เอเจนซีส์/รอยเตอร์/MGR ออนไลน์ - เมื่อวานนี้ (8 พ.ค.) แกนนำ ส.ว.พรรคเดโมแครต ไดแอนน์ ไฟน์สไตน์ ออกโรงยัน นิโคล คุชเนอร์ เมเยอร์ (Nicole Kushner Meyer) หนึ่งในพี่น้องของลูกเขยสุดฉลาดของทรัมป์ “จาเรด คุชเนอร์” ใช้ช่องทางทับซ้อน บินออกอีเวนต์สุดสัปดาห์ในจีน โปรโมตหาเงินลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์คุชเนอร์ 1 โปรเจกต์สุดหวงของตระกูล กับบรรดามหาเศรษฐีปักกิ่ง เรียกอย่างน้อยคนละ 500,000 ดอลลาร์ อ้างเป็นฟาสต์แทร็กได้วีซ่ากรีนการ์ดเศรษฐี EB-5 ย้ายเข้าสหรัฐฯ ที่ดันเพิ่งต่ออายุ 1 วันจากทรัมป์ ก่อนหน้าอีเวนต์ประกาศขายโครงการสร้างอพาร์ตเมนต์จะเริ่มเปิดฉาก
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานเมื่อวานนี้ (8 พ.ค.) ว่า สว.สายเหยี่ยวพรรคเดโมแครต ไดแอนน์ ไฟน์สไตน์ (Dianne Feinstein) ออกแถลงในวันจันทร์ (8) ถึงข่าวอื้อฉาวเอี่ยวผลประโยชน์ทับซ้อนครอบครัวประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีบริษัท เดอะคุชเนอร์ คอมปานีส์ (the Kushner Companies) ของ จาเรด คุชเนอร์ ที่ปรึกษาระดับสูงประจำทำเนียบขาวของทรัมป์ และยังมีตำแหน่งลูกเขยอีกตำแหน่ง ใช้โครงการวีซ่ากรีนการ์ดเศรษฐี EB-5 ล่อหลอกบรรดามหาเศรษฐีชาวจีน ให้ทุ่มเม็ดเงินไม่ต่ำกว่าคนละ 500,000 ดอลลาร์ในการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์สร้างอพาทเมนต์สุดหรูในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ภายใต้ชื่อ “โครงการคุชเนอร์ 1” แลกกับการได้วีซ่า EB-5 ที่อนุญาตให้ทั้งครอบครัวสมารถอพยพเข้ามาอาศัยในอเมริกาเป็นเวลา 2 ปี
สื่อสหรัฐฯ ชี้ว่า ตัว จาเรด คุชเนอร์ นั้นนั่งคุมบริหารโปรเจกต์ตัวนี้จนกระทั่งเดือนมกราคมล่าสุด ที่ตามกฎหมายสหรัฐฯ ทำให้คุชเนอร์ ลูกเขยทรัมป์ ต้องยอมลาออกเพื่อแลกกับเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง ทำงานให้กับทรัมป์อย่างเต็มตัว
โดยวอชิงตันโพสต์พบว่า บริษัทของจาเรด คุชเนอร์ได้เคยจับมือทางธุรกิจร่วมกับอาณาจักรธุรกิจของทรัมป์ “ทรัมป์ ออร์แกไนเซชัน” (the Trump Organization) ในปี 2014 ได้ประโยชน์ตรงจากโครงการวีซ่ากรีนการ์ดเศรษฐี EB-5 ในการหาระดมเม็ดเงินลงทุนสำหรับโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทรัมป์ เบย์ สตรีท (Trump Bay Street) ในเมืองเจอร์ซีย์ ซิตี รัฐนิวเจอร์ซีย์ โดยได้รับเม็ดเงินร่วม 50 ล้านดอลลาร์ผ่านโครงการเงินวีซ่าEB-5 มาแล้ว
ทั้งนี้ นักข่าววอชิงตันโพสต์ที่ได้เข้าร่วมงานอีเวนต์ในช่วงสุดสัปดาห์ล่าสุดระบุว่า นิโคล คุชเนอร์ เมเยอร์ (Nicole Kushner Meyer) พี่น้องหญิงคลานตามมาของจาเรด คุชเนอร์ ที่คาดว่าอาจเป็นน้องสาว บินด่วนไปจีนด้วยตัวเอง และได้ขึ้นปรากฏตัวในงานอีเวนต์เชิญชวนการลงทุนโปรเจกต์คุชเนอร์ 1 สร้างอพาร์ตเมนต์คอมเพล็กซ์สุดหรูในรัฐนิวเจอร์ซีย์ที่ถูกจัดขึ้นทั้งในวันเสาร์ (6) และวันอาทิตย์ (7) ล่าสุด โดยสื่อ NBC NEWS รายงานเพิ่มเติมว่า งานอีเวนต์โปรเจกต์คุชเนอร์ 1 นั้นถูกจัดขึ้นในกรุงปักกิ่ง และเมืองเซี่ยงไฮ้ โดยรอยเตอร์เปิดเผยว่า พบว่ากองทัพนักข่าวถูกผู้จัดงานห้ามไม่ให้เข้าไปภายในงานอีเวนต์ในเมืองเซี่ยงไฮ้วันอาทิตย์ (7) ถูกจัดขึ้นภายในโรงแรมโฟร์ซีซัน โดยการ์ดบริเวณหน้าประตูได้กล่าวกับกลุ่มนักข่าวว่า “ขอโทษ เข้าไปไม่ได้ นี่เป็นงานส่วนบุคคล”
นอกจากทั้งสองเมืองแล้ว รอยเตอร์ระบุ โดยอ้างอิงจากข้อมูลของบริษัท อิมมิเกรชันจีนชี้ว่าจะมีการเปิดสายระดมทุนไปอีก 3 เมืองใหญ่ได้แก่ เสิ่นเจิ้น กว่างโจว และอู่ฮั่น
สำหรับการจัดงานทั้งสองเมืองใหญ่ในจีน สื่อสหรัฐฯอีกแห่งNBC NEWS ระบุว่า ออร์แกไนเซอร์ที่จัดงานคือ Qiaowai บริษัท อิมมิเกรชันจีนช่วยเหลือการเข้าเมือง และมี นิโคล คุชเนอร์ เมเยอร์ เป็นผู้ที่ออกมาแถลงเชิญชวนนักลงทุนชาวจีนด้วยตัวเอง โดยภายในงาน นักข่าวจากวอชิงตันโพสต์และนิวยอร์กไทม์สที่ได้เข้าร่วม ได้รายงานว่า มีภาพประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ รวมอยู่ในการแสดงสไลด์โชว์ภายในงาน โดยระบุว่า “ทรัมป์คือผู้ตัดสินใจคนสำคัญในโครงการวีซ่ากรีนการ์ดเศรษฐี EB-5”
แต่อย่างไรก็ตาม บริษัท คุชเนอร์ คอมปานีส์ อ้างในภายหลังว่า สไลด์โชว์รูปทรัมป์และข้อมูลวีซ่า EB-5 เป็นผลงานของบริษัท อิมมิเกรชันจีนแต่ผู้เดียว
รอยเตอร์รายงานโดยอ้างอิงจากข้อมูลของนักลงทุนชาวจีนที่ได้เข้าร่วมงาน ระบุว่า นิโคล คุชเนอร์ เมเยอร์ น้องสาวคุชเนอร์นั้นออกมาขึ้นพูดใช้เวลาแค่ 10 นาทีเท่านั้นก่อนที่จะให้คนอื่นๆ ในตระกูลที่ไม่มีใครรู้จักขึ้นกล่าวสลับในงาน
ทั้งนี้ จากข้อมูลในรายงานของสื่อขวาจัด ไบรท์บาร์ต (breitbart) ของจาเรด คุชเนอร์ ได้เคยรายงานเมื่อวันที่ 3 พ.ค ว่า โครงการวีซ่ากรีนการ์ดเศรษฐี EB-5 นั้นได้รับการต่ออายุออกไปจนถึงสิ้นสุดปีงบประมาณปีนี้ โดยผ่านการอนุมัติในวันพฤหัสบดี (4 พ.ค.) จากสภาล่างสหรัฐฯ ซึ่งการถูกต่ออายุออกไปนั้นโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาบังคับ ได้รวมอยู่ในกฎหมายงบประมาณประจำปีสหรัฐฯ ที่เรียกว่า FY 2017 omnibus appropriations bills ซึ่งสื่อเฟเดรัล นิวส์ เรดิโอ รายงานอ้างอิงวันที่ 5 พ.ค.ว่า สภาสูงสหรัฐฯ ได้ส่งร่างกฎหมายงบประมาณปี 2017 ไปยังทำเนียบขาวเพื่อส่งต่อให้ทรัมป์แล้ว
โดยพบว่า ทรัมป์ลงนามร่างกฎหมายงบประมาณประจำปีในวันศุกร์ (5 พ.ค.) หรือเกิดขึ้น 1 วันก่อนที่งานอีเวนต์ในจีนจะถูกจัดขึ้น
วอชิงตันโพสต์รายงานเพิ่มเติมต่อว่า ในงานอีเวนต์กรุงปักกิ่งที่ถูกจัดในวันเสาร์ (6 พ.ค.) ในโรงแรมสุดหรูระดับ 5 ดาวของโลก ริตซ์-คาลตัน (Ritz-Carlton) พบว่า มีการประกาศยืนยันอย่างหนักแน่นจากบนเวทีว่า ***เป็นการดีสำหรับนักลงทุนจีนที่จะทุ่มเงินในโครงการอสังหาริมทรัพย์อพาร์ตเมนต์สุดหรูนี้ยิ่งเร็วยิ่งดี ก่อนที่โครงการวีซ่ากรีนการ์ดเศรษฐี EB-5 อาจถูกเปลี่ยนแปลงไปในภายหลังภายใต้กฎใหม่ในสมัยชุดรัฐบาลทรัมป์*** ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ขึ้นกล่าวบนเวทีอีเวนต์ได้ประกาศเชิญชวนแกมบังคับว่า “ลงทุนแต่เนิ่นๆ และจะทำให้พวกคุณสามารถลงทุนภายใต้กฎเดิมที่คุ้นเคย”
ซึ่ง ฌอน สไปเซอร์ โฆษกประจำทำเนียบขาว จากการรายงานของ NBC NEWS ได้ออกมาเปิดเผยในการรายงานสรุปประจำวัน ยอมรับว่า ในขณะนี้โครงการวีซ่าประเภทต่างของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ที่รวมไปถึงวีซ่า EB-5 นั้นอยู่ในระหว่างการประเมินใหม่จากทำเนียบขาว
นอกจากนี้ วอชิงตันโพสต์ยังพบว่า บนโบรชัวร์ที่ถูกแจกจ่ายภายในงานอีเวนต์ระดมทุนนี้ระบุ ชี้ถึงการใช้ประโยชน์จากโครงการวีซ่า EB-5 ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เพื่อผลประโยชน์ของบริษัทส่วนตัวของลูกเขยทรัมป์อย่างชัดเจน จากการอ้างในข้อความที่กล่าวว่า “ลงทุนแค่ 500,000 ดอลลาร์ และอพยพเข้าสหรัฐฯ ทันที”
ทั้งนี้ ในการขึ้นพูดของคนในตระกูลคุชเนอร์ สื่อวอชิงตันโพสต์เผยว่า มีการแนะนำบนเวทีกับบรรดานักลงทุนว่า “นิโคล คุชเนอร์ เมเยอร์” เป็นพี่น้องหญิงของจาเรด คุชเนอร์ นอกเหนือจาก ดาร่า (Dara) โดยรอยเตอร์รายงาน อ้างจากสื่อหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สที่ได้รายงานถึงคำกล่าวของเมเยอร์ ยอมรับต่อหน้านักลงทุนราว 100 คนในที่นั้นว่า “โครงการนี้มีความหมายกับดิฉันมากและต่อทั้งครอบครัวของดิฉัน”
โดยในงานพบว่า ทางบริษัท คุชเนอร์ คอมปานีส์ ต้องการเงินลงทุนราว 150 ล้านดอลลาร์ หรือราว 15.4% เพื่อเป็นเม็ดเงินให้กับโครงการคุชเนอร์ 1 ที่คาดว่าจะมาจากนักลงทุนต่างแดนผ่านช่องทางโครงการวีซ่ากรีนการ์ดเศรษฐี EB-5
และทำให้สื่อวอชิตันโพสต์ระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า อีเวนต์ที่ถูกจัดขึ้นในจีนช่วงสุดสัปดาห์ล่าสุดนี้ แสดงถึงการมีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจนระหว่างธุรกิจส่วนตัวของจาเรด คุชเนอร์ และตำแหน่งของเขาประจำทำเนียบขาว โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับจีน ซึ่งสื่อสหรัฐฯ ชี้ว่า “คุชเนอร์กลายเป็นช่องทางด่วนทางการทูต” ระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่และปักกิ่ง
หนึ่งในผู้เข้าร่วมงานระดมทุน โซฟี ซิง (Sophie Xing) ออกมายอมรับกับรอยเตอร์อย่างเปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เธอยอมเข้าร่วมงานในวันอาทิตย์ (7 พ.ค.) คือ เป็นการลงทุนในนามของบริษัท คุชเนอร์ คอมปานีส์ และพี่น้องหญิงของลูกเขยทรัมป์จะมาปรากฏตัวในงานอีเวนต์ที่เมืองเซี่ยงไฮ้
ซิงกล่าวว่า “ดิฉันไม่ทราบว่าเขาและเธอสนิทกันมากเพียงใด แต่รู้สึกได้เลยว่าเป็นโปรเจกต์ที่น่าสนใจ” และกล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวแทนทางบริษัทลูกเขยทรัมป์ออกมาประกาศอย่างเปิดเผยถึงข่าววงในว่า เงื่อนไขระบบวีซ่า EB-5 นั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากสิ้นเดือนกันยายนนี้ไปแล้ว โดยอาจมีการเพิ่มระดับเงินลงทุนให้สูงขึ้นเพื่อจะได้วีซ่านี้มาครอบครอง
สอดคล้องกับความกังวลของนักลงทุนจีนอีกคนถึงความเปลี่ยนแปลง Liu Guoqi ได้กล่าวในงานวันอาทิตย์ (7 พ.ค.) ว่า “ทุกสิ่งอาจถูกเปลี่ยนแปลงภายในช่วงปลายปีนี้ ดังนั้นพวกเรารู้สึกได้เลยว่า ไม่มีเวลามากแล้ว”
ในขณะที่ผู้เข้าร่วมงานในวันเสาร์ (6 พ.ค.) หวัง ยุน (Wang Yun) ได้ออกมาให้ความเห็นกับวอชิงตันโพสต์ว่า การที่ครอบครัวคุชเนอร์นั้นมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับทรัมป์นั้นยิ่งทำให้โปรเจกต์นี้มีความน่าดึงดูดเป็นอย่างมาก “ถึงแม้ว่าโครงการนี้จะเป็นของตะกูลลูกเขย แต่แน่นอนต้องมีความเกี่ยวข้อง” หวังกล่าว
และทำให้สื่อ NBC NEWS ได้ลงความเห็นของริชาร์ด เฟนเตอร์ (Richard Painter) อดีตที่ปรึกษาด้านจริยธรรมประจำทำเนียบขาว อดีตทนายความประจำตัวให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ พรรครีพับลิกัน จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และปัจจุบัน ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายประจำมหาวิทยาลัยมินเนโซตา ที่ได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า “นี่ถือเป็นการคอร์รัปชันที่แน่นอน และไม่ซับซ้อน”
แต่ทว่า วันจันทร์ (8 พ.ค.) สไปเซอร์ กระบอกเสียงทรัมป์ประจำทำเนียบขาวได้ออกมาอ้าง โดยแก้ตัวว่า “คุชเนอร์ ที่ได้ปลีกตัวออกมาจากอาณาจักรธุรกิจของเขาแล้วนั้น ***ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ*** ต่องานอีเวนต์เชิญชวนนักลงทุนล่าสุด” ในขณะที่ส่วนของเมเยอร์ ได้กล่าวผ่านโฆษกประจำตัวว่า เธอรู้สึกเสียใจหากจะมีใครตีความในทางที่ผิดถึงการที่เธอได้เอ่ยพาดพิงไปถึง จาเรด คุชเนอร์ ในงานอีเวนต์
เพนเตอร์และกลุ่มจับตาด้านจริยธรรมอื่นๆ ต่างออกมายืนยันว่า นี่เป็นอีกตัวอย่างถึงเส้นคาบเกี่ยวในชุดรัฐบาลทรัมป์ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเพนเตอร์ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า ถึงแม้ว่า จาเรด คุชเนอร์ ลูกเขยทรัมป์ จะไม่มีส่วนข้องเกี่ยวหรือรับรู้ แต่ทว่าบริษัท “ไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้ชื่อของเขา” ในทางประชาสัมพันธ์ และรวมไปถึงใช้รูปของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกอบในความพยายามเพื่อจะเรียกเงินระดมทุนสำหรับธุรกิจครอบครัวของตัวเอง
ทั้งนี้ เพนเตอร์ให้ความเห็นต่อว่า ในทางที่ดีที่จะไม่มีปัญหาต่อผลประโยชน์ทับซ้อน อดีตที่ปรึกษาด้านจริยธรรมประจำทำเนียบขาวระบุว่า บริษัทของตระกุลคุชเนอร์และรวมไปถึงอาณาจักรธุรกิจทรัมป์ต้องยอมถอนตัวออกจากโครงการวีซ่ากรีนการ์ดเศรษฐี EB-5 ของรัฐบาลสหรัฐฯ เสีย
อย่างไรก็ตาม สำหรับไฟน์สไตน์ ส.ว.หัวแข็งจากพรรคเดโมแครต ที่ไบรบาร์ต สื่อของจาเรด คุชเนอร์ เคยระบุว่าเป็นตัวตั้งตัวตีเพื่อล้มโครงการวีซ่า EB-5 ซึ่งพบว่าไฟน์สไตน์ที่ได้เคยประกาศว่า โครงการวีซ่าฉาวนี้เป็นช่องทางฉ้อฉล ที่ถูกบรรดาบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อเมริกาใช้เป็นช่องทางหาผลประโยชน์เพื่อระดมเม็ดเงินลงทุนให้กับเมกะโปรเจกต์ในส่วนที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา
โดย ส.ว.รัฐเดโมแครตผู้นี้ได้ประกาศในวันจันทร์ (8 พ.ค.) หลังมีรายงานข่าวการจัดอีเวนต์ของบริษัทจาเรด คุชเนอร์ในจีนออกมาว่า “นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจน พร้อมกับเรียกร้องให้มีการล้มเลิกโครงการวีซ่ากรีนการ์ดเศรษฐี EB-5” และชี้ต่อว่า ในการที่จะทำให้ผลประโยชน์ทับซ้อนหมดไปนั้น มีทางเดียวคือต้องยุติโครงการนี้เมื่อกำหนดระยะเวลาของโครงการจะสิ้นสุดลงอีกครั้งในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มต้นปี 2017 ส.ว.ไฟน์สไตน์จับมือร่วมกับ ส.ว.พรรครีพับลิกันจากรัฐไอโอวา ชาร์ลส์ อี. กราซเลย์ (Charles E. Grassley) ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีทรัมป์ ยกเลิกการเสนอวีซ่า EB-5 โดยในวันเดียวกัน (8 พ.ค.) เขาได้ออกแถลงการณ์ด่วนระบุว่า โครงการวีซ่า EB-5 นั้นต้องถูกยกเลิก หรือไม่ก็ถูกปรับปรุงครั้งมโหฬาร ซึ่งวอชิงตันโพสต์ชี้ว่า ในช่วงที่ไฟน์สไตน์ออกมาเรียกร้องช่วงต้นปี สมาชิกสภาคองเกรสคนอื่นๆ ได้เสนอรวมตัวให้มีการแก้ไขครั้งใหญ่ ที่รวมไปถึงการปรับให้ระดับเงินลงทุนขั้นต่ำเพื่อจะได้วีซ่านี้มาครอบครองต้องไม่ต่ำกว่า 1.3 ล้านดอลลาร์