลาดที่ไม่สามารถมองข้ามได้เลย คือ ตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดที่โตมาก ด้วยยอดซื้อที่ 700 ล้านบาท ผ่านระบบการซื้อขายทางออนไลน์ ทั้งนี้ บริษัทฯ เห็นช่องทางทางการตลาดและตั้งเป้าว่าปีหน้า มิสทินน่าจะทำยอดขายได้ถึง 2,000 ล้านบาท บริษัทวางแผนที่จะเข้าไปทำตลาดในจีน ร่วมกับผู้ถือหุ้น โดยมี 5 ปาร์ตี้ร่วมมือกันขายแบรนด์มิสทินเป็นหลัก
บริษัทฯ คาดหมายว่าอีก5 ปีข้างหน้านี้ มิสทินจะมียอดขายในตลาดต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 5-6 พันล้านบาท ตามที่ดนัยตั้งเป้าไว้ว่า “ในอนาคตอันไม่ไกล อยากเห็นมิสทิน แบรนด์ความงามของคนไทย ได้ ก้าวไปสู่ตลาดโลก ด้วยยอดขายไม่ต่ำกว่า 40% ของมิสทินที่มาจากการขายในต่างประเทศ”
มิสทิน ผลิตภัณฑ์ความงามแบรนด์ไทย ที่มีราคาที่จับต้องได้และมุ่งจับตลาด mass และได้สร้างความสวยงามกว่า 20 ปี ได้ส่งผ่านสื่อจากสาวมิสทิน และแค็ตตาล็อก และเมื่อกระแสโลกเปลี่ยนไปจึงปฏิเสธไม่ได้ที่มิสทินต้องก้าวสู่โลกดิจิตอล เพื่อส่งต่อความสวยความงามไปยังลูกค้าทั้งไทยและเทศเช่นกัน
แต่กระนั้นความทันสมัยของเทคโนโลยีจะทำให้เหล่าบรรดาสาวมิสทินต้องปรับตัวอย่างมากอีกเช่นกัน ขณะที่ปัจจุบันพบว่า สาวมิสทินมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้น เป็นประมาณ 35 ขึ้นไป
อนาคตสาวมิสทินที่ถือว่าเป็นหัวใจของบริษัท จะมีบทบาทลดลงหรือไม่ หรือจะสามารถผนวกกับความทันสมัยกับโลกออนไลน์ ได้ดีเช่นไร
คงต้องจับตาดูก้าวต่อไปของสาวมิสทิน