ASTVผู้จัดการรายวัน - ศูนย์ปรองดองฯ เรียกถกสื่อสายความมั่นคง ผอ.ศปป.วอนงดเสนอข่าวสร้างผลกระทบ ให้บอกข้อมูลมีที่มาที่ไป เดินหน้าโรดแมป 4 ระยะ เล็งเชิญแกนนำทำสัญญาประชาคมออกทีวี ยอมรับผลเลือกตั้ง เผยรายการเดินหน้าปฏิรูป เชิญอดีตนายกฯ แจง"ยิ่งลักษณ์"ไม่พร้อมออกทีวี ปัดเชิญ กปปส. - นปช.-คนที่บวช-คนอยู่ตปท. เผยต้องระวังใช้เป็นเวทีแก้ตัว โพลล์จุฬาฯ ชี้ รากหญ้านิยมรัฐบาล คสช. เชื่อ"ทีวีดาวเทียม" มากกว่า"ฟรีทีวี"
เมื่อเวลา 10.30 น. วานนี้ (14ก.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร ผู้อำนวยศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) เป็นประธานในการพูดคุยกับสื่อมวลชนสายทหาร เพื่อชี้แจงแนวทางการทำงานของศปป. ว่า ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้มาชี้แจงงานของ ศปป. ซึ่งเป็นสายงานที่เกี่ยวข้องกับ คสช. หากคสช.หมดหน้าที่ ศปป. ก็จะจบเช่นกัน
ส่วนเรื่องการปรองดองสมานฉันท์ในปี 2559 นั้น ถูกบรรจุอยู่ในส่วนที่ 4 ของร่างรัฐธรรมนูญ โดยกระทรวงมหาดไทย จะเป็นแม่งานดำเนินการงบประมาณในส่วนการปรองดองสมานฉันท์ ปี 59 ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และจะอาศัยงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่มีคนอยู่แล้ว ดังนั้นต่อไปการปรองดองสมานฉันท์ในปี 2559 จะไปอยู่ในส่วนของ กอ.รมน. ก็เป็นได้
พล.อ.พิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ศปป. มี 6 แผน และ 9 โครงการ ซึ่งส่วนที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนโดยตรงคือ ในเรื่องของความขัดแย้ง ซึ่งสื่อมวลชน เป็นหัวใจหลักในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เพราะเป็นผู้ที่นำข่าวสารไปสู่ประชาชนส่วนล่าง และนำข้อมูลส่วนล่างมาสู่ข้างบน และการที่ ศปป. เชิญสื่อมมาพูดคุยครั้งนี้ อย่ามองว่าเป็นการเทรนนิ่ง หรือ การฝึก แต่ให้ถือเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารมากกว่า
ทั้งนี้ ศปป. อยากขอในเรื่องการนำเสนอข่าวให้มีที่มาที่ไป ว่าข่าวมาจากไหน ใครเป็นผู้พูด นอกจากนี้ในส่วนของข่าวที่เสนอไปแล้ว จะเกิดผลกระทบจนก่อให้เกิดความเสียหาย ก็อยากจะให้หลีกเลี่ยง เช่น กรณีที่ ศปป. มีการเชิญบุคคลเข้ามาร่วมเวทีเดินหน้าปฏิรูป ยืนยันว่าไม่ใช่เวทีการดีเบต ตนไม่ต้องการเอาคนมาเถียงกัน เพราะจะไม่มีวันจบ แต่ ศปป. จะเชิญบุคคล 3 กลุ่มเท่านั้น คือ 1. อดีตรัฐมนตรี 2. ประธานสปช. ทั้ง 11 ด้าน และ 3. นักวิชาการที่ไม่ใช่รัฐบาล โดยไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง และ ในส่วนของกลุ่มต่างๆ เช่น กกปส. และ นปช. ก็จะไม่เชิญ รวมถึงอดีตรัฐมนตรี ที่มีคดีติดตัว เรื่องนี้ตนระวังมาก เพราะกลัวเชิญมาแล้วจะใช้เวทีนี้ในการแก้ตัว เพราะศปป. ต้องการความคิด และประสบการณ์ในด้านต่างๆ ของคนทั้ง 3 กลุ่มนี้ และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ว่าใครพูดถูกหรือพูดผิด
" ศปป. จะเชิญอดีตนายกรัฐมนตรีทุกยุค ซึ่งล่าสุดได้ติดต่อนายอานันท์ ปันยารชุน แต่ท่านไม่ว่าง ส่วนพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี หากเชิญมาคงให้ออกรายการเดี่ยว เพราะท่านเป็นผู้อาวุโสมาก ส่วนการเชิญอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่น เช่น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นั้นผมก็คงต้องดูเรื่องก่อนว่าเหมาะสมกับใคร”
อย่างกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผมจะประสานก่อนโดยดูว่าเขาพร้อมหรือไม่ เพราะไม่ได้เชิญมาฉีกหน้า หรือประจาน แต่อยากได้ประสบการณ์ของท่าน ซึ่งต้องดูว่า ท่านอยากพูดเรื่องอะไร จะเปิดกว้างให้ ซึ่งสิ่งที่ ศปป. อยากได้จากคุณยิ่งลักษณ์ คือ เรื่องการบริหารราชการแผ่นดินในภาพกว้าง ซึ่งทาง สปป. จะประสานไปก่อน ก็เพื่อดูว่าท่านพร้อมหรือไม่ ไม่ใช่เป็นข่าวออกมาว่า ท่านไม่มา แล้วไปบอกว่า ท่านขี้ขลาด ผมจึงต้องประสานให้เรียบร้อยก่อน โดยผ่านเลขาฯของท่าน คือคุณภูมิธรรม เวชยชัย พอดีท่านยังไม่พร้อม
นอกจากนี้ ยังมีในส่วนคุณจาตุรนต์ ฉายแสง และคุณพงศ์เทพ เทพกาญจนา ก็เช่นกัน ทางศปป. จะแจ้งหัวข้อไป ทางคุณภูมิธรรม จะเป็นคนบอกว่า ควรเป็นท่านไหน เมื่อได้รับคำตอบ ทาง ศปป. ก็จะทำหนังสือเชิญเหมือน คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผมก็ประสานผ่าน เลขาฯ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม รายการเดินหน้าปฏิรูป วันที่ 20 ก.ค.นี้ จะเป็นหัวข้อเรื่อง ปฏิรูปกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม โดยเชิญ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายบรรเจิด สิงคะเนติ และวันที่ 27 ก.ค. ได้วางไว้ว่า จะพูดเรื่องการทุจริต คอรัปชั่น" พล.อ.พิสิทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ ต้องเชิญพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาพูดคุยด้วยหรือไม่ พล.อ.พิสิทธิ์ กล่าวว่าอยากให้สื่อแยกแยะ เพราะการเขียนแผนของศูนย์ปรองดองฯไม่ได้ดูเรื่องตัวบุคคล และจะไม่ยุ่งเรื่องอดีต เป็นเรื่องปัจจุบัน ตนมองว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดี ซึ่งศูนย์ปรองดอง จะไม่ยุ่งกับคดีที่มีการพิพากษาไปแล้ว แม้กระทั่งการเชิญใคร ตนยังระวัง ซึ่งอดีตรัฐมนตรี หรือใครที่ยังมีคดีอยู่ จะพยายามไม่เชิญ เพราะเหมือนเป็นการมาออกรายการและแก้ตัวต่อสื่อ ตนจะระวังในเรื่องนี้มาก
พล.อ.พิสิทธิ์ กล่าวว่า ทางศปป. จะทำงานในเรื่องการรับทราบข้อมูลจากประชาชนเพื่อนำไปสู่เวทีการปฏิรูปตลอดจนความเดือดร้อนของประชาชน แต่ ศปป.ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ เป็นเพียงผู้ประสานงาน โดยนำความเดือดร้อนของประชาชนไปสู่การแก้ไขปัญหา ถึงแม้ว่าร่าง รธน. จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ศปป. จะยังไม่หยุดการทำงาน ทั้งนี้ข้อร้องทุกข์ต่างๆ ของประชาชนทั้งหมด ยืนยันว่า ถึงมือนายกรัฐมนตรีทุกคน และเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้นำเรื่องการประเมินผลวิทยาลัยประชากรศาสตร์ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่อยู่ในแผนงานของปรองดองไปให้กับ นายกรัฐมนตรี ในหัวข้อที่ 5 จากการประเมินผลใน 6 เดือน พร้อมแจกจ่าย ครม.ทั้งหมด โดยมีหนึ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน เพราะจากผลการสำรวจพบว่า ประชาชนที่ติดตามข่าวสารผ่านทางสื่อทีวี เชื่อถือข้อมูลจากสื่อดาวเทียมมากกว่า ฟรีทีวี ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร อาจจะเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคลก็อาจจะเป็นไปได้ ซึ่งตนติดใจตรงนี้มากว่า ทำไมประชาชนไม่เชื่อสื่อฟรีทีวี
พล.อ.พิสิทธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีการประเมินต่าง ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ก่อนที่ คสช. จะเข้ามา หรือขณะที่มี คสช. และหากไม่มี คสช. มีจัดการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ซึ่งมีอยู่ครบทุกเรื่องในการประเมินผลของวิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาฯ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้
นอกจากนี้เรามีการประเมินตัวเองเช่นกัน จะได้รู้ว่ารัฐบาลทำงานเป็นอย่างไร ซึ่งคะแนนของรัฐบาลดีมาก ทั้งก่อนที่จะมีคสช. และ ระหว่างที่มีคสช. นั้นหมายความว่า ประชาชนระดับล่างเชื่อถือการทำงานของรัฐบาล ภายหลังจากที่ ศปป. ลงไปในพื้นที่ เราไม่ได้ไปโฆษณาชวนเชื่อ เพียงแต่เอาผลงานของรัฐบาลไปชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบ
ทั้งนี้ จากผลการประเมิน มีความเป็นห่วงว่า ในอนาคตหากกลับไปสู่การเลือกตั้งแล้ว และถ้าไม่มี คสช. สถานการณ์จะกลับไปสู่เหมือนเดิม
พล.อ.พิสิทธิ์ กล่าวว่า ในเรื่องของวิทยุชุมชน จากการลงพื้นที่ อ.เขมราช จ.อุบลราชธานี เพื่อไปร่วมงานการสัมมนาการประชุมเรื่องวิทยุชุมชน ทั้งนี้ วิทยุชุมชนมีอยู่ 3 ประเภท 1. ธุรกิจ 2. สวัสดิการ และ 3. สาธารณะ แต่วิทยุชุมชนปัจจุบัน 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นธุรกิจ หากไปดูความหมายของคำว่า วิทยุชุมชน คือหอกระจายข่าวที่เป็นสาธารณะโดยไม่คำนึงถึงธุรกิจ ซึ่งก่อนหน้านี้ในประเทศไทยมีวิทยุชุมชนมีอยู่ประมาณ 5 หมื่นคลื่น ปัจจุบันเหลือเพียง 1 หมื่นกว่า ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่า วิทยุชุมชนในประเทศไทยควรจะมีแค่หลักพันเท่านั้น เพราะจะมีปัญหาในเรื่องความถี่ไปซ้อนกัน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาในผู้จัดวิทยุชุมชน ที่ไม่รู้วิธีการนำเสนอข่าว ตลอดจนวิธีการหาข่าว
พล.อ.พิสิทธิ์ กล่าวว่า ในปัจจุบัน ศปป. ทำงานเกี่ยวพันหลายเรื่อง ซึ่งเป็นนโยบายที่ชัดเจน จะไม่ยุ่งการเมือง การเปิดเวทีก็จะไม่เชิญนักการเมือง หรือแกนนำ เราต้องการแค่ความคิดเห็นจากประชาชนผู้บริสุทธิ์จริงๆ เพื่อจะนำไปสู่การปฏิรูป แต่ในช่วงหลัง 6 เดือนที่ผ่านมา มีการเรียกร้องจากนักการเมือง วิชาการ เนื่องจากไม่มีเวทีแสดงความคิดเห็นเนื่องจากติดข้อห้ามต่างๆ ทาง ศปป. จึงได้เปิดเวทีให้ 2 ครั้ง ที่สโมสรทหารบก- วิภาวดี ให้ได้มาพูดคุยกัน ก่อนจะสรุปนำเสนอให้หัวหน้า คสช. หลังจากนั้นก็มีเสียงสะท้อนกลับมาว่า เชิญคนมาเยอะเกินไป ทำให้การแสดงความคิดไม่ทั่วถึง จึงทำให้ ศปป. ตัดสินใจเชิญเป็นรายบุคคล เช่น นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายนพดล ปัทมะ และ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อย่างกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกรายการเดินหน้าปฏิรูป กับประธาน สปช. ในการหัวข้อการบริหารราชการแผ่นดิน และแผนยุทธศาสตร์ชาติ ที่จะต้องถูกบรรจุอยู่ใน ร่าง รธน. หากใครมาเป็นรัฐบาล ก็จะต้องปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติ
พล.อ.พิสิษฐ์ กล่าวว่า ศปป. มีโรดแมป 4 ข้อคือ 1. การแยกกันคุย โดยมอบหมายให้ พล.ท.บุญธรรม โอริส รอง ผอ.ศปป. ไปพูดคุยกับคนทุกกลุ่ม ยกเว้นคนที่อยู่ต่างประเทศ กับคนที่บวชอยู่ ที่ไม่ได้คุย 2. การสัมมนาทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกัน ระยะที่ 3 เป็นการเชื่อมความสามัคคี ให้มีกิจกรรมร่วมกัน โดยจะมีการเตะฟุตบอลของทั้งสองฝ่าย ซึ่งก็ตอบรับแล้ว ระยะที่ 4 การนำแกนนำสองกลุ่มเดินทางออกต่างจังหวัด ไปเป็นวิทยากรพูดในเรื่องต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่า คนสองสี เลิกโกรธกันแล้ว
อย่างไรก็ตาม ตนกำลังพิจาณาเพิ่มเติม ข้อที่ 5 การให้ลงสัตยาบัน โดยการออกทีวี ยืนยันกับประชาชนเหมือนเป็นสัญญาประชาคมในการยอมรับการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ ยอมรับว่า เรื่องการสร้างความปรองดอง ไม่มีทางจะสำเร็จ100 เปอร์เซ็นต์ เพราะคนเคยทะเลาะกันมานาน จะให้กลับมาเหมือนเดิม คงเป็นไปได้ยาก และอีกส่วนที่เลิกไม่ได้ คือ ม็อบ เพราะถือว่าเป็นอาชีพไปแล้ว เพียงแต่ขณะนี้เราต้องการสร้างสภาวะแวดล้อมให้เกื้อกูลให้รัฐบาลและ คสช.ได้ทำงาน ก็ไปบอกเขาว่าให้หยุดก่อน ทั้งนี้ตนไม่ห่วงม็อบในต่างจังหวัด แต่อย่าเข้ามาใน กทม. เพราะจะเกิดปัญหามากมาย และยืนยันว่า ศปป. ได้พูดคุยกับแกนนำระดับหัวหมดแล้ว ว่าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว ให้รัฐบาลทำงานก่อน
เมื่อเวลา 10.30 น. วานนี้ (14ก.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร ผู้อำนวยศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) เป็นประธานในการพูดคุยกับสื่อมวลชนสายทหาร เพื่อชี้แจงแนวทางการทำงานของศปป. ว่า ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้มาชี้แจงงานของ ศปป. ซึ่งเป็นสายงานที่เกี่ยวข้องกับ คสช. หากคสช.หมดหน้าที่ ศปป. ก็จะจบเช่นกัน
ส่วนเรื่องการปรองดองสมานฉันท์ในปี 2559 นั้น ถูกบรรจุอยู่ในส่วนที่ 4 ของร่างรัฐธรรมนูญ โดยกระทรวงมหาดไทย จะเป็นแม่งานดำเนินการงบประมาณในส่วนการปรองดองสมานฉันท์ ปี 59 ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และจะอาศัยงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่มีคนอยู่แล้ว ดังนั้นต่อไปการปรองดองสมานฉันท์ในปี 2559 จะไปอยู่ในส่วนของ กอ.รมน. ก็เป็นได้
พล.อ.พิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ศปป. มี 6 แผน และ 9 โครงการ ซึ่งส่วนที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนโดยตรงคือ ในเรื่องของความขัดแย้ง ซึ่งสื่อมวลชน เป็นหัวใจหลักในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เพราะเป็นผู้ที่นำข่าวสารไปสู่ประชาชนส่วนล่าง และนำข้อมูลส่วนล่างมาสู่ข้างบน และการที่ ศปป. เชิญสื่อมมาพูดคุยครั้งนี้ อย่ามองว่าเป็นการเทรนนิ่ง หรือ การฝึก แต่ให้ถือเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารมากกว่า
ทั้งนี้ ศปป. อยากขอในเรื่องการนำเสนอข่าวให้มีที่มาที่ไป ว่าข่าวมาจากไหน ใครเป็นผู้พูด นอกจากนี้ในส่วนของข่าวที่เสนอไปแล้ว จะเกิดผลกระทบจนก่อให้เกิดความเสียหาย ก็อยากจะให้หลีกเลี่ยง เช่น กรณีที่ ศปป. มีการเชิญบุคคลเข้ามาร่วมเวทีเดินหน้าปฏิรูป ยืนยันว่าไม่ใช่เวทีการดีเบต ตนไม่ต้องการเอาคนมาเถียงกัน เพราะจะไม่มีวันจบ แต่ ศปป. จะเชิญบุคคล 3 กลุ่มเท่านั้น คือ 1. อดีตรัฐมนตรี 2. ประธานสปช. ทั้ง 11 ด้าน และ 3. นักวิชาการที่ไม่ใช่รัฐบาล โดยไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง และ ในส่วนของกลุ่มต่างๆ เช่น กกปส. และ นปช. ก็จะไม่เชิญ รวมถึงอดีตรัฐมนตรี ที่มีคดีติดตัว เรื่องนี้ตนระวังมาก เพราะกลัวเชิญมาแล้วจะใช้เวทีนี้ในการแก้ตัว เพราะศปป. ต้องการความคิด และประสบการณ์ในด้านต่างๆ ของคนทั้ง 3 กลุ่มนี้ และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ว่าใครพูดถูกหรือพูดผิด
" ศปป. จะเชิญอดีตนายกรัฐมนตรีทุกยุค ซึ่งล่าสุดได้ติดต่อนายอานันท์ ปันยารชุน แต่ท่านไม่ว่าง ส่วนพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี หากเชิญมาคงให้ออกรายการเดี่ยว เพราะท่านเป็นผู้อาวุโสมาก ส่วนการเชิญอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่น เช่น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นั้นผมก็คงต้องดูเรื่องก่อนว่าเหมาะสมกับใคร”
อย่างกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผมจะประสานก่อนโดยดูว่าเขาพร้อมหรือไม่ เพราะไม่ได้เชิญมาฉีกหน้า หรือประจาน แต่อยากได้ประสบการณ์ของท่าน ซึ่งต้องดูว่า ท่านอยากพูดเรื่องอะไร จะเปิดกว้างให้ ซึ่งสิ่งที่ ศปป. อยากได้จากคุณยิ่งลักษณ์ คือ เรื่องการบริหารราชการแผ่นดินในภาพกว้าง ซึ่งทาง สปป. จะประสานไปก่อน ก็เพื่อดูว่าท่านพร้อมหรือไม่ ไม่ใช่เป็นข่าวออกมาว่า ท่านไม่มา แล้วไปบอกว่า ท่านขี้ขลาด ผมจึงต้องประสานให้เรียบร้อยก่อน โดยผ่านเลขาฯของท่าน คือคุณภูมิธรรม เวชยชัย พอดีท่านยังไม่พร้อม
นอกจากนี้ ยังมีในส่วนคุณจาตุรนต์ ฉายแสง และคุณพงศ์เทพ เทพกาญจนา ก็เช่นกัน ทางศปป. จะแจ้งหัวข้อไป ทางคุณภูมิธรรม จะเป็นคนบอกว่า ควรเป็นท่านไหน เมื่อได้รับคำตอบ ทาง ศปป. ก็จะทำหนังสือเชิญเหมือน คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผมก็ประสานผ่าน เลขาฯ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม รายการเดินหน้าปฏิรูป วันที่ 20 ก.ค.นี้ จะเป็นหัวข้อเรื่อง ปฏิรูปกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม โดยเชิญ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายบรรเจิด สิงคะเนติ และวันที่ 27 ก.ค. ได้วางไว้ว่า จะพูดเรื่องการทุจริต คอรัปชั่น" พล.อ.พิสิทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ ต้องเชิญพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาพูดคุยด้วยหรือไม่ พล.อ.พิสิทธิ์ กล่าวว่าอยากให้สื่อแยกแยะ เพราะการเขียนแผนของศูนย์ปรองดองฯไม่ได้ดูเรื่องตัวบุคคล และจะไม่ยุ่งเรื่องอดีต เป็นเรื่องปัจจุบัน ตนมองว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดี ซึ่งศูนย์ปรองดอง จะไม่ยุ่งกับคดีที่มีการพิพากษาไปแล้ว แม้กระทั่งการเชิญใคร ตนยังระวัง ซึ่งอดีตรัฐมนตรี หรือใครที่ยังมีคดีอยู่ จะพยายามไม่เชิญ เพราะเหมือนเป็นการมาออกรายการและแก้ตัวต่อสื่อ ตนจะระวังในเรื่องนี้มาก
พล.อ.พิสิทธิ์ กล่าวว่า ทางศปป. จะทำงานในเรื่องการรับทราบข้อมูลจากประชาชนเพื่อนำไปสู่เวทีการปฏิรูปตลอดจนความเดือดร้อนของประชาชน แต่ ศปป.ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ เป็นเพียงผู้ประสานงาน โดยนำความเดือดร้อนของประชาชนไปสู่การแก้ไขปัญหา ถึงแม้ว่าร่าง รธน. จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ศปป. จะยังไม่หยุดการทำงาน ทั้งนี้ข้อร้องทุกข์ต่างๆ ของประชาชนทั้งหมด ยืนยันว่า ถึงมือนายกรัฐมนตรีทุกคน และเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้นำเรื่องการประเมินผลวิทยาลัยประชากรศาสตร์ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่อยู่ในแผนงานของปรองดองไปให้กับ นายกรัฐมนตรี ในหัวข้อที่ 5 จากการประเมินผลใน 6 เดือน พร้อมแจกจ่าย ครม.ทั้งหมด โดยมีหนึ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน เพราะจากผลการสำรวจพบว่า ประชาชนที่ติดตามข่าวสารผ่านทางสื่อทีวี เชื่อถือข้อมูลจากสื่อดาวเทียมมากกว่า ฟรีทีวี ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร อาจจะเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคลก็อาจจะเป็นไปได้ ซึ่งตนติดใจตรงนี้มากว่า ทำไมประชาชนไม่เชื่อสื่อฟรีทีวี
พล.อ.พิสิทธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีการประเมินต่าง ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ก่อนที่ คสช. จะเข้ามา หรือขณะที่มี คสช. และหากไม่มี คสช. มีจัดการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ซึ่งมีอยู่ครบทุกเรื่องในการประเมินผลของวิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาฯ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้
นอกจากนี้เรามีการประเมินตัวเองเช่นกัน จะได้รู้ว่ารัฐบาลทำงานเป็นอย่างไร ซึ่งคะแนนของรัฐบาลดีมาก ทั้งก่อนที่จะมีคสช. และ ระหว่างที่มีคสช. นั้นหมายความว่า ประชาชนระดับล่างเชื่อถือการทำงานของรัฐบาล ภายหลังจากที่ ศปป. ลงไปในพื้นที่ เราไม่ได้ไปโฆษณาชวนเชื่อ เพียงแต่เอาผลงานของรัฐบาลไปชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบ
ทั้งนี้ จากผลการประเมิน มีความเป็นห่วงว่า ในอนาคตหากกลับไปสู่การเลือกตั้งแล้ว และถ้าไม่มี คสช. สถานการณ์จะกลับไปสู่เหมือนเดิม
พล.อ.พิสิทธิ์ กล่าวว่า ในเรื่องของวิทยุชุมชน จากการลงพื้นที่ อ.เขมราช จ.อุบลราชธานี เพื่อไปร่วมงานการสัมมนาการประชุมเรื่องวิทยุชุมชน ทั้งนี้ วิทยุชุมชนมีอยู่ 3 ประเภท 1. ธุรกิจ 2. สวัสดิการ และ 3. สาธารณะ แต่วิทยุชุมชนปัจจุบัน 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นธุรกิจ หากไปดูความหมายของคำว่า วิทยุชุมชน คือหอกระจายข่าวที่เป็นสาธารณะโดยไม่คำนึงถึงธุรกิจ ซึ่งก่อนหน้านี้ในประเทศไทยมีวิทยุชุมชนมีอยู่ประมาณ 5 หมื่นคลื่น ปัจจุบันเหลือเพียง 1 หมื่นกว่า ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่า วิทยุชุมชนในประเทศไทยควรจะมีแค่หลักพันเท่านั้น เพราะจะมีปัญหาในเรื่องความถี่ไปซ้อนกัน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาในผู้จัดวิทยุชุมชน ที่ไม่รู้วิธีการนำเสนอข่าว ตลอดจนวิธีการหาข่าว
พล.อ.พิสิทธิ์ กล่าวว่า ในปัจจุบัน ศปป. ทำงานเกี่ยวพันหลายเรื่อง ซึ่งเป็นนโยบายที่ชัดเจน จะไม่ยุ่งการเมือง การเปิดเวทีก็จะไม่เชิญนักการเมือง หรือแกนนำ เราต้องการแค่ความคิดเห็นจากประชาชนผู้บริสุทธิ์จริงๆ เพื่อจะนำไปสู่การปฏิรูป แต่ในช่วงหลัง 6 เดือนที่ผ่านมา มีการเรียกร้องจากนักการเมือง วิชาการ เนื่องจากไม่มีเวทีแสดงความคิดเห็นเนื่องจากติดข้อห้ามต่างๆ ทาง ศปป. จึงได้เปิดเวทีให้ 2 ครั้ง ที่สโมสรทหารบก- วิภาวดี ให้ได้มาพูดคุยกัน ก่อนจะสรุปนำเสนอให้หัวหน้า คสช. หลังจากนั้นก็มีเสียงสะท้อนกลับมาว่า เชิญคนมาเยอะเกินไป ทำให้การแสดงความคิดไม่ทั่วถึง จึงทำให้ ศปป. ตัดสินใจเชิญเป็นรายบุคคล เช่น นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายนพดล ปัทมะ และ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อย่างกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกรายการเดินหน้าปฏิรูป กับประธาน สปช. ในการหัวข้อการบริหารราชการแผ่นดิน และแผนยุทธศาสตร์ชาติ ที่จะต้องถูกบรรจุอยู่ใน ร่าง รธน. หากใครมาเป็นรัฐบาล ก็จะต้องปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติ
พล.อ.พิสิษฐ์ กล่าวว่า ศปป. มีโรดแมป 4 ข้อคือ 1. การแยกกันคุย โดยมอบหมายให้ พล.ท.บุญธรรม โอริส รอง ผอ.ศปป. ไปพูดคุยกับคนทุกกลุ่ม ยกเว้นคนที่อยู่ต่างประเทศ กับคนที่บวชอยู่ ที่ไม่ได้คุย 2. การสัมมนาทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกัน ระยะที่ 3 เป็นการเชื่อมความสามัคคี ให้มีกิจกรรมร่วมกัน โดยจะมีการเตะฟุตบอลของทั้งสองฝ่าย ซึ่งก็ตอบรับแล้ว ระยะที่ 4 การนำแกนนำสองกลุ่มเดินทางออกต่างจังหวัด ไปเป็นวิทยากรพูดในเรื่องต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่า คนสองสี เลิกโกรธกันแล้ว
อย่างไรก็ตาม ตนกำลังพิจาณาเพิ่มเติม ข้อที่ 5 การให้ลงสัตยาบัน โดยการออกทีวี ยืนยันกับประชาชนเหมือนเป็นสัญญาประชาคมในการยอมรับการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ ยอมรับว่า เรื่องการสร้างความปรองดอง ไม่มีทางจะสำเร็จ100 เปอร์เซ็นต์ เพราะคนเคยทะเลาะกันมานาน จะให้กลับมาเหมือนเดิม คงเป็นไปได้ยาก และอีกส่วนที่เลิกไม่ได้ คือ ม็อบ เพราะถือว่าเป็นอาชีพไปแล้ว เพียงแต่ขณะนี้เราต้องการสร้างสภาวะแวดล้อมให้เกื้อกูลให้รัฐบาลและ คสช.ได้ทำงาน ก็ไปบอกเขาว่าให้หยุดก่อน ทั้งนี้ตนไม่ห่วงม็อบในต่างจังหวัด แต่อย่าเข้ามาใน กทม. เพราะจะเกิดปัญหามากมาย และยืนยันว่า ศปป. ได้พูดคุยกับแกนนำระดับหัวหมดแล้ว ว่าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว ให้รัฐบาลทำงานก่อน