ไทม์ไลน์เพจเฟซบุ๊ก “Royal Thai Embassy” รายงานสถานการณ์สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ที่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี ถูกบุกรุกและทรัพย์สินเสียหายในค่ำคืนที่ผ่านมา โดยถูกกลุ่มผู้ประท้วงบุกรุกเข้าไปทำลายทรัพย์สิน เนื่องจากไม่พอใจกรณีที่ทางการไทยส่งตัวผู้หนีภัยชาวอุยกูร์ 100 คนให้จีนโดยไม่สมัครใจ
วันนี้ (9 ก.ค.) ตั้งแต่ช่วงเช้า เพจเฟซบุ๊ก “Royal Thai Embassy” ได้รายงานสถานการณ์สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ที่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี ถูกบุกรุกและทรัพย์สินเสียหายในค่ำคืนที่ผ่านมา โดยถูกกลุ่มผู้ประท้วงบุกรุกเข้าไปทำลายทรัพย์สิน เนื่องจากไม่พอใจกรณีที่ทางการไทยส่งตัวผู้หนีภัยชาวอุยกูร์ 100 คน ให้จีนโดยไม่สมัครใจ
เริ่มด้วยวันที่ 7 กรกฎาคม เวลา 13:55 น. เพจเฟซบุ๊ก “Royal Thai Embassy” ระบุว่า “ตามที่มีกระแสต่อต้านประเทศจีน ต่อการกระทำของรัฐบาลจีนต่อกลุ่มชาวมุสลิมในประเทศจีน ซึ่งทำให้มีกลุ่มชาวตุรกีที่ไม่พอใจกับการกระทำดังกล่าวออกมาแสดงความไม่พอใจ ที่อิสตันบูล และอังการา พยายามทำร้ายร่างกายและทรัพย์สินชาวจีน ตามที่ปรากฏตามข่าว ***สถานเอกอัครราชทูตฯ ด้วยความห่วงใย ขอให้พี่น้องชาวไทยเพิ่มความระมัดระวัง และพยายามหลีกเลียงสถานที่ที่มีการชุมนุม อย่างไรก็ดี สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติครับ****
วันที่ 9 กรกฎาคม 15 ชม. ก่อนนี้เพจเฟซบุ๊ก Royal Thai Embassy “**เรียนพี่น้องชาวไทยในตุรกีทุกท่าน**สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้รับข่าวสารว่าอาจจะมีการแสดงออกถึงความไม่พอใจไทยในการดำเนินการเรื่องอุยกูร์ที่เข้าไทยโดยผิดกฎหมาย ขอให้คนไทยในตูรกี ระมัดระวังตัว และเพิ่มมาตรการการดูแลทรัพย์สินและร้านค้าของท่าน ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ จะให้ข่าวสารเป็นระยะ”
วันที่ 9 กรกฎาคม 14 ชม. ก่อนนี้เพจเฟซบุ๊ก Royal Thai Embassy “ขอให้คนไทยเพิ่มความระมัดระวังตัว เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2558 ประมาณเที่ยงคืนเศษ สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ที่นครอิสตันบูล ถูกกลุ่มคนจำนวนหนึ่งบุกรุกเข้าไปในสำนักงาน มีการทำลายประตูและสิ่งของ เหตุการณ์นี้เป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อการดำเนินการของไทยในเรื่องชาวอุยกูร์ที่เข้าไทยโดยผิดกฎหมาย ขอให้คนไทยทุกคนระวังตัว หลีกเลี่ยงการกล่าวถึงหรือโต้เถียงใด ๆ ในเรื่องนี้ และติดตามข่าวสารจาก สอท โดยใกล้ชิด...”
วันที่ 9 กรกฎาคม 6 ชม. ก่อนนี้เพจเฟซบุ๊ก Royal Thai Embassy “ประกาศ นักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปตุรกีในช่วงนี้ โดยเฉพาะที่เดินทางเป็นกลุ่ม ควรเพิ่มความระมัดระวังในทุก ๆ เมืองที่เดินทางไปเยือน หัวหน้าคณะนักท่องเที่ยว หรือทัวร์ไกด์ ไม่ควรใช้ธงชาติไทยเป็นสัญลักษณ์ ควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีการชุมนุม ไม่ถ่ายภาพการชุมนุม ไม่ทำให้กลุ่มเป็นจุดสนใจ ทั้งนี้ เนื่องจาก 3 วันที่ผ่านมา กลุ่มนักท่องเที่ยวเอเชียที่ถูกเข้าใจว่าเป็นชาวจีน ถูกกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งพยายามเข้าทำร้าย แต่เจ้าหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ เหตุการณ์ดังกล่าวว่าเกิดขึ้นบริเวณเมืองเก่าใน นครอีสตันบูล”
วันที่ 9 กรกฎาคม 4 ชม. ก่อนนี้เพจเฟซบุ๊ก Royal Thai Embassy “สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอแจ้งประชาชนไทยเบอร์ Hotline ของสถานเอกอัครราชทูตฯ กรณีมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน +90 533 641 5698 เท่านั้น หากเป็นเรื่องกงสุลโปรดติดต่อที่เบอร์ (90-312) 437 4318 ครับ”
วันที่ 9 กรกฎาคม 2 ชม. ก่อนนี้ เพจเฟซบุ๊ก Royal Thai Embassy “ขณะนี้ มีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งอยู่หน้าบริเวณของสถานเอกอัครราชทูตฯ สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงขอให้ประชาชนไทยงดเดินทางมาที่สถานเอกอัครราชทูตฯ เป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ หากมีเรื่องสอบถามเรื่องกงสุลโปรดติดต่อที่เบอร์ (90-312) 437 4318 ...”
เวลา 09.30 น. ทวิตเตอร์ของทางกระทรวงต่างประเทศ แจ้งสถานการณ์ ว่า สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอังการา ประเทศตุรกี ตรวจสอบเหตุการณ์สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ประจำนครอิสตันบูล ถูกบุกรุกและทรัพย์สินเสียหายแล้ว เบื้องต้นพบว่าไม่มีคนไทยบาดเจ็บหรือได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตไทยฯ ได้เตือนคนไทยให้เพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น ทั้งนี้ มีคนไทยอยู่ในตุรกีมีประมาณ 1,300 คน
เวลา 10.00 น. สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความตกใจต่อกรณีที่ประเทศไทยส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กว่า 100 คน กลับไปยังประเทศจีน ซึ่งมีทั้งผู้หญิงและเด็กรวมอยู่ด้วย แม้ว่าบุคคลเหล่านั้นไม่ต้องการเดินทางกลับจีนก็ตาม ในแถลงการณ์ของยูเอ็นเอชซีอาร์ ระบุด้วยว่า ในกรณีดังกล่าวทางยูเอ็นเอชซีอาร์ได้ติดตามเหตุการณ์มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และได้เข้าพูดคุยกับผู้แทนรัฐบาลไทย เพื่อขอให้ไทยยืนยันว่าจะจัดการกับปัญหานี้ตามหลักกฎหมายสากล และผู้ลี้ภัยจะยังได้รับการคุ้มครอง
โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยได้ส่งชาวอุยกูร์ไปประเทศที่ 3 แล้วกว่า 172 คน แต่ต่อมา ทางไทยกลับส่งผู้ลี้ภัยอีกกลุ่มหนึ่งไปยังประเทศจีน ถือเป็นการละเมิดกฎหมายสากล จึงขอให้เจ้าหน้าที่ไทยทำการสืบสวน และเคารพหลักการพื้นฐานในการให้การช่วยเหลือ และเคารพความต้องการของบุคคลเหล่านั้น
เวลา 11.00 น. กระทรวงการต่างประเทศ ได้จัดประชุมเป็นการภายในเพื่อหารือต่อกรณีการดำเนินนโยบายต่อกลุ่มผู้ลักลอบเข้าเมืองชาวอูยกูร์ในประเทศไทย ซึ่งในการประชุมดังกล่าว ได้สอบถามข้อมูลรายละเอียดของสถานการณ์ล่าสุดจากทางสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุง อังการา ประเทศตุรกี เพื่อหารือถึงการออกมาตรการดูแลคนไทยในตุรกี และคนไทยที่จะเดินทางท่องเที่ยวที่ตุรกี ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่พอใจของคนท้องถิ่นในขณะนี้ นอกจากนี้ การประชุมดังกล่าว เพื่อเตรียมท่าทีชี้แจงต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอชซีอาร์ ซึ่งได้สอบถามมายังกระทรวงการต่างประเทศ ถึงการดำเนินงานของทางการไทยต่อชาวอุยกูร์ ตามหลักการพื้นฐานสากล
นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันผ่านบีบีซีประเทศไทย ว่า ขณะนี้ไม่มีคนไทยได้รับบาดเจ็บหรือได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยกระทรวงการต่างประเทศจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและจะรายงานให้ทราบต่อไป
เวลา 11.00 น. พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การส่งผู้อพยพมุสลิมอุยกูร์ในไทยไปจีนนั้น ไทยดำเนินการตามขั้นตอนและกติกาที่ต้องมีการพิสูจน์สัญชาติ ซึ่งพบว่ามีชาวอุยกูร์ที่มีสัญชาติเป็นตุรกี 172 คน จึงส่งกลับตุรกี ส่วนอีกประมาณ 90 คน พบว่ามีสัญชาติจีน จึงต้องส่งกลับจีนภายใต้ข้อตกลงว่าจะดูแลเรื่องความปลอดภัยและเป็นไปตามหลักมนุษยธรรม อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวอุยกูร์ที่รอการพิสูจน์สัญชาติตกค้างอยู่ในไทยอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งตนยอมรับว่า เรื่องดังกล่าวอาจทำให้ไทยถูกกดดันจากชาวอุยกูร์ได้
เวลา 13.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวยืนยันว่าประเทศไทยไม่ใช่คู่ขัดแย้งของใคร และขอให้เห็นใจประเทศไทย ซึ่งอยู่ตรงกลาง โดยดำเนินการตามกระบวนการพิสูจน์สัญชาติและตามหลักฐาน โดยดำเนินการส่งตัวกลับประเทศต้นทางตามพันธสัญญาทางกฎหมายซึ่งทางจีนได้รับรองด้านความปลอดภัยและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย