xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ร่วมต่อลมหายใจ 13 พธม. เผชิญวิบากกรรม “คนกู้ชาติ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การต่อสู้ของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ถูกยกให้เป็นตำนานบทสำคัญของการต่อสู้ภาคประชาชนที่สามารถขับไล่ “รัฐบาลทรราช” ได้สำเร็จ ก่อนที่จะยุติบทบาทไปตามบริบทของสังคม แต่ผลพวงจากความสำเร็จดังกล่าวก็ไม่สวยงามเสมอไป ทั้งความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับพี่น้องเหล่าวีรชนคนกล้าที่ต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตไป หรือกระทั่งคดีความต่างๆ ที่จนบัดนี้ก็ยังไม่เป็นที่ยุติ

ภายหลังการต่อสู้แกนนำและแนวร่วมก็ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตามบทบาทของตัวเอง แต่ก็มีหลายคนที่ยังคงง่วนอยู่กับการต่อสู้คดี ต้องเทียวไปเทียวมาขึ้นศาลร่วมกับทีมทนายกันไม่เว้นแต่ละสัปดาห์

ทั้งนี้ เดิมได้มีการวางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ไว้ โดยการตั้งเป็น 3 กองทุน ภายใต้มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ได้แก่ กองทุนพันธมิตรฯสู้คดี กองทุนทวงคืนเขาพระวิหาร และกองทุนช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ซึ่งก็มีธารน้ำใจจากพี่น้องร่วมอุดมการณ์บริจาค เงินเข้ากองทุนอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้มีการโฆษณาแต่อย่างใด

แต่ด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน และมีความจำเป็นตามภารกิจต่างๆ โดยเฉพาะการประกันตัวผู้ที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ส่งผลให้เงินในกองทุนต่างๆหร่อยหรอลงไป ซึ่งในความเป็นจริงเงินในกองทุนต่างๆ นั้นได้เข้าขั้นวิกฤตมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ทำให้การต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมมีความยากลำบากไปด้วย

วิบากกรรมในการต่อสู้คดีของเหล่าแกนนำและแนวร่วมได้ถูกเก็บงำมาตลอด จนล่าสุดมีการเปิดเผยจาก “พี่ติ๊ก - มาลีรัตน์ แก้วก่า” แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 ที่ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุถึงวิกฤตครั้งสำคัญของแกนนำพันธมิตรฯรวม 13 ราย ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงชัย นายสุริยะใส กตะศิลา นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายอมร อมรรัตนานนท์ นายนรัณยู วงษ์กระจ่าง นายสำราญ รอดเพชร นายศิริชัย ไม้งาม นางมาลีรัตน์ แก้วก่า และนายเทิดภูมิ ใจดี

ทั้ง 13 คนได้รับหมายศาลแจ้งว่า ต้องร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 600 ล้านบาท ให้แก่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กรณีชุมนุมที่ชานชาลา ลานจอดรถสนามบินดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2551

โดย “มาลีรัตน์” โพสต์ข้อความในหัวข้อ “ฉันอาจถูกศาลสั่งล้มละลาย ผลต่อเนื่องจากการชุมนุม 193 วัน” ความว่า “วิกฤติในชีวิตของแต่ละคนจะมีกี่ครั้ง คงไม่มีใครตอบได้ชัดเจน แต่ 2-3 วันที่ผ่านมายอมรับว่า ตนเองแทบช็อคเมื่อทราบว่าศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งให้พลตรีจำลอง ศรีเมืองและคณะ 13 คน รวมดิฉันด้วย ต้องชดใช้เงินจำนวน 600 ล้าน แก่บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) กรณีชุมนุมที่ชานชลา ลานจอดรถสนามบินดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นวิกฤติชีวิตครั้งใหญ่ของดิฉันและอีกหลายคนแน่นอน

ขอท้าวความถึงการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี 2551 เป็นที่ทราบทั่วไปว่าเริ่มตั้งแต่เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 190 เรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน ต้องผ่านสภา /มาตรา237 เรื่องยุบพรรคที่ทุจริตเลือกตั้ง เป็นหลัก ไปจนถึงประท้วงแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ทำขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 จนศาลรัฐธรรมนูญวินัจฉัยว่าแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

ก่อนย้ายเข้าทำเนียบในเดือนสิงหาคม มีการลอบยิงด้วยกระสุนปืนและระเบิดเอ็ม 79 รอบๆที่ชุมนุมเชิงสะพานมัฆวานแทบทุกวัน หลังจากนั้น ตลอดระยะเวลาของการชุมนุม มีการลอบทำร้ายผู้ชุมนุมเป็นระยะๆ และอาวุธสงครามถูกนำมาทำลายผู้ชุมนุมครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกิดเหตุการณ์ 7 ตุลาคม ที่ผู้ถืออำนาจรัฐ ใช้อาวุธสงครามทำร้ายผู้ชุมนุม จนน้องโบว์ อังคณา ระดับปัญญาวุฒิและสารวัตรจ๊าบต้องเสียชีวิต คุณรุ่งทิวา ธาตุนิยม เป็นเจ้าหญิงนิทราจนปัจจุบัน คุณตี๋ชิงชัยแขนขาด เฮียตี๋ คุณเจ็ก ขาขาด อีกจำนวนมากบาดเจ็บ หลังจากนั้นเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น ช่วงเดือน พ.ย.2551 ระเบิดลงบ่อยมาก จน คุณเสถียร จากการไฟฟ้า บาดเจ็บสาหัส น้องโบว์ กมลวรรณ หมื่นหนู เสียชีวิต และ 20 พ.ย.คุณเจนกิจ กลัดสาคร เสียชีวิตเป็นรายสุดท้ายที่ทำเนียบ นั่นคือเหตุที่เกิดขึ้นก่อนการชุมนุมที่ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ

ผ่านไป 7 ปีเต็ม แต่ความทรงจำที่เกิดขึ้นในหัวใจดิฉันทุกครั้งที่นึกถึงการชุมนุม193 วัน คือ คำขอร้องของน้องคุ้กกี้ ลูกสาวคุณเจนกิจ กลัดสาคร ที่กล่าวบนเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อคืนวันที่ 22 พ.ย.2551 ด้วยน้ำเสียงที่เรียบ แต่แววตามุ่งมั่นว่า "อยากให้คนไทยมากันเยอะๆในวันอาทิตย์นี้ ทำเพื่อพ่อหนูด้วย" นั่นคือความทรงจำผุดขึ้นมาทุกครั้ง

หลังจากเราเลิกชุมนุมในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 คดี ทอท.ฟ้องแพ่งแกนนำและคณะ 13 คน ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง 25 มีนาคม 2554 ศาลชั้นต้น สั่งให้ชดใช้เงิน 522 ล้าน ทนายสุวัตรและทีมสู้อย่างเด็ดเดี่ยว ขออุทธรณ์แบบอนาถา เพราะแต่ละคนไม่มีงานประจำ ศาลอนุญาตเพียง 1 ใน 3 ทนายสุวัตรต้องดิ้นรนหาเงินวางค่าธรรมเนียมศาลเกือบ 3 ล้านบาท ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษา ให้ชดใช้เงินจำนวน 600 ล้าน จึงทำให้ทั้ง 13 คน เดินเข้าใกล้เส้นทางเป็นบุคคลล้มละลายเข้าไปทุกขณะ ซึ่งถามว่ากลัวไหม ทุกสิ่งเป็นสรณะ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน แต่เราได้พยายามต่อสู้ในสิ่งที่เราเห็นว่าเราทำถูกต้องหรือยัง จึงมีเพียง 2 แนวทางเท่านั้นที่ต้องดำเนินการ

แนวทางที่ 1 ยื่นฎีกา ซึ่งต้องวางค่าธรรมเนียมศาล รวม 7 ล้านบาท และทนายได้ขอผ่อนผัน 2 รอบแล้ว ทางคณะฯจึงได้ขอให้ทนายสุวัตรยื่นเรื่องขอยืดเวลาการชำระค่าธรรมเนียมออกไป จากเดิม 26 มิถุนายน นี้ ย้ำอีกครั้งค่ะ เวลานับจากนี้ไป 4 วัน กับเงิน 7 ล้านบาท จะหาอย่างไร หาจากไหน เพราะแต่ละคนเดือดร้อนกันหมดแล้ว แต่ข้อดี คือ เวลาต่อสู้ในชั้นศาลฎีกาอาจใช้เวลา 3-5 ปี

แนวทางที่ 2 ไม่ยื่นฎีกา ให้ศาลว่าไป โดยไม่สู้ในชั้นฎีกา ยอมรับว่าเราทำผิดทางละเมิด ผลก็คือ พลตรีจำลองและคณะทั้ง 13 จะถูกฟ้องล้มละลายต่อไป อาจใช้เวลา 1 ปีนับจากนี้

เราปรึกษาหารือเบื้องต้น ได้ข้อสรุปว่า เดินแนวทางที่ 1 คือยื่นฎีกา ต้องหาเงินมาวางค่าธรรมเนียมศาล 7 ล้านบาท หาจากไหน นั่นล่ะคือสิ่งที่ดิฉันช็อค ช่วยแนะนำดิฉันด้วยนะคะ”

ล่าสุด ทนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ได้เปิดเผยถึงแนวทางในขณะนี้ว่า หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นในทุกประเด็น คดีจะครบกำหนดยื่นฎีกาวันที่ 26 มิ.ย.นี้ ตนและทีมทนายความกำลังพิจารณาเตรียมแนวทางยื่นคำร้องขอขยายเวลาฎีกาก่อน ขณะที่ตามขั้นตอนการฎีกาจำเลยต้องหาเงิน 7 ล้านบาท วางเป็นค่าธรรมเนียมศาลด้วย เราเตรียมยื่นคำร้องให้ศาลพิจารณาเป็นกรณีอนาถา เพื่องดการวางเงินค่าธรรมเนียม 7 ล้านบาท ต้องดูว่าศาลจะพิจารณาและมีคำสั่งอย่างไร

จากข้อมูลของ “ทนายสุวัตร” จะเห็นได้ว่า การยื่นขอขยายเวลาฎีกานั้นเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น และมีความเป็นไปได้สูงที่ยังจำเป็นต้องใช้จำนวน 7 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าธรรมเนียมศาลในเบื้องต้น ส่วนจะมีเวลาเพื่อหาเงินจำนวนนี้นานแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเมตตาของศาล และหากสามารถรวบรวมเงินจำนวน 7 ล้านบาทได้ก็จะยืดเวลาเพื่อต่อลมหายใจมีเวลาต่อสู้ในชั้นศาลฎีกา ซึ่งอาจใช้เวลา 3 - 5 ปี

แต่หากไม่สามารถรวบรวมเงินจำนวน 7 ล้านบาทได้ตั้งแต่ในชั้นนี้ ก็เท่ากับสละสิทธิในการยื่นฎีกา ผลที่ตามมาคือ แกนนำทั้ง 13 รายก็จะถูกฟ้องล้มละลาย

สามารถร่วมให้กำลังใจและต่อลมหายใจให้ “นักสู้เพื่อแผ่นดิน” ผ่าน “กองทุนพันธมิตรสู้คดี” ชื่อบัญชี มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เพื่อพันธมิตรสู้คดี ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางลำภู บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 008-2-26479-7


กำลังโหลดความคิดเห็น