วานนี้ (1 ก.ค.) สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญร่วมกับมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ จัดสัมมนาทางวิชาการเรื่องศาลรัฐธรรมนูญกับการปฏิรูปการเมืองไทย โดย ศ.จอร์จ แมนเซล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญจากเยอรมนี กล่าวตอนหนึ่งว่า ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามามีบทบาทกับการเลือกตั้งเยอรมัน ในการให้แก้กฎหมายการเลือกตั้ง ซึ่งรัฐธรรมนูญเยอรมันสั้นมาก ถ้าเทียบกับรัฐธรรมนูญของไทย หรือประมาณ 146 มาตรา เพราะรายละเอียดจะตราในกฎหมายสหพันธ์รัฐ รัฐธรรมนูญเยอรมันแต่ละมาตราเนื้อหาสั้นในตัวมันเองเมื่อเทียบกับไทย ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงจำเป็นต้องขยายความโดยฝ่ายนิติบัญญัติ และศาลรัฐธรรมนูญ
สำหรับบทบาทศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมัน มีความสำคัญมากเพราะเกี่ยวข้องกับความสั้นของรัฐธรรมนูญ จึงวางบทบาทตนเองได้อย่างเข้มแข้งในการปกป้องรัฐธรรมนูญ ช่วงแรกมีผลงานดีมาก ทำให้เป็นที่นิยมของประชาชนถูกไว้วางใจมากกว่าสภา และรัฐบาล บางครั้งมีคำวินิจฉัยในประเด็นโต้แย้ง ทำให้นักการเมืองหรือรัฐบาลไม่พอใจ แต่ก็ต้องปฏิบัติตาม และไม่สามารถวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญ อาจวิจารณ์คำวินิจฉัยได้เล็กน้อยเท่านั้น และศาลรัฐธรรมนูญมีความเป็นกลางทางการเมืองได้รับคัดเลือกจาก 2 สภาของเยอรมัน
ส่วนบทบาทพรรคการเมืองในเยอรมัน พรรคการเมืองจะถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเฉพาะพรรคที่ทำลายความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ล้มล้างประชาธิปไตย การกระทำผิดเล็กน้อย เช่น พรรคการเมืองใดไม่รายงานผลการดำเนินการประจำปี รายงานการเงินผิด จะไม่ถูกยุบ หรือถ้าสมาชิกคนใดคนหนึ่ง กระทำผิดกฎหมาย นักการเมืองจะถูกลงโทษเฉพาะบุคคลที่ทำผิดเท่านั้น พรรคจะไม่ถูกยุบ ขณะเดียวกันพรรคต้องบริหารงานแบบประชาธิปไตย เช่น บัญชีรายชื่อ ต้องมีการเลือกตั้งมาด้วย ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษ
ด้านนายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาตร์ (นิด้า) และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญแบบเยอรมันมีหน้าที่หลัก คุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมาย คุ้มครองเสียงข้างน้อยในสภา พิทักษ์หลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะหลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตย เป็นการปฏิรูประบบรัฐสภาสมัยใหม่ ส่วนศาลรัฐธรรมนูญไทยไม่เหมือนเยอรมัน
ฐานการนำเข้ามาใช้ไม่เหมือนเยอรมันที่ต้องการนำมาถ่วงดุล แต่ศาลรัฐธรรมนูญของไทย เกิดจากการไม่ยอมรับในการทำหน้าที่ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญช่วงก่อนมี รัฐธรรมนูญ ปี 40 เมื่อมีศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญปี 40 การวินิจฉัยก็ยังมีปัญหาส่วนสำคัญมาจากอิทธิพลและการแทรกแซงทางการเมือง มีการล็อกตัวจากกรรมการสรรหา เป็นปัญหาระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเยอรมันไม่มี ทำให้ศรัทธาตก
ส่วนรัฐธรรมนูญปี 50 ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่เข้มแข็งขึ้นในการถ่วงดุลกับรัฐสภา ส่วนศาลรัฐธรรมนูญในรัฐธรรมนูญปี 58 ที่กำลังยกร่างฯ จะเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการสรรหา มีความความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งคิดว่าประสบการณ์ศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา แม้ช่วงแรกมีปัญหาเรื่องความเป็นอิสระ เพราะไม่ใช่เรื่องโครงสร้างอย่างเดียว แต่เชื่อมโยงระบบวัฒนธรรม ระบบอุปถัมภ์ ประเด็นสำคัญ ต้องมีหลักการที่แน่นอน มีความเป็นกลางจะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีความมั่นคง ของเยอรมันให้ประชาชนร้องทุกข์ศาลรัฐธรรมนูญได้ มีคนถามว่า ประเทศไทยควรนำมาใช้หรือไม่ เห็นว่า ประเทศไทยยังไม่เหมาะสม เพราะยังไม่มั่นคงเข้มแข็งและอาจจะทำลายระบบของ 2 ศาลได้ ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญต้องพิสูจน์การสร้างดุลยภาพทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ตราบที่ระบบการเมืองภายใต้ระบบรัฐสภาของไทยยังไม่เข้มแข็งเกิดความขัดแย้งระหว่างการนำ "หลัประชาธิปไตย" กับ "หลักนิติรัฐ" มาใช้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เห็นว่าการดำรงอยู่ของศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อสร้างดุลยภาพในอำนาจไม่ให้เกิดความเปลี่ยนที่เกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญ อีกด้านหนึ่งเพื่อแก้ไขปัญหาของ "ระบบรัฐสภา" ที่มีลักษณะเป็นอำนาจเดี่ยว ซึ่งคิดว่านี่คือ ภารกิจสำคัญของศาลรัฐธรรมนูญในยุคใหม่
สำหรับบทบาทศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมัน มีความสำคัญมากเพราะเกี่ยวข้องกับความสั้นของรัฐธรรมนูญ จึงวางบทบาทตนเองได้อย่างเข้มแข้งในการปกป้องรัฐธรรมนูญ ช่วงแรกมีผลงานดีมาก ทำให้เป็นที่นิยมของประชาชนถูกไว้วางใจมากกว่าสภา และรัฐบาล บางครั้งมีคำวินิจฉัยในประเด็นโต้แย้ง ทำให้นักการเมืองหรือรัฐบาลไม่พอใจ แต่ก็ต้องปฏิบัติตาม และไม่สามารถวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญ อาจวิจารณ์คำวินิจฉัยได้เล็กน้อยเท่านั้น และศาลรัฐธรรมนูญมีความเป็นกลางทางการเมืองได้รับคัดเลือกจาก 2 สภาของเยอรมัน
ส่วนบทบาทพรรคการเมืองในเยอรมัน พรรคการเมืองจะถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเฉพาะพรรคที่ทำลายความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ล้มล้างประชาธิปไตย การกระทำผิดเล็กน้อย เช่น พรรคการเมืองใดไม่รายงานผลการดำเนินการประจำปี รายงานการเงินผิด จะไม่ถูกยุบ หรือถ้าสมาชิกคนใดคนหนึ่ง กระทำผิดกฎหมาย นักการเมืองจะถูกลงโทษเฉพาะบุคคลที่ทำผิดเท่านั้น พรรคจะไม่ถูกยุบ ขณะเดียวกันพรรคต้องบริหารงานแบบประชาธิปไตย เช่น บัญชีรายชื่อ ต้องมีการเลือกตั้งมาด้วย ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษ
ด้านนายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาตร์ (นิด้า) และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญแบบเยอรมันมีหน้าที่หลัก คุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมาย คุ้มครองเสียงข้างน้อยในสภา พิทักษ์หลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะหลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตย เป็นการปฏิรูประบบรัฐสภาสมัยใหม่ ส่วนศาลรัฐธรรมนูญไทยไม่เหมือนเยอรมัน
ฐานการนำเข้ามาใช้ไม่เหมือนเยอรมันที่ต้องการนำมาถ่วงดุล แต่ศาลรัฐธรรมนูญของไทย เกิดจากการไม่ยอมรับในการทำหน้าที่ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญช่วงก่อนมี รัฐธรรมนูญ ปี 40 เมื่อมีศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญปี 40 การวินิจฉัยก็ยังมีปัญหาส่วนสำคัญมาจากอิทธิพลและการแทรกแซงทางการเมือง มีการล็อกตัวจากกรรมการสรรหา เป็นปัญหาระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเยอรมันไม่มี ทำให้ศรัทธาตก
ส่วนรัฐธรรมนูญปี 50 ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่เข้มแข็งขึ้นในการถ่วงดุลกับรัฐสภา ส่วนศาลรัฐธรรมนูญในรัฐธรรมนูญปี 58 ที่กำลังยกร่างฯ จะเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการสรรหา มีความความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งคิดว่าประสบการณ์ศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา แม้ช่วงแรกมีปัญหาเรื่องความเป็นอิสระ เพราะไม่ใช่เรื่องโครงสร้างอย่างเดียว แต่เชื่อมโยงระบบวัฒนธรรม ระบบอุปถัมภ์ ประเด็นสำคัญ ต้องมีหลักการที่แน่นอน มีความเป็นกลางจะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีความมั่นคง ของเยอรมันให้ประชาชนร้องทุกข์ศาลรัฐธรรมนูญได้ มีคนถามว่า ประเทศไทยควรนำมาใช้หรือไม่ เห็นว่า ประเทศไทยยังไม่เหมาะสม เพราะยังไม่มั่นคงเข้มแข็งและอาจจะทำลายระบบของ 2 ศาลได้ ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญต้องพิสูจน์การสร้างดุลยภาพทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ตราบที่ระบบการเมืองภายใต้ระบบรัฐสภาของไทยยังไม่เข้มแข็งเกิดความขัดแย้งระหว่างการนำ "หลัประชาธิปไตย" กับ "หลักนิติรัฐ" มาใช้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เห็นว่าการดำรงอยู่ของศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อสร้างดุลยภาพในอำนาจไม่ให้เกิดความเปลี่ยนที่เกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญ อีกด้านหนึ่งเพื่อแก้ไขปัญหาของ "ระบบรัฐสภา" ที่มีลักษณะเป็นอำนาจเดี่ยว ซึ่งคิดว่านี่คือ ภารกิจสำคัญของศาลรัฐธรรมนูญในยุคใหม่