ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ฉับพลันที่ ดร.อู้-“สมชัย สัจจพงษ์” อธิบดีกรมสรรพากร ยกธงขาวตัดสินใจยื่นใบลาออกจาก “ประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล” ชื่อของ “พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” รองแม่ทัพภาคที่ 1 ลูกชายของ “บิ๊กจ๊อด-พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์” ก็โผล่พรวดขึ้นมาเป็น “ตัวเต็ง” ในเก้าอี้ในทันที ราวกับว่า มีการกำหนดตัวเอาไว้ล่วงหน้าอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอน สิ่งที่สังคมสงสัยมี 2 ประเด็น
หนึ่ง-สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นดินแดนอาถรรพ์หรืออย่างไร ทำไมจู่ๆ ดร.สมชัย สัจจพงษ์ถึงถอดใจเอาเสียดื้อ และอะไรเป็นสาเหตุที่ของการตัดสินใจครั้งนี้
สอง-การปรากฏข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จะเลือกใช้ของขุนทหารอย่าง พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ย่อมเป็นสิ่งที่สอดรับกับการลาออกของ ดร.สมชัยว่า ปัญหาในสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้นเป็นเรื่องที่ “ไม่ธรรมดา” ซึ่ง “คนธรรมดา” ไม่สามารถเข้าไปแก้ไขได้ ใช่หรือไม่
และคำตอบในเรื่องนี้ก็เป็นไปอย่างที่สังคมตั้งข้อสงสัยจริงๆ
กล่าวคือ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลมิเพียงเป็นดินแดนอาถรรพ์จริงๆ เท่านั้น หากแต่ยังเป็นดินแดนแห่งประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่จะแก้ไขกันง่ายๆ และจำเป็นที่จะต้องใช้ “คนไม่ธรรมดา” ที่มีบารมีเพียงพอเข้ามาแก้ไข ดังที่อดีตประธานบอร์ดกองสลากให้เหตุผลอย่างเป็นทางการต่อการยื่นใบลาออกเอาไว้ว่า “การตัดสินใจลาออก เพื่อเปิดทางให้ผู้ที่อื่นเข้ามาแก้ปัญหาสลากแทน เพราะที่ผ่านมาพยายามใช้หลายมาตรการแก้ปัญหา แต่ยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้ แม้จะรู้สึกพอใจกับผลงาน 8-9 เดือนที่ผ่านมาแต่เมื่อเข้ามาทำงานถึงจุดหนึ่งปัญหายังไม่คลี่คลาย ราคาสลากยังแพงเหมือเดิม ผลงานยังไม่เป็นที่พอใจของประชาชน ดังนั้นควรจะหลีกทางเพื่อให้คนอื่นมาทำแทน การแก้ปัญหาสลากน่าจะต้องใช้แนวทางที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นคงใช้อำนาจของข้าราชการพลเรือนไปแก้ไขได้ลำบาก ดังนั้นคงต้องให้ผู้มีบารมีเข้ามาทำแทน ถ้าเป็นไปได้อยากเห็นทหารเข้ามาทำหน้าที่แทน เพื่อให้แก้ปัญหาเป็นไปอย่างเบ็ดเสร็จ โดยยืนยันว่าไม่ได้ลาออกเพราะถอดใจกับการแก้ปัญหาสลาก”
กล่าวสำหรับปัญหาในสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้น ต้องถือว่าเป็นปัญหาที่สร้างรอยด่างพร้อยให้กับ คสช.โดยเฉพาะตัว พล.อ.ประยุทธ์ค่อนข้างมาก เพราะเป็นนโยบายแรกๆ ที่ประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่า จะเข้ามาจัดการแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาให้จงได้ โดยจะทำให้ขายในราคาที่เขียนไว้หน้าสลากคือใบละ 40 บาทหรือคู่ละ 80 บาท แต่จนแล้วจนเล่า ผ่านการรัฐประหาร ผ่านการจัดตั้งรัฐบาลมาเป็นจนจะขวบปี ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ( คสช.) มีคำสั่งแต่งตั้งบอร์ดสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล “มากับมือ” เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2557 มีทั้งหมด 9 คน และมีที่แต่งตั้งมาพร้อมกับนายสมชัยอีก 3 คน คือ พล.ต.สราวุธ กาพย์เดโช กรรมการ, นายพรศักดิ์ ศรีณรงค์ กรรมการ และนายชัยพร ธรรมพีร กรรมการ ที่เหลือเป็นผู้แทนโดยตำแหน่งจากหน่วยงานต่างๆ 4 คน คือ จากกระทรวงมหาดไทย กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย และอีก 1 คน เป็นผู้อำนวยการสำนักงานสลากฯ ที่เป็นกรรมการ
แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถบรรลุภารกิจหรือเป้าประสงค์ที่ได้รับมอบหมายได้ดังที่นายสมชัยให้เหตุผลประกอบการลาออกไว้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็คือ โดยปกติแล้วตำแหน่งประธานสลากฯ ตาม “พระราชบัญญัติสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517” ระบุให้ปลัดกระทรวงการคลังเป็นโดยตำแหน่ง แต่สามารถมอบหมายให้ผู้บริหารกระทรวงการคลังคนอื่นไปทำหน้าที่แทนได้ หมายความว่า ไม่สามารถสามารถมอบอำนาจให้คนนอกกระทรวงมาทำหน้าที่นี้แทนได้ ดังนั้น ถ้าหากรัฐบาลต้องการใช้บริการ พล.ต.อภิรัชต์ดังที่ปรากฏเป็นข่าวหรือนายทหารคนอื่น ก็จำต้องอาศัยกฎหมายพิเศษ ซึ่งนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้แบไต๋ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า สามารถใช้ “มาตรา 44” ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ดำเนินการได้
และสอดรับกับที่ นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์เอาไว้ชัดเจนว่า “ตอนนี้อาจจำเป็นต้องใช้ยาแรงในการแก้ปัญหาของสำนักงานสลากฯ การใช้มาตรา 44 คงเป็นทางเลือกที่ดีในขณะนี้ได้ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามเจตนารมณ์ของนายกฯ ที่ต้องการดูแลให้ประชาชนสามารถซื้อสลากฯ ได้ในราคาที่เป็นธรรมคือ 80 บาทภายในเดือนมิถุนายนนี้”
เรียกว่าโยนหินก้อนมหึมาถามทางตั้งแต่ไก่โห่กันเลยทีเดียว
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังแจ้งว่า สาเหตุที่รัฐบาลตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล อันเป็นสาเหตุให้นายสมชัยลาออก ซึ่งก็ตรงกับความประสงค์ของเจ้าตัวนั้น เป็นเพราะต้องการจัดการปัญหาการขายสลากฯ เกินราคาอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อสลากฯ ได้ในราคาที่กำหนดไว้คู่ละ 80 บาท รวมทั้งจัดสรรโควตาใหม่ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องการยกเลิกโควตา 5 เสือ โดยเฉพาะสลากฯ การกุศลที่หมดสัญญาในเดือนกรกฎาคมนี้กว่า 22 ล้านฉบับ
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังยังเล็ดลอดออกมาด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมจะประกาศใช้มาตรา 44 ในการแก้ปัญหาสลากแพงด้วยการเพิ่มรายได้ให้ผู้ค้าสลากรายย่อยจากเดิมได้รับเพียงใบละ 5.60 บาท เพิ่มเป็น 10-15 บาท
ถามว่า ทำไมต้องเป็น พล.อ.อภิรัชต์
ก็ต้องตอบว่า เป็นนายทหารที่ได้รับความไว้วางใจจาก พล.อ.ประยุทธ์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับกองทัพที่ได้รับการเลื่อนจากอดีตผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมได้รับแต่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) อีกด้วย
ที่สำคัญคือ ที่ผ่านมาก็ได้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาให้รัฐบาลในหลายๆ เรื่อง ที่เห็นชัดเจนก็คือการจัดระเบียบวินมอเตอร์ไซค์ เป็นต้น
ทั้งนี้ แม้ในเบื้องต้น พล.ต.อภิรัชต์จะปฏิเสธว่า “ไม่ทราบเรื่อง ขณะนี้ไม่มีผู้ใดติดต่อเข้ามาและไม่ทราบว่า มีข่าวดังกล่าวออกมาได้อย่างไร” แต่ก็มิได้หมายความว่า สุดท้ายแล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ใช่บริการ พล.ต.อภิรัชต์เสียเมื่อไหร่
ความน่าสนใจของ พล.ต.อภิรัชต์ ก็คือเป็นนายทหารจากสาย “วงศ์เทวัญ” ที่ “บูรพาพยัคฆ์” ไว้ใจมาก ทั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบกที่เวลานี้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโดยเฉพาะ “พี่ตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้การส่งเสริมและสนับสนุน “น้องแดง” มาโดยตลอด
ก็พี่ตู่คนนี้แหละที่พาน้องแดงขยับจากผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 15 (ผบ.มทบ.15) จ.เพชรบุรีเป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1
ดังนั้น คงไม่ผิดอะไรถ้าสุดท้ายแล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะเลือก พล.ต.อภิรัชต์
ยิ่งเมื่อจับสัญญาณการให้สัมภาษณ์ล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ถึงความคืบหน้าการใช้มาตรา 44 ในการพิจารณาแต่งตั้งประธานบอร์ดกองสลากกินแบ่งรัฐบาลคนใหม่ ก็ยิ่งชัดเจน
“เมื่อผมพร้อม ข้างล่างเสร็จ ผมก็จะเซ็นแต่งตั้ง ซึ่งตอนนี้ได้สั่งการลงไปแล้ว และขณะนี้มีรายชื่อบุคคลที่จะเข้ามาเป็นประธานบอร์ดคนใหม่หลายร้อยชื่อ กำลังคัดเลือกอยู่ ต้องดูรายละเอียดการทำงานกัน ไม่ใช่เอาแต่พวก เอาแต่ตระกูล หรือบูรพาพยัคฆ์ตามที่สื่อชอบเขียนออกมา”
พล.อ.ประยุทธ์ออกตัวให้เสร็จสรรพว่า ไม่ได้มีแต่บูรพาพยัคฆ์
เมื่อถามว่ามีชื่อของ พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 สมาชิก สนช.เป็นประธานบอร์ดกองสลากคนใหม่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็มีชื่อทั้งพลตรี พลโท พลเอก ผมก็เตรียมเอาไว้ แล้วชื่อเขาเป็นอย่างไรเหรอ น่ารังเกียจหรืออย่างไร ถ้าไม่น่ารังเกียจก็จบ ใครก็ได้”
ที่น่าสนใจคือ พล.อ.ประยุทธ์ขยายความเอาไว้โดยสังเขปให้เป็นที่เข้าใจว่า ประธานบอร์ดคนใหม่นั้น ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นทหาร ถ้าพลเรือนทำได้ ตนก็ตั้งพลเรือน ถ้าไม่ได้ก็ต้องเป็นทหารเท่านั้นเอง และไม่ใช่ว่าตนเองจะไว้ใจทหารมากกว่าพลเรือน แต่ที่ผ่านมาตั้งตำแหน่งประธานบอร์ดต่าง ๆ มาจากระดับอธิบดี ตนเองก็เป็นคนตั้ง แต่เมื่อเขารับปากว่าจะทำให้ แต่ไปไม่ไหวเพราะมีปัญหามากก็คงต้องให้ทหารทำ ซึ่งคนที่จะมาทำหน้าที่ต้องมีคุณสมบัติคือ ซื่อสัตย์ โปร่งใส และทำให้ได้ ทำให้ประชาชนพึงพอใจ เพราะได้ประกาศชัดเจนแล้วว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลต้องมีราคา 80 บาท ก็ต้องทำให้ได้ การตั้งคนขึ้นมาก็เพื่อให้เข้าไปขับเคลื่อนและแก้ปัญหา ไม่ได้เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์หรือเข้าไปต่อทอดอำนาจของตน ซึ่งตั้งใจว่างวดเดือน มิ.ย.นี้ จะลองทำให้อยู่ที่ราคา 80 บาทให้ได้ก่อน ถ้าไม่ได้ก็ต้องมีเปลี่ยนแปลง ใครโกงใครทุจริตก็ติดคุก
งานนี้ ฟันธงร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า ชื่อประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลคนใหม่คือ พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ภารกิจของ พล.ต.อภิรัชต์ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนดังปลอกกล้วยเข้าปาก เพราะถ้าง่ายคงทำสำเร็จไปเนิ่นนานแล้ว ทว่า เป็นภารกิจระดับสงครามติดดาบปลายปืนกันเลยทีเดียว เนื่องจากทุกคนรู้ดีว่า มาเฟียกองสลากนั้นไม่ธรรมดา ขณะที่ระบบการซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลก็ถูกบริหารจัดการโดย “5 เสือกองสลาก” ทั้งหมดจนแทบไม่มีช่องว่าง
ข้อมูลการจัดสรรโควตาสลากที่สำนักงานแจกแจงต่อสาธารณชนมาโดยตลอดมีอยู่ว่า สลากที่จัดพิมพ์ในแต่ละงวดจะถูกกระจายลงไปยังผู้ค้า 3 กลุ่มคือ 1.กลุ่มผู้ค้าสลากรายย่อยประมาณ 70% 2.สมาคม มูลนิธิ และองค์กรการกุศลต่างๆ 12% และ 3.ห้างหุ้นส่วนและนิติบุคคลประมาณ 18%
ทั้งนี้ ผู้ค้ารายย่อยที่มีโควตาตรงกับกองสลากราว 30,000 คนนั้น กลุ่มนี้จะได้ส่วนลดราคาจำหน่ายจากสำนักงานฯ 7% หรือต้นทุนคู่ละ 74.40 บาท เช่นเดียวกับสมาคม มูลนิธิ องค์กรการกุศลต่างๆ ขณะที่นิติบุคคลจะได้รับส่วนลดในการจำหน่าย 9% หรือต้นทุนคู่ละ 72.82 บาท แต่เมื่อสลากเหล่านี้ถูกส่งผ่านไปยังผู้ค้ารายย่อย หรือถูกส่งผ่านจากเอเย่นต์ไปยังยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ไปจนถึงมือคอหวยผู้บริโภคราคากลับพุ่งพรวดไปถึงคู่ละ 100-120 บาท
เกี่ยวกับการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ความจริงมีการแย้มข้อมูลออกมาจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ชัดเจนพอสมควร นั่นคือการเกลี่ยโควตาสลากใหม่และการแก้กฎหมายเพื่อให้รัฐสามารถรับซื้อคืนสลากฯ ที่ขายไม่หมดได้
พล.อ.ประยุทธ์พูดชัดว่า “ปัญหาของเราคือข้างล่างเมื่อขายไม่หมดก็ไม่มีเงินที่จะรับซื้อรัฐมีเงินรับซื้อคืนแต่กฎหมายไม่มีก็ต้องไปแก้กฎหมายให้สามารถรับซื้อคืนได้จากรายย่อย ที่ผ่านมาผู้ค้ารายย่อยเมื่อซื้อไปขายแล้วขายไม่หมดคืนก็ไม่ได้ง่ายที่สุดก็คือขายคืนไปที่กลุ่ม 5 เสือ กลุ่ม 5 เสือก็มาตั้งราคาใหม่แล้วขายออกไปก็เกินฉบับละ 80 บาททั้งหมด ดังนั้น เร็วๆ นี้ก็จะมีคำสั่งใหม่ออกมา โดยมีกฎหมายรองรับว่ารัฐสามารถที่จะรับซื้อคืนจากผู้ค้ารายย่อยได้ แต่จะไม่สามารถไปขายคืนกลับให้ 5 เสือได้แล้ว จะต้องมีการปั๊มให้เรียบร้อยเพื่อรู้ว่าเป็นของใคร พวกพ่อค้าปลีก สมาคม ผู้พิการถ้ามีการเอาไปขายคืนก็ต้องยึดโควตาคืนคนต้องรักษากติกา คำสั่งที่กำลังจะออกมาใหม่ก็ให้มีการดำเนินการไปตามนี้”
“แล้วถ้าสามารถพิจารณาจำนวนโควตาสลากเกลี่ยใหม่ ส่วนไหนที่หมดแล้วก็เอามาเกลี่ยใหม่และทำให้ชัดเจนมากขึ้น มีการจ่ายสลากสองที่คือส่วนกลางที่กรุงเทพ ซึ่งเป็นหน้าที่กองสลาก และต่างจังหวัดให้ผู้ว่าราชการกระจายต่อโดยมีทหารและพลเรือนไปช่วยกัน เมื่อต้นทางราคามีมาตรฐานเดียวกัน และสลากสามารถขายคืนกลับได้ และหากสลากต่างจังหวัดมีคนเอามาขายในกรุงเทพก็จะต้องสอบสวนว่าใครเอามาขายต้องถูกลงโทษโดยการยกเลิกและติดคุก แล้วถ้าคิดว่าสลากมีปัญหาก็อย่าไปซื้อ เรื่องแบบนี้ผมคิดมานานแล้วแต่ทำไม่ได้สักที”
พล.ต.อภิรัชต์จะทำได้หรือไม่?
อีกไม่นานคงรู้กัน