“นึกว่าขับจรวด นั่งอยู่ในยานอวกาศ” สำหรับ Mercedes AMG GT S ซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งจริงๆผู้เขียนไม่เคยขับหรือนั่งจรวดหรอกครับ เพียงแต่ประมาณความแรง และเห็นแผงควบคุมล้ำๆเหมือนยานอวกาศในหนังสตาร์เทรก แล้วจินตนาการไปเองว่ารถยนต์รุ่นนี้ ถ้ามีถนนเชื่อมต่อไปดวงจันทร์ ก็คงขับถึงสบาย!!!?
….จรวดไม่เคยสัมผัส แต่ได้ลองขับ Mercedes AMG GT S ก็ถือว่าคุ้มชีวิต จากทริปทดสอบที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จัดให้ผู้สื่อข่าวได้ลองบนเส้นทางไปกลับจังหวัดภูเก็ต-พังงา (สลับๆกันขับ)
โดยโปรเจกต์ที่สองของทีมพัฒนาอินเฮาส์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างAMG สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก หลังจากมีภาพหลุด สเปก ราคา และการเปิดเผยตัวจริงช่วงกลางปี 2014 ซึ่งถือเป็นการสานต่อความสำเร็จของรุ่นพี่ประตูปีกนกอย่าง SLS AMG ที่หยุดขายไปแล้ว
ขณะที่ประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยุคใหม่ ทำงานกระชับฉับไว เด็ดขาด ทุ่มทุน ดังนั้นในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2015 ที่ผ่านมา จัดการนำเข้า Mercedes AMG GT S มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมแจ้งราคาขาย 14.9 ล้านบาท
...ถือเป็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นกับการทำโปรดักชันคาร์แบบสปอร์ตระดับไฮเอนด์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เน้นโชว์สมรรถนะ ส่งเสริมภาพลักษณ์ แถมได้การตอบรับดีในแง่ยอดขาย เรียกว่าผลิตมากี่คันก็หมดเกลี้ยง (Mercedes AMG GT S จะเป็นตัวแรง และมี Mercedes AMG GT รุ่นธรรมดาที่ลดระดับความแรงลงมา เพื่อขายเป็นอีกหนึ่งทางเลือก)
Mercedes AMG GT S เป็นรถสปอร์ต 2 ประตู 2 ที่นั่ง โดยประตูเปิดออกแบบรถยนต์ทั่วไป (ไม่เปิดขึ้นแบบปีกนก หรือเฉียงขึ้นแบบประตูกรรไกร) ทว่าการมีรหัส GT ต่อท้ายย่อมหมายถึงการออกแบบประตูหลังแบบฟาสต์แบ็ก เพื่อความอเนกประสงค์ (GT คือรถแรง ใช้ขับทางไกล แถมบรรทุกสัมภาระได้ด้วย)
โครงสร้างแชสซีส์แบบสเปซเฟรมใช้อะลูมิเนียมเป็นวัสดุหลัก พร้อมเหล็กและแม็กนีเซียมยังถูกนำมาใช้ในหลายๆจุด โดยเลย์เอ้าของรถเป็นแบบเครื่องยนต์วางด้านหน้าแบบ Front mid engine (ดันเครื่องยนต์ให้ถอยเข้ามาให้ห้องโดยสารมากที่สุด และพยายามวางให้ต่ำเพื่อให้ได้ประโยชน์เรื่องจุดศูนย์ถ่วง) ขับเคลื่อนล้อหลัง ตามข้อมูลแจ้งว่ามีสัดส่วนการกระจายน้ำหนักระหว่างเพลาหน้า/หลังที่ 47/53 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่ขุมพลังวี 8 ของ Mercedes AMG GT S พิถีพิถันการผลิตแบบเครื่องต่อเครื่อง โดยวิศวกรระดับแนวหน้า ทั้งยังใช่เทคนิคระบบอ่างน้ำมันเครื่อง Dry Sump แบบเดียวกับที่ใช้ในรถแข่ง หมดกังวลเรื่องของน้ำมันเครื่องถูกส่งไม่ทั่วถึงในจังหวะตัวรถหวี่ยงหรือเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง
ไล่ดูออปชันและความเท่ตั้งแต่ภายนอก มาพร้อมกระจังหน้าแบบ Diamond Grille หมุดสีดำ ไฟหน้า LED High Performance Headlamp ล้ออัลลอยคู่หน้าขนาด 19 นิ้ว และหลัง 20 นิ้ว สปอยเลอร์หลังแบบปรับระดับได้อัตโนมัติ พร้อมหลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า ภายในเบาะนั่งหุ้มหนังแบบ Nappa แบบปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ พวงมาลัยแบบ AMG performance หุ้มด้วยหนังแท้สลับ DINAMICA microfibre
หลังเข้าไปนั่งในตำแหน่งผู้ขับแบบประดักประเดิดเล็กน้อย ปรับเบาะให้กระชับ ระยะขา ระยะแขนเพื่อควบคุมพวงมาลัยได้แบบไม่ติดขัด พลันกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ฝังอยู่บริเวณคอนโซลกลาง เขี่ยคันเกียร์ลงมาที่ตำแหน่ง D รถก็ตอบรับการสั่งงานแบบไม่เด้อดึง เหมือนช่วงแรกรถจะค่อยๆให้เราเรียนรู้เขาอยู่เหมือนกัน(ถ้าไม่กดคันเร่งหนักๆนะ)
ด้วยทัศนวิสัยต่ำเตี้ยเรี่ยพื้น มุมมองด้านหน้า-หลัง ค่อนข้างจำกัด บวกกับฝากระโปรงหน้ายาวๆ ผู้เขียนต้องค่อยๆปรับตัวกับระยะและวงเลี้ยวของรถอยู่สักพักละครับ
หลังจากมั่นใจมากขึ้น ทีนี้ขอสัมผัสกับประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 4.0 ลิตร (3,982 ซีซี) ที่รีดแรงด้วยเทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 510 แรงม้า ที่ 6,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตรที่ 1,750-4,750 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ดูอัลคลัทช์ 7 สปีด ไล่ความเร็วจากจุดหยุดนิ่งขึ้นไปถึง 100 กม./ชม. ใช้เวลาแค่ 3.8 วินาที แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของซูเปอร์คาร์ชั้นดี การเพิ่มความเร็วจาก 60 กม./ชม.ให้ไปถึง 150-160 กม./ชม.ใช้เวลาเพียงอึดใจครับ ขณะที่ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 310 กม./ชม.
ผู้เขียนให้คันเกียร์คงไว้ที่ตำแหน่ง D แล้วเปลี่ยนเกียร์ผ่านแพดเดิ้ลชิฟท์ขนาดใหญ่หลังพวงมาลัย การเร่งกับการเปลี่ยนเกียร์ เป็นอีกหนึ่งอารมณ์ที่หาโอกาสได้ยากในรถยนต์ทั่วไป ทั้งจังหวะฉุดกระชากของเกียร์ การลากรอบ การดึงหน่วงแบบดุดัน พร้อมเสียงท่อคำรามแบบซะใจ
Mercedes AMG GT S ยังมีปุ่มปรับระดับความแข็ง-อ่อนของโช้กอัพไฟฟ้า และโหมดการขับขี่ที่เลือกได้ Comfort, Sport และ Sport+ และ Race ซึ่งทั้งสองระบบจะมีปุ่มควบคุมฝังอยู่บริเวณคอนโซลกลาง ใกล้ๆกับหัวเกียร์และระบบควบคุมTouchpad
ส่วนช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ ผลิตด้วยอะลูมิเนียมแบบ Forged หลังเป็นแบบมัลติลิงค์ ล้อคู่หน้าขนาด 19 นิ้ว ประกบยาง 265/35 ZR19 และหลังใช้ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ประกบยาง 295/30 ZR20 บวกกับการออกแบบโครงสร้างที่ลู่ลม ดังนั้นไม่ว่าจะใช้ความเร็วระดับไหน คนขับยังมั่นใจกับประสิทธิภาพของการเกาะถนน หนึบหนับสาดใส่ได้เต็มที่ทุกโค้ง แถมยังรับรู้ถึงสภาพถนนได้เต็มๆ เด้งก้อนกรวด ผ่านเม็ดทรายแทบจิตนาการได้ (นี่ก็โอเวอร์ไปนิด แต่อยากให้เห็นภาพ)
อย่างไรก็ตามครับแม้วิศวกรจะเน้นเรื่องการกระจายน้ำหนักหน้าหลังให้สมดุล การทรงตัวแน่นๆแต่ก็ต้องยอมรับว่า สปอร์ตคาร์เครื่องยนต์วางหน้า บล็อกวี8 คันนี้ ยังให้อารมณ์ที่ต่างกับพวกเครื่องยนต์(สูบนอน)วางหลังอย่างปอร์เช่ 911 ( 911 Carrera ราคาใกล้เคียงกันที่ 14.99 ล้านบาท หรือ Carrera S ราคา 16.99 ล้านบาท) ไม่ได้บอกว่า AMG GT S สู้ไม่ได้นะครับ เพียงแต่การตอบสนองในเรื่องของการควบคุม รู้สึกว่า 911 สามารถทำความคุ้นเคยได้ง่ายกว่า หรืออาจจะเนียนแน่นอยู่มือในการลองขับครั้งแรก ในระยะเวลาสั้นๆ (แต่ถ้าเป็นเจ้าของซื้อเองใช้เอง ขับบ่อยๆก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) ส่วนตัวผู้เขียนนั้นเคยลอง 911 Carrera และ Carrera S ในงาน Porsche World Roadshow ที่สนามพีระ เมื่อสองปีที่แล้ว
....สรุปคือ ระบบแชสซีส์ การควบคุมของ AMG GT S ก็อีกอารมณ์หนึ่ง ปอร์เช่ 911 ก็ให้อีกอารมณ์หนึ่ง แล้วแต่คนชอบละครับ หรือใครจะมีจอดในโรงรถทั้งสองคัน สลับวันกันขับ ก็สุดแล้วแต่
รวบรัดตัดความ...แรงไม่บันยะบันยัง ตะบันกันสนุกเท้า ยิ่งเลือกขับโหมดเรซซิ่งบนท้องถนนปกติไม่น่าจะพอรองรับสมรรถนะอันเปี่ยมล้นระดับจรวดทางเรียบ แน่นอนว่าเศรษฐีเท้าหนักหลายคนคงไม่ได้ซื้อ AMG GT S เพื่อขับใช้ทุกวัน แต่รถสปอร์ตไฮเอนด์ของค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อาจจะมีไว้ประดับบารมี บนความเลอค่า คลาสสิกในระยะยาว
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring
….จรวดไม่เคยสัมผัส แต่ได้ลองขับ Mercedes AMG GT S ก็ถือว่าคุ้มชีวิต จากทริปทดสอบที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จัดให้ผู้สื่อข่าวได้ลองบนเส้นทางไปกลับจังหวัดภูเก็ต-พังงา (สลับๆกันขับ)
โดยโปรเจกต์ที่สองของทีมพัฒนาอินเฮาส์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างAMG สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก หลังจากมีภาพหลุด สเปก ราคา และการเปิดเผยตัวจริงช่วงกลางปี 2014 ซึ่งถือเป็นการสานต่อความสำเร็จของรุ่นพี่ประตูปีกนกอย่าง SLS AMG ที่หยุดขายไปแล้ว
ขณะที่ประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยุคใหม่ ทำงานกระชับฉับไว เด็ดขาด ทุ่มทุน ดังนั้นในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2015 ที่ผ่านมา จัดการนำเข้า Mercedes AMG GT S มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมแจ้งราคาขาย 14.9 ล้านบาท
...ถือเป็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นกับการทำโปรดักชันคาร์แบบสปอร์ตระดับไฮเอนด์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เน้นโชว์สมรรถนะ ส่งเสริมภาพลักษณ์ แถมได้การตอบรับดีในแง่ยอดขาย เรียกว่าผลิตมากี่คันก็หมดเกลี้ยง (Mercedes AMG GT S จะเป็นตัวแรง และมี Mercedes AMG GT รุ่นธรรมดาที่ลดระดับความแรงลงมา เพื่อขายเป็นอีกหนึ่งทางเลือก)
Mercedes AMG GT S เป็นรถสปอร์ต 2 ประตู 2 ที่นั่ง โดยประตูเปิดออกแบบรถยนต์ทั่วไป (ไม่เปิดขึ้นแบบปีกนก หรือเฉียงขึ้นแบบประตูกรรไกร) ทว่าการมีรหัส GT ต่อท้ายย่อมหมายถึงการออกแบบประตูหลังแบบฟาสต์แบ็ก เพื่อความอเนกประสงค์ (GT คือรถแรง ใช้ขับทางไกล แถมบรรทุกสัมภาระได้ด้วย)
โครงสร้างแชสซีส์แบบสเปซเฟรมใช้อะลูมิเนียมเป็นวัสดุหลัก พร้อมเหล็กและแม็กนีเซียมยังถูกนำมาใช้ในหลายๆจุด โดยเลย์เอ้าของรถเป็นแบบเครื่องยนต์วางด้านหน้าแบบ Front mid engine (ดันเครื่องยนต์ให้ถอยเข้ามาให้ห้องโดยสารมากที่สุด และพยายามวางให้ต่ำเพื่อให้ได้ประโยชน์เรื่องจุดศูนย์ถ่วง) ขับเคลื่อนล้อหลัง ตามข้อมูลแจ้งว่ามีสัดส่วนการกระจายน้ำหนักระหว่างเพลาหน้า/หลังที่ 47/53 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่ขุมพลังวี 8 ของ Mercedes AMG GT S พิถีพิถันการผลิตแบบเครื่องต่อเครื่อง โดยวิศวกรระดับแนวหน้า ทั้งยังใช่เทคนิคระบบอ่างน้ำมันเครื่อง Dry Sump แบบเดียวกับที่ใช้ในรถแข่ง หมดกังวลเรื่องของน้ำมันเครื่องถูกส่งไม่ทั่วถึงในจังหวะตัวรถหวี่ยงหรือเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง
ไล่ดูออปชันและความเท่ตั้งแต่ภายนอก มาพร้อมกระจังหน้าแบบ Diamond Grille หมุดสีดำ ไฟหน้า LED High Performance Headlamp ล้ออัลลอยคู่หน้าขนาด 19 นิ้ว และหลัง 20 นิ้ว สปอยเลอร์หลังแบบปรับระดับได้อัตโนมัติ พร้อมหลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า ภายในเบาะนั่งหุ้มหนังแบบ Nappa แบบปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ พวงมาลัยแบบ AMG performance หุ้มด้วยหนังแท้สลับ DINAMICA microfibre
หลังเข้าไปนั่งในตำแหน่งผู้ขับแบบประดักประเดิดเล็กน้อย ปรับเบาะให้กระชับ ระยะขา ระยะแขนเพื่อควบคุมพวงมาลัยได้แบบไม่ติดขัด พลันกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ฝังอยู่บริเวณคอนโซลกลาง เขี่ยคันเกียร์ลงมาที่ตำแหน่ง D รถก็ตอบรับการสั่งงานแบบไม่เด้อดึง เหมือนช่วงแรกรถจะค่อยๆให้เราเรียนรู้เขาอยู่เหมือนกัน(ถ้าไม่กดคันเร่งหนักๆนะ)
ด้วยทัศนวิสัยต่ำเตี้ยเรี่ยพื้น มุมมองด้านหน้า-หลัง ค่อนข้างจำกัด บวกกับฝากระโปรงหน้ายาวๆ ผู้เขียนต้องค่อยๆปรับตัวกับระยะและวงเลี้ยวของรถอยู่สักพักละครับ
หลังจากมั่นใจมากขึ้น ทีนี้ขอสัมผัสกับประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 4.0 ลิตร (3,982 ซีซี) ที่รีดแรงด้วยเทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 510 แรงม้า ที่ 6,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตรที่ 1,750-4,750 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ดูอัลคลัทช์ 7 สปีด ไล่ความเร็วจากจุดหยุดนิ่งขึ้นไปถึง 100 กม./ชม. ใช้เวลาแค่ 3.8 วินาที แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของซูเปอร์คาร์ชั้นดี การเพิ่มความเร็วจาก 60 กม./ชม.ให้ไปถึง 150-160 กม./ชม.ใช้เวลาเพียงอึดใจครับ ขณะที่ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 310 กม./ชม.
ผู้เขียนให้คันเกียร์คงไว้ที่ตำแหน่ง D แล้วเปลี่ยนเกียร์ผ่านแพดเดิ้ลชิฟท์ขนาดใหญ่หลังพวงมาลัย การเร่งกับการเปลี่ยนเกียร์ เป็นอีกหนึ่งอารมณ์ที่หาโอกาสได้ยากในรถยนต์ทั่วไป ทั้งจังหวะฉุดกระชากของเกียร์ การลากรอบ การดึงหน่วงแบบดุดัน พร้อมเสียงท่อคำรามแบบซะใจ
Mercedes AMG GT S ยังมีปุ่มปรับระดับความแข็ง-อ่อนของโช้กอัพไฟฟ้า และโหมดการขับขี่ที่เลือกได้ Comfort, Sport และ Sport+ และ Race ซึ่งทั้งสองระบบจะมีปุ่มควบคุมฝังอยู่บริเวณคอนโซลกลาง ใกล้ๆกับหัวเกียร์และระบบควบคุมTouchpad
ส่วนช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ ผลิตด้วยอะลูมิเนียมแบบ Forged หลังเป็นแบบมัลติลิงค์ ล้อคู่หน้าขนาด 19 นิ้ว ประกบยาง 265/35 ZR19 และหลังใช้ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ประกบยาง 295/30 ZR20 บวกกับการออกแบบโครงสร้างที่ลู่ลม ดังนั้นไม่ว่าจะใช้ความเร็วระดับไหน คนขับยังมั่นใจกับประสิทธิภาพของการเกาะถนน หนึบหนับสาดใส่ได้เต็มที่ทุกโค้ง แถมยังรับรู้ถึงสภาพถนนได้เต็มๆ เด้งก้อนกรวด ผ่านเม็ดทรายแทบจิตนาการได้ (นี่ก็โอเวอร์ไปนิด แต่อยากให้เห็นภาพ)
อย่างไรก็ตามครับแม้วิศวกรจะเน้นเรื่องการกระจายน้ำหนักหน้าหลังให้สมดุล การทรงตัวแน่นๆแต่ก็ต้องยอมรับว่า สปอร์ตคาร์เครื่องยนต์วางหน้า บล็อกวี8 คันนี้ ยังให้อารมณ์ที่ต่างกับพวกเครื่องยนต์(สูบนอน)วางหลังอย่างปอร์เช่ 911 ( 911 Carrera ราคาใกล้เคียงกันที่ 14.99 ล้านบาท หรือ Carrera S ราคา 16.99 ล้านบาท) ไม่ได้บอกว่า AMG GT S สู้ไม่ได้นะครับ เพียงแต่การตอบสนองในเรื่องของการควบคุม รู้สึกว่า 911 สามารถทำความคุ้นเคยได้ง่ายกว่า หรืออาจจะเนียนแน่นอยู่มือในการลองขับครั้งแรก ในระยะเวลาสั้นๆ (แต่ถ้าเป็นเจ้าของซื้อเองใช้เอง ขับบ่อยๆก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) ส่วนตัวผู้เขียนนั้นเคยลอง 911 Carrera และ Carrera S ในงาน Porsche World Roadshow ที่สนามพีระ เมื่อสองปีที่แล้ว
....สรุปคือ ระบบแชสซีส์ การควบคุมของ AMG GT S ก็อีกอารมณ์หนึ่ง ปอร์เช่ 911 ก็ให้อีกอารมณ์หนึ่ง แล้วแต่คนชอบละครับ หรือใครจะมีจอดในโรงรถทั้งสองคัน สลับวันกันขับ ก็สุดแล้วแต่
รวบรัดตัดความ...แรงไม่บันยะบันยัง ตะบันกันสนุกเท้า ยิ่งเลือกขับโหมดเรซซิ่งบนท้องถนนปกติไม่น่าจะพอรองรับสมรรถนะอันเปี่ยมล้นระดับจรวดทางเรียบ แน่นอนว่าเศรษฐีเท้าหนักหลายคนคงไม่ได้ซื้อ AMG GT S เพื่อขับใช้ทุกวัน แต่รถสปอร์ตไฮเอนด์ของค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อาจจะมีไว้ประดับบารมี บนความเลอค่า คลาสสิกในระยะยาว
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring