xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

รัฐบาลบิ๊กตู่เมาหมัด “อุยกูร์” ระวังจุดชนวนสงครามโลกมุสลิม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สำนักข่าวซินหัว และสื่อทางการหลายแห่งของจีนเปิดเผยภาพผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ จำนวน 109 คนที่ถูกส่งตัวกลับจากประเทศไทยมายังจีนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยกระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์ระบุว่า คนเหล่านี้หลบหนีออกจากจีนโดยมีจุดหมายปลายทางที่ประเทศตุรกี ซีเรีย หรืออิรัก เพื่อร่วมทำสงครามศักดิ์สิทธิ์
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เจอเข้าไปหลายหมัดติดๆ “รัฐบาลบิ๊กตู่” ถึงกับออกอาการต้องยืนพิงเชือก ไหนจะปัญหาภายในประเทศ ฝนแล้ง แผ่นดินไหว ยังมาเจอมรสุมรุมเร้าจากปัญหาระหว่างประเทศที่ยกกันมาเป็นขบวนไม่ให้หายใจหายคอกันเลย ตั้งแต่เรื่องตกมาตรฐานการบินไอซีเอโอปักธงแดง เจอใบเหลืองจากอียูข้อหาประมงเถื่อน พ่วงค้ามนุษย์ชาวโรฮินจา

ล่าสุดคือกรณีส่งกลับผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายชาวมุสลิมอุยกูร์กลับไปยังจีน ตามที่รัฐบาลจีนต้องการ ทำให้เกิดเหตุประท้วงบุกทุบทำลายข้าวของที่สถานกงสุลไทยที่อิสตันบูล ประเทศตุรกี เพราะชาวเติร์กที่นั่นไม่พอใจการกระทำของรัฐบาลไทยที่ส่งชาวอุยกูร์กลับจีน

ขณะเดียวกัน สหรัฐฯและยุโรปรวมทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างรุมประณามไทย เพราะหวั่นเกรงว่าชาวอุยกูร์จะถูกรัฐบาลจีนลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม

รัฐบาลจีน ก็ออกมาตอบโต้สหรัฐฯกับยุโรปที่มาประณามไทยอย่างเผ็ดร้อนพอๆ กัน และเชื้อเชิญผู้สังเกตการณ์จากไทยและองค์กรระหว่างประเทศไปสังเกตการณ์การดำเนินคดีชาวอุยกูร์ตามกระบวนการยุติธรรมของจีนสยบกระแสอีกด้วย

นับเป็นความกระอักกระอ่วนของไทย เข้าทำนอง “เนื้อไม่กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่เอากระดูกมาแขวนคอ” แท้ๆ

ไม่นับว่า เรื่องนี้ยังเป็นประเด็นอ่อนไหว ที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งไม่ให้กระทบชิ่งไปถึงปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมอีกด้วย

เพื่อลดแรงกดดันและจำกัดวงของปัญหาไม่ให้ขยายใหญ่โต รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งพลาดพลั้งในการจัดการปัญหาอุยกูร์ที่นำพาประเทศไทยไปอยู่ระหว่างเขาควายในสงครามเย็นยุคใหม่ขยายแสนยานุภาพทางเศรษฐกิจและการทหารระหว่างสหรัฐฯ-จีน จึงแก้เกมใหม่โดยส่งนายอนุสิษฐ คุณากร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปติดตามการดำเนินคดีของรัฐบาลจีนต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ดังกล่าว

สำหรับสาเหตุที่รัฐบาลจีน ต้องการชาวอุยกูร์เหล่านั้นกลับไปดำเนินคดี เนื่องมาจากกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ระบุว่า จากการตรวจสอบผู้ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย 109 คน ที่ถูกส่งกลับมาจากไทย พบว่า มีบางส่วนต้องการที่จะเดินทางไปเข้าร่วมกับกลุ่มหัวรุนแรง อย่างเช่นกลุ่มที่เรียกตนเองว่าขบวนการเคลื่อนไหวอิสลามเติร์กตะวันออก กลุ่มเหล่านี้มักจะปลูกฝังแนวคิดสุดโต่ง และชักชวนผู้เข้าร่วมไปทำสงครามญิฮาดในประเทศอิรักและประเทศซีเรีย รวมถึงกลับมาเคลื่อนไหวก่อความไม่สงบในมณฑลซินเจียง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน

นอกจากนี้ หน่วยงานความมั่นคงของจีน ยังตรวจสอบพบด้วยว่า ในจำนวนผู้ที่ถูกส่งตัวกลับมามีถึง 13 คน ที่เป็นผู้ต้องสงสัยคดีก่อการร้าย และหลบหนีการจับกุม โดยในจำนวนนี้มี 2 คน ที่เคยหลบหนีออกจากที่คุมขัง ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องควบคุมตัวไปสอบสวนเพิ่มเติม

หลังจากปล่อยของกันพอหอมปากหอมคอ ถึงวันนี้ดูเหมือนกระแสจะสร่างซาลงไป แต่ก็ไม่แน่ว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นระเบิดตูมตามขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ เพราะยังมีชาวอุยกูร์อีกประมาณ 60 คน ที่ยังอยู่ในการดูแลของไทยและกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเอายังไงดี จากจำนวนชาวมุสลิมอุยกูร์ทั้งหมด 300 กว่าคน ที่ไทยส่งกลับไปจีน 109 คน แยกเป็นชาย 85 คน และหญิง 24 คน ส่วนอีก 180 คน แยกเป็นหญิง 36 คน และเด็ก 144 คน ถูกส่งกลับไปตุรกี

มาทำความรู้จักกับประวัติศาสตร์ชาวมุสลิมอุยกูร์ ท่าทีของรัฐบาลจีนต่อพวกเขา และจุดยืนของรัฐบาลไทย เพื่อรับมือกับมหาศึกสงครามเย็นยุคใหม่ของสหรัฐฯ - จีน เผื่อว่าเบี้ยในกระดานอย่างไทยจะรักษาสมดุลไม่หกคะเมนตีลังกาเสียท่ามหาอำนาจทั้งตะวันออกและตะวันตก ทั้งไม่ให้เรื่องราวบานปลายสู่ปลายด้ามขวานของไทยในภายภาคหน้า

หากย้อนประวัติศาสตร์จีน ชาวอุยกูร์เชื่อว่าบรรพบุรุษของเขาคือชนพื้นเมืองในลุ่มน้ำทาริม ซึ่งครอบคลุมบริเวณกว้างถึงประมาณ 350,000 ตารางกิโลเมตร หรือที่รู้กันในปัจจุบันคือ "มณฑลซินเจียง" ชาวอุยกูร์จึงมีความผูกพันกับผืนแผ่นดินในซินเจียงเป็นอย่างมากและอ้างสิทธิ์ต่อบุคคลภายนอกเสมอมาว่า “นี่คือแผ่นดินของพวกเขา เขตแดนของพวกเขา”

หนังสือประวัติศาสตร์ซินเจียง (1977) แจ็ก เฉิน (Jack Chen) อธิบายคำว่า อุยกูร์ ว่าหมายถึงชนเผ่าเติร์กที่อาศัยอยู่ในเตอร์กิสถานของจีน แต่จากการรวบรวมบันทึกเกี่ยวกับชนเผ่าร่อนเร่ที่รู้จักกันว่าคือชาวอุยกูร์นั้น ปรากฏพบตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 8 ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่นับถือพ่อมดหมอผี และเปลี่ยนมานับถือพุทธ ต่อมาชนชาวอุยกูร์ค่อยๆ เปลี่ยนเข้ารับอิสลาม นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 10-16 และอัตลักษณ์ของพวกเขาได้สูญหายไปในช่วงศตวรรษที่ 15-20 โดยถูกเรียกว่าเป็นชนชาวหุย-เหอ หรือหุย-หู

ต่อมาชนชาวอุยกูร์ถูกผนวกเข้ากับจีนอย่างจริงจังหลังจากปี ค.ศ.1942 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่รวมเป็นหนึ่งเดียว โดยท่านประธาน เหมา เจ๋อตง ส่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีนไปยึดดินแดนทิเบตและซินเจียง โดยปกครองในรูปแบบ “เขตปกครองตนเอง” ให้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ กระทั่งเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม ปี ค.ศ. 1966 ขบวนการเรดการ์ด เผาทำลายศาสนสถาน นักบวช ถูกลงโทษ

จนกระทั่งการปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1976 เติ้ง เสี่ยว ผิง จึงรื้อฟื้นนโยบายพรรคคอมมิวนิสต์จีนยุคเริ่มต้นขึ้นใหม่ให้นับถือศาสนาและยึดระบอบสมัชชาผู้แทนประชาชน เปิดทางให้ตัวแทนชาติพันธุ์เข้ามามีส่วนร่วมปกครองประเทศ

แต่เอาเข้าจริง นับตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นครองอำนาจในปี คศ 1949 จนถึงปัจจุบัน เขตปกครองตนเองอุยกูร์ซินเจียง มีเลขาธิการพรรคเขตปกครองทั้งหมด 9 คน ในจำนวนนั้น 8 คนล้วนเป็นชาวฮั่น มีเพียง Saypindin Ezizi คนเดียวที่เป็นชาวอุยกูร์ อดีตผู้สื่อข่าวช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำเขตปกครองซินเจียง คนที่ 4 ระหว่างปี ค.ศ.1972-1978 เท่านั้น

จุดหักเหสำคัญของปัญหาระหว่างรัฐบาลจีนกับชาวอุยกูร์ เกิดขึ้นในยุครัฐบาล หู จิ่น เทา ที่ชูธงนโยบายการเปลี่ยนให้เป็นฮั่น โดยการนำเอาชาวฮั่นเข้าไปพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ของชนชาติพันธุ์ ซึ่งหมายรวมถึงซินเจียงด้วย ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวอุยกูร์กับชาวฮั่นเรื่อยมา

ในขณะเดียวกัน ชาวมุสลิมอุยกูร์บางส่วนที่เชื่อมาโดยตลอดว่ามลฑลซินเจียงนั้น “คือแผ่นดินของพวกเขา เขตแดนของพวกเขา” ได้บ่มเพาะขบวนการแบ่งแยกดินแดน และเคยประกาศสาธารณรัฐ “เตอร์กิสถาน ตะวันออก” มาอย่างน้อย 70 ปีแล้ว

ขบวนการนี้เคลื่อนไหวครอบคลุมพื้นที่ทั้งในและนอกมณฑล ตั้งแต่ระเบิดรถบัส ระเบิดสถานีรถไฟ ก่อการจลาจลในเมืองต่างๆ ของซินเจียง รวมทั้งปฏิบัติการในจุดที่เป็นหัวใจของอาณาจักรจีน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง ทั้งเผารูปวาดประธานเหมาที่ประตูเทียนอันเหมิน หรือคาร์บอมบ์

สำหรับทางการจีนเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่า รัฐบาลจีนซึ่งตัวแทนของคนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชาวฮั่น มีการกดขี่ชนกลุ่มน้อยอย่างชาวอุยกูร์จริง ทั้งใช้ไม้แข็งเข้าปราบปรามทั้งใช้ไม้นวมด้วยการเปลี่ยนให้เป็นฮั่นผ่านนโยบายต่างๆ ซึ่งในรอบ 60 ปีที่ผ่านมา ประชากรชาวฮั่นที่ซินเจียงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากสองแสนกว่าคนเมื่อปี ค.ศ. 1949 มาเป็นกว่า 8.4 ล้าน ในปี ค.ศ. 2008

นโยบายการเปลี่ยนให้เป็นฮั่น ก่อให้เกิดการปะทะกันในหลายมิติทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม จนกลายเป็นความขัดแย้งที่ฝังรากลึก และมีการเลือกปฏิบัติโดยเอื้อประโยชน์ให้แก่ชาวจีนฮั่นมากกว่าชนชาติส่วนน้อยในท้องถิ่น ทว่า ทางการปักกิ่งกลับมองว่าเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในซินเจียงมาจากการเสี้ยมของกลุ่มศาสนาสุดโต่งและลัทธิแบ่งแยกดินแดน

ผู้นำจีนเชื่อว่ากลุ่มเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนในซินเจียง กำลังเคลื่อนไหวอิสรภาพ “เตอร์กีสถาน ตะวันออก” โดยมีหัวหอกคือกลุ่มอิสลามเตอร์กีสถานตะวันออก หรือ ETIM ซึ่งทั้งจีน สหรัฐฯ และสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ขึ้นบัญชีดำ ETIM เป็นลัทธิก่อการร้าย

เหตุรุนแรงสุดในรอบสิบปี คือการปะทะระหว่างชนชาติอุยกูร์และชาวจีนฮั่นในอูหลู่มู่ฉี เมืองเอกของซินเจียงเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2552 ข้อมูลรัฐบาลจีน ระบุผู้เสียชีวิต เกือบ 200 คน บาดเจ็บกว่า 1,600 คน ผู้ก่อเหตุอย่างน้อย 26 คน ถูกตัดสินโทษประหารชีวิต

ผู้นำจีนยิ่งระดมกำลังคุมเข้มความสงบเรียบร้อยในซินเจียง ทั้งมีรายงานข่าวการประหารชีวิตชาวอุยกูร์ในความผิดก่อความรุนแรงออกมาอย่างไม่ขาดสาย แต่เหตุจลาจลและการโจมตีก็มีแต่แรงขึ้นๆ “กลุ่มก่อการร้ายได้ใช้ทุกวิถีทางที่จะแผ่ขยายความตื่นตระหนกในสังคม...ทั่วประเทศจีน” พาน จื้อผิง ผู้เชี่ยวชาญด้านลัทธิก่อการร้ายที่สถาบันการศึกษาสังคมศาสตร์ซินเจียง ให้ความเห็น

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลจีน ต้องการให้รัฐบาลไทยส่งตัวชาวมุสลิมอุยกูร์ กลับไปยังจีน หากไทยไม่ส่งให้จีนก็คงไม่ชอบใจนัก ขณะเดียวกันก็คาดหมายได้ว่ารัฐบาลไทยจะต้องถูกประณามจากชาติตะวันตกและองค์กรสิทธิมนุษยชน เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจีนจะต้องใช้มาตรการเด็ดขาดจัดการกับชาวอุยกูร์ที่หลบหนีออกนอกประเทศ ไม่เฉพาะแต่ชาวอุยกูร์ที่ถูกขึ้นบัญชีดำ 13 คน ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายเท่านั้น

สำหรับประเทศไทย ไม่ว่าจะออกซ้ายหรือขวาก็โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง แล้วมีหนทางอื่นที่เป็นทางเลือกที่ดีกว่านี้ไหม?

บรรดานักสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ ต่างลงความเห็นว่า ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวอุยกูร์นั้น การโยนเผือกร้อนไปให้องค์กรระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติหรือยูเอ็นเข้ามารับไปจัดการ หรือปรึกษาหารือหน่วยงานเหล่านั้นเพื่อแสดงว่ารัฐบาลไทยยึดหลักสากลในการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยหรือผู้หลบหนีเข้าเมือง น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าและลดแรงกดดันได้มากกว่าที่ไทยจะเอาตัวเข้าไปแบกรับเรื่องนี้แต่เพียงลำพัง เพราะอำนาจการต่อรองของไทยกับจีนในเรื่องที่มีความซับซ้อนอย่างปัญหาชาวอุยกูร์นั้น ดูยังไงก็ห่างชั้นกันมาก และไม่ว่าจีนหรือสหรัฐฯ ไทยก็ยังเป็นลูกไล่มหาอำนาจอยู่วันยังค่ำ

ส่วนเกมการเมืองระหว่างประเทศระหว่างสองมหาอำนาจจีนกับสหรัฐฯ กรณีชาวอุยกูร์นั้น มาฟัง อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ผ่าน เฟซบุ๊กส่วนตัว Somkiat Osotsapa เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2558 หัวข้อ “ตุรกี อุยกูร์ ไทย อาเซียน ในสถานการณ์สงครามสหรัฐ -จีน”

ความตอนหนึ่งว่า “นักยุทธศาสตร์นั้นจะชอบอ่านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ศาสนา อเมริกาสร้างยุทธศาสตร์จากเรื่องราวเหล่านี้ จึงเอาเติร์กมาชนกับจีน ถ้าอุยกูร์สิบล้านคน ติดอาวุธเมื่อใด จีนป่วน เพราะในจีนมีชนเผ่ามากมาย ที่รัฐบาลกลางมีเงินดูแลไม่เพียงพอ จนต้องใช้สำรองเงินตรามาใช้จ่าย ต้องการให้จีนแตกว่างั้นเถอะ จะได้ลดอำนาจลง

“การรีบประกาศสนับสนุนอุยกูร์ก็เพื่อดึงแฟนคลับของตุรกีย่านนี้ เช่น บังกลาเทศ ปากีสถาน อุซเบกิสถาน อัฟกานิสถาน เติร์กเมนิสถาน และชาวเติร์กทั่วโลกสิบล้านมาอัดจีน ที่ซินเกียงมีอุยกูร์ราวสิบล้านคน อิสตันบูล เป็นฐานสนับสนุนการสร้างรัฐใหม่ของชาวอุยกูร์มาเกือบ 70 ปีแล้ว มีชาวอุยกูร์อยู่สักสองหมื่น พวกที่อพยพไปราวเจ็ดพัน ที่เหลือเกิดในตุรกี สมัยก่อนพวกอพยพไปทางอัฟกานิสถาน จีนถูกทำร้าย ทำลายผลประโยชน์ในตุรกีมานานแล้ว เผาร้านคนจีนเป็นปกติ

“การที่อเมริการีบประกาศโจมตีพร้อม UNHCR รัฐบาลตุรกี ตอนนี้มีอียูด้วย ก็เพื่อดึงมุสลิมสายอื่นๆ มาอัดจีนด้วย เรียกว่ากะจะโจมตีผลประโยชน์จีนทั่วโลก และดึงกำลังมุสลิมทั่วโลกมาเล่นงานจีน แก้เกมไม่ได้เจอศึกหนักแน่

“ต้องการได้ชาติมุสลิมในวงแหวนไฟสามวงคือ อินโดนิเซีย มาเลเซีย และมุสลิมในประเทศต่างๆ มาเล่นงานจีนด้วย มาแนวนี้ต้องการให้เกิดสงครามชาติพันธุ์ในประเทศต่างๆของเอเชีย

“ระเบิดโป้งป้างที่ภาคใต้ก็เกี่ยว

“งานนี้อเมริกาตั้งใจโยนขี้ให้ไทยเต็มๆ เลวมาก ท่านสุภาพบุรุษแห่งถนนวิทยุ

“ทำแบบนี้ อเมริกาและยุโรปต้องการให้มุสลิมลดความเกลียดชังพวกตนลง ให้ความขัดแย้งระหว่างผิวขาวกับมุสลิม กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างผิวขาว บวกมุสลิม ชนกับจีน ลึกซึ้งนะครับ....”

ท่ามกลางมหาศึกสงครามเย็นยุคใหม่ระหว่างสหรัฐฯ - จีน ที่ปะทะกันครั้งล่าสุดผ่านการส่งกลับชาวมุสลิมอุยกูร์ที่รัฐบาลทหารของไทยทะเล่อทะล่าทำไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ และโยนขี้มาให้กระทรวงการต่างประเทศ ออกมาแก้ผ้าเอาหน้ารอด ไม่น่าเชื่อว่าในระดับอนุภาคเล็กๆ อย่างวงการบันเทิงของไทย ก็ไปมีส่วนดราม่าในเรื่องนี้กับเขาด้วย

นั่นคือ สงครามน้ำลายระหว่าง ดี้ - นิติพงษ์ ห่อนาค นักแต่งเพลงชื่อดัง กับ วีรชน ศรัทธายิ่ง หรือที่รู้จักกันในนาม "โต ซิลลี่ฟูลส์" และ "โต แฮงแมน" อดีตนักร้องเพลงร็อกชื่อดังที่เป็นชาวมุสลิม ซึ่งดี้ได้โพสต์เฟซบุ๊คในทำนองว่าปัญหาชาวอุยกูร์ไม่เกี่ยวอะไรกับไทยเลย แต่คำพูดของดี้ที่ทำให้โตของขึ้นอยู่ที่ประโยคที่ว่า “.... รัฐบาลจีนจะโหดกับคนอุยกูร์มุสลิมเติร์ก ... ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรานี่...”

โต จึงโพสต์วิพากษ์วิจารณ์การแสดงทัศนะของนิติพงษ์ เอาไว้ว่า “ตาที่มันเหล่มองไม่ค่อยชัดไม่เป็นอะไรเพราะไม่กระทบใคร.....แต่ใจที่มันคด แยกไม่ออกระหว่างความดีความชั่วและลิ้นที่มันเบี้ยว คอยพูดให้คนเห็นดีเป็นชั่วชั่วเป็นดี คนพวกนี้ยึดคติ เอาตัวรอดเป็นยอดดี ทำตัวเป็นนกสองหัว......สุดท้ายโดนทุกคนเกลียด เพราะเขารู้ว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว”

เรื่องจึงจบลงแบบดี้รู้สึกเศร้าและเสียใจที่มีคนนำข้อความไปบิดเบือนจนทำให้เกิดความเข้าใจผิด “.....ประเด็นที่ฉันพูดฉันเน้นไปขอคำตอบจากอเมริกัน UNSCR และจีน ว่าทำไมมึงไม่ไปคุยกันที่ประเด็น...จะแก้ปัญหายังไง ทำไมถึงโยนภาระมาให้แต่บ้านเมืองเรา...ไม่ได้เกี่ยวกับศาสนาอะไรเลย...ฉันเสียใจจริงๆ...”

เวลานี้ไทยกลายเป็นสนามประลองศึกเจอเข้าไปแล้วหลายดอก อย่างนี้ต้องตั้งหลักให้มั่น อย่าเมาหมัด ไม่งั้นก็มีแต่ตกเป็นหมากเบี้ยในกระดาน เอาตัวไม่รอด พาประเทศชาติยุ่งวุ่นวายไม่หยุดหย่อน


สภาพความเสียหาย ณ สถานกงสุลไทยในอิสตันบูล หลังจากถูกกลุ่มผู้ประท้วงถูกโจมตี กรณีขับไล่ชาวมุสลิมอุยกูร์ไปยังจีน
ศาลอินโดนีเซียพิพากษาจำคุกชาวอุยกูร์ที่เป็นชนกลุ่มน้อยจากประเทศจีนจำนวน 3 คน เป็นเวลาคนละ 6 ปี ภายหลังคนเหล่านี้ถูกจับกุมขณะพยายามหาทางเข้าร่วมกับกลุ่มอิสลามิสต์สุดโต่ง ซึ่งนำโดยบุคคลหัวรุนแรงที่มีชื่ออยู่ในบัญชีคนร้ายซึ่งเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดของแดนอิเหนา เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา
ดี้ – นิติพงษ์ ห่อนาค
โต ซิลลี่ฟูลส์
กำลังโหลดความคิดเห็น