เดลีซาบาห์/รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - เกิดเหตุวุ่นวายที่สถานกงสุลไทยในเมืองอิสตันบูล หลังจากกลุ่มผู้ประท้วงชาวตุรกีก่อเหตุเข้าโจมตทั้งทุบและทำลายสถานกงสุล เนื่องจากไม่พอใจกรณีรัฐบาลไทยส่งมุสลิมอุยกูร์ไปให้จีน “บิ๊กตู่” แจงทำทุกอย่างตามพันธะสัญญาระหว่างประเทศ ด้าน ผบ.ตร.สั่งคุมเข้มสถานทูตที่เกี่ยวข้องในไทย รองโฆษกรัฐบาลเผย กต.แจ้งเตือน 1,300 คนไทยในตุรกีแล้ว ขณะที่ UNSCR ออกแถลงการณ์อัดไทยละเมิด กม.สากล
กลุ่มผู้ประท้วงชาวตุรกีจำนวนหนึ่ง ได้ก่อเหตุโจมตีสถานกงสุลไทยที่ตั้งอยู่ในเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อคืนวันพูธที่ผ่านมา (8 ก.ค.) พร้อมทั้งประณามการตัดสินใจของทางการไทย ที่ดำเนินการส่งตัวชาวมุสลิมอุยกูร์ให้แก่จีน โดยกลุ่มผู้ประท้วงได้มารวมตัวกันบริเวณหน้าสถานกงสุลเพื่ออ่านคำแถลงตอนเวลาประมาณ 23.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น แต่หลังจากนั้นก็เริ่มมีการใช้ความรุนแรง โดยฝูงชนได้เข้าทุบทำลายหน้าต่างและปลดธงชาติไทยลงมา
ต่อมากองกำลังความมั่นคงจำนวนหนึ่งได้ถูกจัดส่งไปยังบริเวณพื้นที่เกิดเหตุเพื่อระงับเหตุการณ์ โดยให้กลุ่มผู้ประท้วงแยกย้ายกันกลับไป
กลุ่มชาติพันธุ์อุยกูร์ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรในซินเจียงของจีน ได้กล่าวหารัฐบาลจีนว่า ใช้นโยบายทำการปราบปรามและตั้งข้อจำกัดกิจกรรมทางศาสนา การค้าและวัฒนธรรม
ด้วยแรงกดดันจากจีน ทำให้ชาวอุยกูร์บางส่วนต้องหลบหนีไปหาที่ปลอดภัยในประเทศอื่น ขณะที่ตุรกีได้แสดงท่าทีไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะรับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ไปดูแล โดยขอให้ทางการไทยส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์เหล่านี้ไปยังตุรกี ไม่ควรส่งกลับไปให้จีน เพราะพวกเขาอาจต้องเผชิญกับการเสียชีวิตหากกลับไป
ด้านกระทรวงการต่างประเทศของไทย ระบุว่า ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีสถานกงสุลครั้งนี้ ขณะที่สถานทูตไทยในกรุงอังการาได้ขอให้พลเมืองไทยประมาณ 1,300 คนที่อาศัยอยู่ในตุรกี เพิ่มความระมัดระวัง โดยในวันพฤหัสบดี (9 ก.ค.) แผนกกงสุลของสถานทูตไทยในตุรกีจะปิดทำการ
***นายกฯ แจงทำตามหลักสากล
วานนี้ (9ก.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า อย่าห่วงแค่สถานกงสุล สถานที่เสียหายสามารถซ่อมได้ แต่ต้องดูว่าคนของเราและเจ้าหน้าที่ปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของทางการตุรกี ก่อนจะมาดูว่าเกิดขึ้นเพราะสาเหตุอะไร และไทยไปเกี่ยวข้องแค่ไหน เพราะเราเป็นประเทศที่อยู่ตรงกลาง ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศทั้งสิ้น มีกระบวนการตรวจสอบการพิสูจน์สัญชาติ มีความผิดอะไรหรือไม่ เราในฐานะประเทศคนกลางก็ต้องตรวจสอบ เหมือนกรณีปัญหาการค้ามนุษย์โรฮิงญา และแยกส่งให้เกิดความชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมาก็ส่งกลับไปยังประเทศต่างๆตามขั้นตอนและหลักฐาน ซึ่งบางประเทศมีปัญหามากกว่านี้เสียอีก ทั้งนี้ได้ให้กระทรวงการต่างประเทศประเมินดูว่า ถ้าสถานการณ์ยังเกิดความรุนแรงขึ้นก็อาจจะต้องปิดสถานทูตไทยในตุรกีแล้วหาที่ทำงานใหม่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัย
“ต้องเห็นใจประเทศไทยที่อยู่ตรงกลางบ้าง เราไม่อยากไปขยายความขัดแย้งอยู่แล้ว ที่ผ่านมาเรายึดหลักของสิทธิมนุษยชนและเคารพกฎหมายต่างๆ แต่อย่าลืมว่าต้องเคารพกฎหมายของแต่ละประเทศเขาด้วย แต่เมื่อเราส่งไปแล้ว หากมีปัญหา มันก็ไม่ใช่ปัญหาของเราแล้ว มันอยู่ที่กติกา” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
** เผยจีนรับปากดูแลชาวอุยกูร์
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจในเรื่องความปลอดของชาวอุยกูร์ที่ส่งกลับไปประเทศจีนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทางการจีนรับรองความปลอดภัย ยืนยันจะนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ถ้าไม่เกี่ยวข้องก็จะปล่อยตัว หาที่ทำกินให้ ถ้ามีหลักฐานประจักษ์ชัดเจนก็ต้องดำเนินคดีตามความรุนแรงของโทษ ยืนยันว่าไทยปฏิบัติถูกต้องทุกประการ ขออธิบายให้ชาวมุสลิมได้ทราบว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปทำลายใครทั้งสิ้น ความมุ่งหวังของเราคือให้เกิดความสงบสุขมากที่สุด ก็เหมือนกับกรณีถ้าเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นไม่ว่าจะกรณีใดก็ตามก็ต้องไปดูตามพันธะสัญญาของกฎหมาย เราจะไปทำตามใจตนเองไม่ได้ หรือจะเข้าข้างใดข้างหนึ่งก็ไม่ได้ ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ได้ก่อน
เมื่อถามว่า ขณะนี้ทางการตุรกีได้ช่วยดูแลสถานทูตไทยอย่างไรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เขาก็ต้องดูแลเรา วันนี้ก็ได้ขอร้องเขาไปแล้วว่าให้ช่วยดูแลก็อยู่ที่ว่าเขาจะดูแลเราได้แค่ไหน มีขีดความสามารถแค่ไหน แต่ปัญหามันอยู่ที่ความรุนแรงเกิดขึ้นเพราะคนกลุ่มนี้ ส่วนคนไทยที่อาศัยในตุรกีนั้นเท่าที่ได้รับรายงานยังไม่มีผลกระทบ ถ้ามีก็คงมีการรายงานขึ้นมา ส่วนกลุ่มที่เคลื่อนไหวทำลายทรัพย์สินของทางการไทยก็เป็นกลุ่มที่ส่งกลับไป รวมกับคนเก่าที่อยู่ที่ตุรกี ไม่อยากให้มองว่าเราขัดแย้งกับใครเลย
** ทบ.โยน กต.-สมช.แจง
ด้าน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศจะทำความเข้าใจ และสื่อสารในเรื่องราวต่างๆ ให้คนที่เข้าใจผิด และทำให้มีผลกระทบต่อสถานทูตไทยในตุรกี ซึ่งคนไทยในตุรกีก็คงต้องระวังตัว เพราะกระทรวงการต่างประเทศก็คงเตรียมการในเรื่องนี้ และให้ข้อมูลกับคนไทยให้ระมัดระวังในช่วงนี้ แต่คิดว่าไม่น่าจะยืดเยื้อ ถ้าเราได้มีการชี้แจงไปแล้ว เพราะบางคนอาจไม่เข้าใจและมีปัญหาได้ ทั้งนี้การพิจารณาจะส่งอุยกูร์ไปประเทศใดนั้น ไม่ใช่ข้อพิจารณาหรือภารกิจของกองทัพบกโดยตรง แต่กระทรวงการต่างประเทศ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จะเป็นผู้ร่วมพิจารณา ซึ่งต้องไปถามหน่วยงานเหล่านั้นว่าจะดำเนินการอย่างไร กองทัพบกคงแค่ติดตามสถานการณ์ อะไรก็ตามที่จะเกิดผลกระทบต่อความมั่นคง หรือจะเกิดปัญหาต่อความไม่สงบก็จะติดตามอย่างต่อเนื่อง
** ผบ.ตร.สั่งคุมเข้มสถานทูต
ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ได้กำชับให้ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล และผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพิ่มความเข้มงวดดูแลความปลอดภัยสถานทูต หรือสถานที่ที่อาจมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับกรณีเกิดเหตุชาวอุยกูร์บุกทำลายสถานกงสุลไทยในกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี เนื่องจากไม่พอใจที่ทางการไทยส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปประเทศจีน ทั้งนี้การดำเนินการส่งตัวชาวอุยกูร์เป็นไปตามขั้นตอนของการส่งตัวผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเพื่อส่งไปประเทศที่สามหลังตรวจสอบสัญชาติแล้วตามคำร้องขอของชาวอุยกูร์ส่วนหนึ่ง เบื้องต้นสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ประสานไปยังสำนักงาน สมช. ซึ่งเป็นรับผิดชอบเรื่องดังกล่าว โดยไม่ทราบว่ามีการดำเนินการส่งตัวชาวอุยกูร์ไปยังประเทศใด และจำนวนมากเท่าใด แต่เชื่อว่าการดำเนินการส่งตัวชาวอุยกูร์ไปยังประเทศที่สามเป็นไปตามกระบวนการและขั้นตอนการตรวจสอบสัญชาติที่แท้จริง รวมไปถึงการประสานกับประเทศปลายทาง ก่อนส่งตัวไปยังประเทศนั้นๆ
ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นความละเอียดอ่อนระดับประเทศจึงต้องขอตรวจสอบก่อน แต่ในขณะนี้ได้ขอกำลังดูแลสถานทูตตุรกีประจำประเทศไทยเพิ่มเติม ซึ่งยังไม่มีรายงานเหตุรุนแรง.
** แจ้งเตือน 1,300 คนไทยในตรุกี
พล.ต.วีรชน สุคนธปฎิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า การส่งชาวอุยกูร์ไปยังประเทศตุรกี และจีนนั้น เป็นความร่วมมือกันของ 3 ประเทศ ระหว่าง ไทย จีน และ ตุรกี เนื่องจากมีชาวอุยกูร์หลบหนีเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งเราดูแลมาเป็นเวลานาน มีการพิสูจน์สัญชาติว่าเป็นชาวตุรกี และไม่มีคดีความ ประมาณ 170 คน ซึ่งส่งกลับไปแล้วเมื่อปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เป็นสัญชาติจีน ประมาณ 100 คน ส่งกลับไปเมื่อวันที่ 8 ก.ค. และยังอยู่ระหว่างการพิสูจน์สัญชาติอีกประมาณ 50 คน ซึ่งจะดำเนินการพิสูจน์สัญชาติต่อไป สำหรับเหตุการณ์ประท้วงที่ประเทศตุกรีนั้น อาจเป็นเพราะปัญหาการสร้างความรับรู้ เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ยืนยันว่า ในระดับรัฐบาลมีความเข้าใจกันดี ดังนั้นเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ก็ต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชน และยืนยันว่า เรายึดการดำเนินการตามหลักสากล แม้ทางการจีนจะไม่เห็นด้วยในการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับตุรกี แต่เมื่อพิสูจน์สัญชาติแล้วว่า เป็นชาวตุรกี และไม่มีคดีความ เราก็ต้องส่งกลับไป ส่วนที่ส่งไปจีนนั้น ก็มีการประสานในการดูแลความปลอดภัยให้เป็นไปตามหลักสากลด้วยเช่นกัน ยืนยันว่าที่ผ่านมาไทยได้ดูแลบุคคลเหล่านี้ตามหลักมนุษยธรรมเหมือนชาติพันธุ์อื่นๆ ที่มาอยู่ในไทย ไม่มีการละเมิด หรือขัดหลักกติกาสากล
“สำหรับคนไทยในตุรกี ที่มีอยู่ 1,300 คน ได้แจ้งเตือนให้มีการระมัดระวังตัว ในช่วงที่กำลังทำความเข้าใจ พร้อมทั้งประสานทางตุรกีให้ดูแลความปลอดภัยทั้งหมดด้วย เชื่อว่าเราคงแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เนื่องจากรัฐบาลมีความเข้าใจกัน” พล.ต.วีรชน กล่าว
**UNSCR ซัดไทยละเมิด กม.สากล
ทางด้าน สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ออกแถลงการณ์ต่อกรณีที่ประเทศไทยส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ กว่า 100 คน กลับไปยังประเทศจีน ซึ่งมีทั้งผู้หญิงและเด็กรวมอยู่ด้วย แม้ว่าบุคคลเหล่านั้นไม่ต้องการเดินทางกลับจีน โดยระบุว่า การส่งคนร่วมร้อยคนให้จีนครั้งนี้ เป็นไปทั้งที่ชาวอุยกูร์เหล่านั้นไม่ต้องการ และบอกว่าในระหว่างที่รอข้อมูลรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มาตรการนี้ทำให้รู้สึกตกใจและเห็นว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน ทางยูเอ็นเอชซีอาร์ได้ติดตามเหตุการณ์มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และได้เข้าพูดคุยกับผู้แทนรัฐบาลไทย เพื่อขอให้ไทยยืนยันว่าจะจัดการกับปัญหานี้ตามหลักกฎหมายสากล และผู้ลี้ภัยจะยังได้รับการคุ้มครอง โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยได้ส่งชาวอุยกูร์ไปประเทศที่ 3 แล้วกว่า 172 คน แต่ต่อมาทางไทยกลับส่งผู้ลี้ภัยอีกกลุ่มหนึ่งไปยังประเทศจีน ถือเป็นการละเมิดกฎหมายสากล จึงขอให้เจ้าหน้าที่ไทยสอบสวนเรื่องที่กิดขึ้น และเคารพหลักการพื้นฐานในการให้การช่วยเหลือ และเคารพความต้องการของบุคคลเหล่านั้น และจะไม่ส่งตัวผู้คนกลับเช่นนี้อีกในอนาคต.