ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ได้ผลกับกระแสสังคม!!!กับภารกิจชำแหละขบวนการค้ามนุษย์ หลังศาลนาทวีออกหมายจับ “นายพล.ม.” ตัวละครปริศนาที่มีข่าวลือก่อนหน้านี้ว่า มีบิ๊กทหารเข้าไปพัวพันกับแก๊งลักลอบนำคนเข้าเมืองว่า ที่แท้เป็นนายพลขาใหญ่โซนภาคใต้นามพล.ท.มนัส คงแป้น ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีในพื้นที่ งานนี้สร้างความโจษจันให้สังคม เพราะผู้อยู่เบื้องหลังเป็นถึงระดับนายพลในกองทัพ ย่อมกระทบต่อภาพลักษณ์ในมุมมองของประชาชนว่า เหล่าคนดีภายใต้ร่มเงาของท็อปบูตก็มีความไม่ชอบมาพากล แอบกินนอกกินใน ไม่ใช่ของดีไปเสียทั้งหมดทั่วแผ่น ในความรู้สึกของประชาชนอย่างไรก็ห้ามให้คิดไม่ได้
แต่สำหรับรัฐบาลของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีเหล่าท็อปบูตเดินกันเกลื่อนกลาด งานนี้ก็รับสภาพกองทัพมีทั้งคนดีและไม่ดี เมื่อเสียก็ต้องสารภาพกันออกมาไม่มีปิด มุบมิบป้องกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ตรงๆ กับการรวบคนกันเองงวดนี้คุ้มค่ากว่าเยอะ เพราะได้ภาพ “ใหญ่แค่ไหนก็จับ” แม้แต่พวกเดียวกัน เพิ่มเครดิตรัฐบาลในยุคตีปี๊บปราบคอร์รัปชั่นทุกหย่อมหญ้า
ที่คุ้มและคุ้มยิ่งกว่าเพราะเป็นการรวบมาในห้วงจังหวะเวลาเดียวที่สหรัฐอเมริกาชาติมหาอำนาจกำลังจะประเมินอันดับการค้ามนุษย์ของไทยที่ปีก่อนชะลูดอยู่ระดับเทียร์ 3 ว่าจะหลุดจากระดับบ๊วยขึ้นมาโงหัวอยู่ในบรรยากาศที่หายใจหายคอได้คล่องขึ้นหรือไม่ เพราะเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่า ตั้งแต่ถูกปรับหล่นมารัฐบาลได้มีการดำเนินการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะพวกขบวนการอันเป็นสาเหตุสำคัญ ไม่ได้มีการปล่อยละเลยเหมือนแต่ก่อน มีความพยายามแก้ปัญหาในโจทย์ที่มะกันตั้งไว้
รัฐบาลเองหมายมั่นปั้นมือกับเรื่องนี้ไว้หนักหนา รู้อยู่เต็มอกว่าถ้าลากคอตัวใหญ่มาอยู่หน้าฉากไม่ได้ การแก้ไขปัญหาจะไม่ได้น้ำได้เนื้อ ไม่เห็นรูปธรรมจะแจ้ง เลยต้องเด็ดหัวให้ได้ แต่ปัญหาคือ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ไม่มีใครกล้าเสี่ยง เพราะหวั่นเกรงอิทธิพลมาเฟียที่ระดับไม่ธรรมดา รวมไปถึงตัวใหญ่อย่าง “นายพล ม.” ที่จะให้ตำรวจไปจับท็อปบูตในยุคท็อปบูตเรืองอำนาจใครจะกล้าเสี่ยง มีแต่จะโดนสวนยอดอกกลับมา
กระทั่งได้รับไฟเขียวจาก “บิ๊กตู่”ให้ไปสืบเสาะหาข้อมูลรวมถึงธุรกรรมทางการเงินให้แน่นหนา เท่านั้นล่ะบัญชานายกฯใหญ่สุด ฝ่ายปฏิบัติฟิตเปรี้ยะ มียันต์อาญาสิทธิ์เข้มขลังไม่ต้องเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม สืบเสาะพยานหลักฐานจนลากคอตัวใหญ่มาประจานได้อย่างที่เห็น เหมือนที่ “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ไม่แสดงอาการอึ้ง ทึ่ง เสียว เพราะรู้มานานแล้ว ไม่ได้เซอร์ไพร์ส
เรียกว่า ทำกันเต็มที่ตั้งแต่ถูกปรับลดระดับมาอยู่เทียร์ 3 ไม่ได้นิ่งดูดาย หากจะยังใจไม้ไส้ระกำให้คว่ำอยู่ที่เดิม คงต้องไปตอบประชาคมโลกว่า ที่ไม่ให้ผ่านเป็นเพราะไทยทำการบ้านที่ให้ไว้ไม่ถูกไม่ดี หรือเป็นเพราะพี่เบิ้มมะกันเล่นแง่จงใจเล่นการเมืองกับรัฐบาลไทย ใช้ความรู้สึกตัดสินมากกว่าเหตุผลที่อยู่เบื้องหน้า อย่างที่รู้ๆ กันว่า ที่ผ่านมารัฐบาลทำอะไรในสายตามะกันก็ดูเป็นเด็กเกเรไปเสียหมด ทำอะไรก็ผิดในรัฐบาลทหาร มีมาตรการกลั่นแกล้งไม่เว้นวรรค ขณะเดียวกัน ก็ไปโอบอุ้มฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลอย่างนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรแทน หนำซ้ำ ยังให้เป็นฐานที่มั่นของอดีตนักการเมือง คอยหลิ่วตาให้เป็นที่ซุ่มซ่อนขบวนการหมิ่นสถาบัน
จนก่อนหน้านี้ก็เสียวๆ กันว่า โอกาสจะจมอยู่ที่เดิมมีสูง แต่จะว่าไปสถานการณ์อะไรมันก็ไม่แน่นอน ปัจจัยอะไรๆ ไม่เหมือนเดิม เพราะจากที่เคยรังแกรัฐบาลทหารของ “บิ๊กตู่”จู่ๆ พี่เบิ้มมะกันกลับพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้าออกมาชมไทยระหว่างประชุม Shangri - La Dialogue ครั้งที่ 14 ที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งไทยส่ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อม “บิ๊กบี้” พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม ไปเข้าร่วมด้วย
รมว.กลาโหมของสหรัฐฯยกยอปอปั้นไทยออกนอกหน้านอกตา เสียจนตัวแทนประเทศไทยเขินตัวลอย ชื่นชมว่า อาสาเป็นหัวขบวนจัดประชุมแก้ไขปัญหาชาวโรฮีนจา ย่อมให้สหรัฐฯ มาใช้อู่ตะเภาในการลำเลียงสิ่งของไปช่วยเหลือพี่น้องชาวเนปาลที่ประสบแผ่นดินไหว ประหนึ่งเป็นพ่อพระของภูมิภาค ทั้งที่การประชุมเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว เพิ่งจะใช้เวทีนี้สวดชยันโตคณะรัฐประหารแบบสาดเสียเทเสียไม่มีชิ้นดี
กลับลำตวัด 360 องศาเที่ยวนี้จะไปว่าก็ไม่ได้จริงใจหรือเข้าใจสถานการณ์ของรัฐบาลมากขึ้นกว่าเก่า เพียงแต่ว่าต้องทำไปด้วยเพราะมีผลประโยชน์แอบแฝงมากมาย เหมือนเรื่องการแก้ไขปัญหาชาวโรฮีนจาต่อหน้าก็บอกมาช่วยตามหลักมนุษยธรรม แต่ลับหลังอยากจะมาสอดส่องความเคลื่อนไหวของจีนในทะเลจีนใต้ เรียกว่าเป็นมิติความมั่นคงล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่น สหรัฐฯทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทนมีเสียที่ไหน
แต่ต้องที่มาเอาอกเอาใจไทย เพราะเริ่มเสียวสันหลัง หลังก่อนหน้านี้ช่วงที่สหรัฐฯ กระแทกกระทั้นไทยมากๆ ชาติมหาอำนาจคู่แข่งตัวเองเข้ามาจู๋จี๋กับไทยหวานชื่น ร่วมมือการทำรถไฟความเร็วสูง จีนช่วยเหลือหลายด้าน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรกรรมอย่างยางพาราและข้าว ชาติไหนจะไม่เข้าใจไทย แต่จีนเข้าอกเข้าใจไทยเสมอ ไม่ทอดทิ้ง ขืนยังเล่นตุกติกกับไทยไม่เลิกมีหวังผลักมิตรให้ไปอยู่กับศัตรู
ยิ่งในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สหรัฐฯและจีนกำลังคานอำนาจกัน การสูญเสียไทยไปเท่ากับทำให้สหรัฐฯกระอักเลือดได้เหมือนกัน เพราะเป็นหนึ่งในสองประเทศใหญ่ในอาเซียนที่เป็นพันธมิตรเก่าแก่ ลำพังแค่พันธมิตรเดิมยังรักษาไม่ได้ จะหวังไปหาพันธมิตรใหม่ไม่ต้องพูดถึง จบเห่ เรียบร้อยโรงเรียนจีนเรียบวุธ เลยต้องหันกลับมาอี๋อ๋อกับไทย เพื่อแย่งอิทธิพลกับจีน ซึ่งถ้าสหรัฐฯเดินตามแผนนี้ การจับไทยถ่วงน้ำอยู่ระดับเทียร์ 3 เหมือนเดิมไม่เป็นผลดีกับตัวเองแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
โอกาสที่ไทยจะหลุดพ้นจากห้วงเวลาอันเลวร้ายเทียร์ 3 เลยมีสูงขึ้น แต่กระนั้นก็ดี ปัญหาการค้ามนุษย์ทำแบบขอไปทีไม่ได้ เพราะตามรูปการณ์ “พล.ท. ม.” แม้จะตัวใหญ่ แต่ไม่ได้น่าจะใหญ่สุด น่าจะมีขบวนการที่รู้เห็นเป็นใจอีกพอสมควร เพราะมีกระแสว่าทำกันมานานตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วที่เริ่มมีนโยบายผลักดันชาวโรฮีนจา จนก่อกำเนิดให้เกิดช่องว่างในการแสวงหาผลประโยชน์
คิดจะแฉต้องเอาให้สุดซอย!!!