ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เงื่อนไขก็ครบถ้วนกระบวนความ
กระแสสังคมก็สนับสนุนเต็มที่
แต่จนแล้วจนรอดก็มิได้มีความคืบหน้าใดๆ ออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อยสำหรับ “การถอดยศ พ.ต.ท.ของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร” โดยเฉพาะผู้มีอำนาจและหน้าที่โดยตรงชื่อ “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ที่สำคัญ งานนี้เห็นได้ชัดว่า พล.ต.อ.สมยศเล่นเกมยื้อเวลาออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งยื้อในระบบขั้นตอนการทำงาน และยื้อด้วยการยืมขี้ปากของคนที่มีความเห็นไปในทำนองเดียวกันมาเป็นเหตุผลในการกล่าวอ้าง
15 มิถุนายน 2558 คือวันที่สังคมได้เห็นท่าทีของ พล.ต.อ.สมยศชัดแจ้ง โดยได้แบไต๋ออกมาให้เห็นอย่างหมดเปลือก
“เรื่องนี้ต้องไม่ใช้อารมณ์หรือความรู้สึกส่วนตัว รวมทั้งแรงกดดันและกระแสสังคมมาใช้ในการพิจารณา ที่ผ่านมาหลังจากที่มีเรื่องการถอดยศปรากฏออกมาผ่านสื่อ ผมต้องขอบคุณผู้ใหญ่หลายท่าน เช่น นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เขียนเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการถอดยศลงในเฟซบุ๊กของท่าน หรือ พล.ต.อ.วิรุฬห์ พื้นแสน อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ได้ทำบันทึกเปิดผนึกส่งมาถึง ตนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อกฎหมายต่างๆ ในการดำเนินการถอดยศครั้งนี้ ตลอดจนอดีต ผบ.ตร.หลายท่านที่โทรศัพท์เข้ามาให้คำแนะนำและคำปรึกษาแก่ผมว่าเรื่องนี้เป็นมาเป็นไปอย่างไร บอกถึงข้อมูลเรื่องที่เคยมีการดำเนินการไปแล้วเป็นอย่างไร หรือที่ไม่ได้ดำเนินการมีอะไรบ้าง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุให้ผมต้องใช้ความรอบคอบมากยิ่งขึ้นกว่าที่เคยคาดคิด”
กล่าวคือหลังเล่มเกม “ปัดสวะ” ออกลีลาติ๊ดชึ่งแบบ 3 หนา 5 ห่วงด้วยการโยนกลับไปให้คณะกรรมการพิจารณาการถอดยศที่มี “พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธุ์กุล” ที่ปรึกษา(สบ 10) เป็นประธานถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกทำโมโหโกรธาว่า ทำหนังสือหละหลวม ไม่รัดกุม และให้คณะกรรมการไปเซ็นชื่อรับรองมติมาให้ครบทุกคน ครั้งที่สอง เมื่อ พล.ต.อ.ชัยยะส่งมาใหม่ แทนที่ พล.ต.อ.สมยศจะส่งหนังสือไปให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนตามที่ตนเองได้เคยประกาศไว้ ก็ยังไม่ทำ พร้อมขอเวลาให้ฝ่ายกฎหมายกลั่นกรองอีก 2-3 วัน โดยอ้างว่า เพื่อความรอบคอบ สุดท้ายเมื่อครบกำหนดเวลาที่ไม่อาจบิดพลิ้วได้อีกต่อไป สุดท้าย พล.ต.อ.สมยศก็หาทางดิ้นเอาตัวร้อนได้อีกรอบจนได้ด้วยการโยนเผือกร้อนไปที่ “สำนักงานกำลังพล(สกพ.)”
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สมยศอธิบายเอาไว้เบ็ดเสร็จว่า ตามระเบียบขั้นตอนแล้วจะต้องส่งเรื่องให้ทางสำนักงานกำลังพล (สกพ.) นำเรื่องไปประมวลตรวจสอบรายละเอียดในเรื่องที่คณะกรรมการฯ ชุด พล.ต.อ.ชัยยะเสนอมา ซึ่งเป็นไปตามระเบียบขั้นตอนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะความเห็นหรือมติของคณะกรรมการฯ ไม่ใช่เป็นที่สิ้นสุดแต่อย่างใด
พร้อมออกตัวเอาไว้อีกต่างหากว่า “ในระเบียบข้อบังคับไม่ได้ระบุว่า จะต้องใช้ระยะเวลานานเท่าใด”
เมื่อถามย้ำว่า จะสามารถถอดยศได้ทันในยุคที่มี พล.ต.อ.สมยศเป็น ผบ.ตร.หรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า “ก็ว่ากันไป แต่ผมจะไม่เร่งรัดทำตามอารมณ์ความรู้สึก”
เมื่อถามย้ำอีกว่า ถือเป็นการซื้อเวลาหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศก็ตอบว่า “แล้วแต่จะคิด ทุกคนมีสิทธิจะคิด แต่สิทธิและสิ่งที่ผมกระทำเป็นเรื่องของผม และเขาเหล่านั้นควรเคารพสิทธิของผมด้วย”
เมื่อประมวลคำตอบและท่าทีของ พล.ต.อ.สมยศดังกล่าวข้างต้น สามารถแปลไทยเป็นไทยได้ว่า พล.ต.อ.สมยศจะยื้อเรื่องนี้เอาไว้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ และอาจจะนานจนเรื่องเงียบหายเข้าไปในกลีบเมฆในที่สุด
แต่ช้าก่อน จะโทษ พล.ต.อ.สมยศเสียทีเดียวก็คงไม่ได้ เพราะหากไล่ลำดับเหตุการณ์เรื่องนี้ จะเห็นได้ชัดว่า ทำไม พล.ต.อ.สมยศถึง “กล้ายื้อ” โดยไม่สนใจกระแสสังคมในขณะนี้
ย้อนหลังให้เห็นฉากละครน้ำเน่าเรื่องนี้กันอีกครั้ง
ประเด็นเรื่องการถอดยศนักโทษชายหนีคดีทักษิณกลายเป็นประเด็นอีกครั้ง เมื่อนักโทษหนีคดีผู้นี้ให้สัมภาษณ์เมื่อคราวเดินทางไปที่เกาหลีใต้โดยกล่าวพาดพิงสถาบันเบื้องสูงอย่างไม่เกรงกลัวว่าอยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ผลที่ตามมาก็คือ กระทรวงการต่างประเทศโดย พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รัฐมนตรีเดินเครื่องถอนหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตของนักโทษชายหนีคดีทักษิณในทันที ซึ่งเป็นปฏิบัติการที่เรียกคะแนนเสียงให้กับรัฐบาล คสช.เต็มร้อย
งานนั้น เรียกว่า บิ๊กตู่โชว์พาวได้ประทับใจแฟนคลับเป็นที่สุด
แต่เรื่องมันไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เพราะกองเชียร์ไม่ได้อยากเห็นแค่การถอดพาสปอร์ต หากต้องการให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไล่บี้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณด้วยหลังจากคาราคาซังมาเป็นเวลานาน
ในช่วงแรก ดูเหมือนว่า กระแสการถอดยศจะมาแรงกระทั่ง พล.ต.อ.สมยศกล้าประกาศแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.ชัยยะเป็นประธานในการพิจารณา และ พล.ต.อ.ชัยยะก็ไม่ทำให้ผิดหวังเร่งรีบพิจารณาทันที ซึ่งเพียงไม่กี่วันคณะกรรมการฯ ก็มีมติออกมาชัดแจ้งเป็นเอกฉันท์ว่า สมควรที่จะถอดยศนักโทษชายผู้หนีคดีอาญาแผ่นดินผู้นี้
ถามว่า ถ้าไม่มี “การส่งสัญญาณ” จาก “คนที่คุณรู้ว่าใคร” คนอย่าง พล.ต.อ.สมยศจะกล้าผลีผลามทำตามลำพังหรือ
ทว่า ไม่ทราบว่า สัญญาณเปลี่ยนหรืออย่างไร เพราะเมื่อจู่ๆ พล.ต.อ.สมยศกลับ “เหยียบเบรก” เรื่องการถอดยศด้วยการยื้อเวลาและดึงเกมออกไปอย่างหน้าตาเฉย
ก็จะไม่ให้ พล.ต.อ.สมยศเหยียบเบรกหัวทิ่มได้อย่างไร เพราะสุดท้ายกลับกลายเป็นว่า พล.ต.อ.สมยศต้องมารับเผือกร้อนอยู่เพียงคนเดียว ขณะที่ “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” ไม่แสดงท่าทีใดๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ และเลือกที่จะเล่นบท “จอมยุทธ์ผู้เหยียบหิมะไร้ร่องรอย” ไปเสียเฉยๆ
นี่คือสิ่งที่สังคมต้องให้ความเป็นธรรมกับ พล.ต.อ.สมยศ
คำถามก็คือ ใครคือคนที่สั่งให้ พล.ต.อ.สมยศยื้อ
หากยังจำกันได้เคยมีการสอบถาม พล.ต.อ.สมยศว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ได้เร่งรัดให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่
ผบ.ตร.กล่าวว่า “ทั้งนายกฯ และรองนายกฯ ไม่เคยมาเร่งรัดใดๆ เพียงแต่ถามเท่านั้นว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร ซึ่งเมื่ออธิบายไปท่านก็เข้าใจ และบอกว่าทำถูกต้องแล้วที่ยึดกฎหมายและความละเอียดรอบคอบ”
ถามว่า ในเมื่อ 2 นายของ พล.ต.อ.สมยศยังเฉยๆ แล้ว พล.ต.อ.สมยศจะไปดิ้นรนให้เปลืองตัวไปสำมะหาอันใด สู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีและรอเกษียณอายุราชการแบบสบายๆ ในอีกไม่กี่เดือนไม่ดีกว่าหรือ
ถามว่า พล.ต.อ.สมยศคือใคร และก้าวขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโดยใคร
เรื่องนี้ พล.ต.อ.สมยศประกาศเอาไว้ชัดแจ้งเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2558 ว่า “อย่าเพิ่งมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าผมจะเซ็นให้หรือไม่ ผมมีวิจารณญาณมากพอ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาชี้นำ ผู้บังคับบัญชาของผมมี 2 คนเท่านั้น คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง”
พล.ต.อ.สมยศประกาศชัดว่า ตนเองมีนาย 2 คนคือ พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดไปจากความเป็นจริงประการใด เพราะเป็นที่รับรู้ว่า การที่ พล.ต.อ.สมยศเบียด พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร.ได้เพราะใคร
โดยเฉพาะแรงหนุนของ “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้เป็นน้องชายของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ ซึ่งเวลานี้เป็นผู้จัดการรัฐบาลในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ดังนั้น พล.อ.ประวิตรคือนายสายตรงของ พล.ต.อ.สมยศ
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์คือนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ซึ่งก็เป็นสายเดียวกับ พล.อ.ประวิตร ด้วยเหตุดังกล่าว ทั้ง 3 คนจึงอยู่ในกลุ่มก๊วนเดียวกันโดยมิต้องสงสัย
“วัชระ เพชรทอง” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าววิพากษ์วิจารณ์ พล.ต.อ.สมยศเอาไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า “การที่ท่านมาแสดงลีลาดรามาอย่างนี้ ประชาชนทั่วประเทศเขามองออกเพราะแสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่เหนือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เหนือกระบวนการยุติธรรมของไทย ทำผิดไม่ต้องติดคุก ทำผิดยังลอยนวล ใส่ร้ายสถาบันสำคัญของชาติในต่างประเทศ ไม่ต้องถูกถอดยศ จึงเป็นที่ชัดเจนว่าปัญหาของประเทศอยู่ที่ระบอบทักษิณ สตช.จึงสมควรได้รับการปฏิรูปโดยด่วนที่สุดโดยให้แยกอำนาจการสอบสวนออกจาก สตช.เพื่อกวาดล้างศาลเตี้ยให้สิ้นแผ่นดิน”
ที่สำคัญที่สุดคือ นายวัชระจี้ลงไปที่ใจดำของปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควรเรียกไปปรับทัศนคติ ถ้า พล.ต.อ.สมยศทำไม่ได้ ไม่กล้าทำ ให้ลาออกหรือเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.ใหม่ ไม่เช่นนั้นประชาชนจะมองว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซูเอี๋ยกับทักษิณ
และนั่นเป็นที่มาของคำถามที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์สั่งให้ยื้อหรือซูเอี๋ยกับนักโทษชายหนีคดีทักษิณหรือไม่?
เชื่อได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ทำเช่นนั้น เหมือนอย่างที่คอลัมนิสต์ชื่อดัง “เปลว สีเงิน” รับรองเอาไว้ว่า “ผมเชื่อ...นายกฯ ประยุทธ์ท่านไม่สั่งแน่ และที่สำคัญชายชาติทหารที่ไม่เคยหลบตาคนเวลาพูด ย่อมเชื่อใจได้ว่าไม่ทำอะไรประเภทหน้าไว้-หลังหลอกประชาชนแน่”
พล.อ.ประวิตรสั่งให้ยื้อหรือซูเอี๋ยกับนักโทษชายหนีคดีทักษิณหรือไม่?
ก็คงต้องหยิบยืมข้อเขียนของเปลว สีเงินมาตอบว่า “ผมไม่ทราบ เพราะท่านอยู่วงนอกเรื่องนี้ชั้นหนึ่งและไม่เคยแสดงท่าทีชัดเจนทางใด-ทางหนึ่ง ถึงแม้โดยส่วนตัวท่านสนิทสนมคุ้นเคยกับครอบครัวทักษิณ ทั้งตัวทักษิณและตัวหญิงอ้อ ก็ตาม”
ที่เด็ดสะระตี่ไปกว่านั้นอยู่ตรงที่หลังจากสังคมรุกถามหนักเข้า วันดีคืนดีก็เกิดกรณีเรื่องไม่เป็นเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เรื่องแรก คือข่าวเรื่องการปฏิวัติซ้อน ซึ่งไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ไม่มีทางเป็นไปได้เนื่องเพราะขุนทหารในกองทัพล้วนแล้วแต่ถูกจัดระเบียบและวางตัวเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และถ้าจะมีปฏิบัติซ้อนก็ต้องบอกว่า คสช.ได้ดำเนินการให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วจากการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อกระชับอำนาจและเปิดช่องให้รัฐบาล คสช.อยู่ยาวต่อไปอีก 2 ปี
เรื่องที่สอง คือการเปิดบ่อนการพนันถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่ง พล.ต.อ.สมยศถึงกับอาสาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันในการผลักดันเรื่องนี้แบบสุดๆ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่วาระเร่งด่วนประการใด ทำให้สังคมมิอาจมองเป็นอื่นได้ว่า พล.ต.อ.สมยศกระโดดมาเล่นเกมนี้เพื่อช่วงชิงพื้นที่ข่าวและเบี่ยงเบนความสนใจของสังคมที่กำลังกดดันอย่างหนักในเรื่องการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ
แน่นอน เมื่อทุกอย่างถูกแช่แข็งก็ย่อมเข้าทางนักโทษชายหนีคดีทักษิณ เพราะว่ากันตามตรง การถอดยศคือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของโมฆะบุรุษผู้นี้ถ้าจะเทียบกับเรื่องการยกเลิกหนังสือเดินทาง
จริงอยู่ การเพิกถอนหนังสือเดินทางอาจจะทำให้เกิดอุปสรรคในการใช้ชีวิตสัมภเวสีบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เป็นการถาวร เพราะนักโทษชายหนีคดีผู้นี้ยังมีหนังสือเดินทางที่ออกให้โดยหลายประเทศ รวมทั้งเมื่อใดก็ตามที่ระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจ สิทธิตรงนี้ก็จะกลับมาอีกครั้ง
ในขณะที่การถอดยศคือเรื่องที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของเขาในสายตาของประชาชนคนไทยโดยตรง โดยเฉพาะข้ออ้างในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบัน
ว่ากันว่า ถ้าจะให้เลือกระหว่างการถอดยศกับการต้องติดคุกติดตะรางของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาว โคลนนิงผู้พี่อาจตัดสินใจเลือกรักษายศ พ.ต.ท.ไว้เสียด้วยซ้ำไป
แต่จะอย่างไรก็ตาม ว่ากันถึงที่สุดแล้ว สุดท้ายคำถามจากสังคมก็วนไปถึงตัว พล.อ.ประยุทธ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะถึงแม้ว่า พล.ต.อ.สมยศจะยึกยักเล่นแง่อ้างโน้นอ้างนี่ด้วยการยกแม่น้ำทั้ง 5 มาเพื่อเฉไฉ แต่สุดท้ายต้องไม่ลืมว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้าคือองค์รัฏฐาธิปัตย์ผู้มีอำนาจเต็มในบ้านนี้เมืองนี้
พล.อ.ประยุทธ์มีอาวุธที่ทรงพลานุภาพยิ่งคือ “มาตรา 44” ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2557 ซึ่งมีอำนาจเหนืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและแม้กระทั่งอำนาจตุลาการ โดยที่ผ่านมารัฐบาล คสช.ก็ได้ใช้มาตรา 44 นี้ในการแก้ปัญหาให้บ้านให้เมืองมาแล้วหลายต่อหลายครั้งในยามที่กฎหมายปกติติดขัด
เรื่องการแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา โดยแต่งตั้ง พล.ต.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 มาเป็นประธานบอร์ดสลากก็ทำมาแล้ว
ปัญหาการทุจริตในองค์กรต่างๆ ในกระทรวงศึกษาธิการ รัฐบาลก็ใช้อำนาจเต็มในมาตรา 44 มาให้เห็นแล้ว
การแก้ไขปัญหามาตรฐานของกรมการบินพลเรือน ก็ใช้มาตรา 44
แม้กระทั่งปัญหา “เด็กแว้น” รัฐบาลก็เตรียมใช้มาตรา 44
ประสาอะไรกับการถอดยศ พ.ต.ท.ของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ทำไมถึงจะใช้ไม่ได้
อยู่ที่ว่าจะเลือกใช้หรือไม่เท่านั้น
จริงอยู่ พล.อ.ประยุทธ์เคยกล่าวไว้ว่า “หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีมติอย่างไร และส่งมาที่ผม ผมจะดำเนินการตามขั้นตอนปกติ ไม่ใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44”
แต่ในเมื่อ ณ บัดนี้ พล.ต.อ.สมยศไม่ทำ แล้วรัฐบาล คสช.โดย พล.อ.ประยุทธ์จะใช้มาตรา 44 หรือไม่ เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การดำเนินการตามขั้นตอนปกติทำท่าจะมีปัญหาเสียแล้ว
สังคมกำลังเฝ้าจับตาและรอดูปฏิกิริยาในเรื่องนี้อย่างใจจดใจจดทีเดียว
ได้โปรดอย่าทำให้สังคมคิดไปเองว่า “มาตรา 44 อำนาจล้นฟ้า แต่ไม่กล้าฟันแม้ว” เกิดขึ้นเลย