**จากการยอวาทีในการอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญฉบับ“บวรศักดิ์”และคณะ มีการพูดถึง“สิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ”ไว้อย่างสวยหรู ถึงขนาดทำเป็นจุลสารเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ วาดฝันไว้อย่างสวยงามว่า“สร้างพลเมืองเป็นใหญ่”
ในขณะที่กำลังมีการดำเนินนโยบายตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐธรรมนูญเขียนอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง“การจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรม และการคุ้มครองสิทธิชุมชน”
นับตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์ เข้าบริหารประเทศ นอกจากมีการออกประทานบัตร (ทำเหมืองแร่) โครงการเหมืองแร่โปแตช ให้กับบริษัทเหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด (มหาชน) ที่มหาเศรษฐรอันดับหนึ่งของไทยถือหุ้นใหญ่เป็นรายที่สอง รองจากกระทรวงการคลัง ภายใน 7 เดือน หลังการรอคอยมายาวนานเกือบ 30 ปีแล้ว
ยังมีการพิจารณาเพื่อออกประทานบัตร (ทำเหมืองแร่) อีก 2 โครงการ คือ โครงการเหมืองแร่โปแตช ที่ อ.เมืองฯ และ อ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 26,446 ไร่ ในพื้นที่ ต.หนองไผ่ ต.หนองขอนกว้าง อำเภอเมืองฯ ต.นาม่วง ต.ห้วยสามพาด อ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี
โดยมีความพยายามที่จะดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2527 ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมในขณะนั้น ได้ลงนามในสัญญาให้สิทธิสำรวจแร่โปแตช แก่บริษัทเอเชีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (APPC)และต่อมาได้ยื่นขอประทานบัตร ในวันที่ 27 พ.ค. 46 (ยุคทักษิณ) แต่ถูกคัดค้านจากราษฎรและเอ็นจีโอ ยืดเยื้อจนมีการร้องเรียนต่อเนื่องในหลายรัฐบาล
กระทั่งในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ปี 2553 ได้มีการออกมติครม. ตีกลับ พ.ร.บ.แร่ เนื่องจากขัดรัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 67 ว่าด้วยเรื่องการคุ้มครองสิทธิชุมชน ก่อนจะออกมติครม.วันที่ 8 ก.พ. 54 ชะลอการขยายพื้นที่ใหม่ หรือการออกประทานบัตรจนกว่าจะได้ข้อสรุปความคุ้มค่า และผลกระทบสิ่งแวดล้อมและประชาชน
ที่น่าสนใจคือ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบโครงการผ่านความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในวันที่ 20 มกราคม 2557 ยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำรัฐประหาร ถีบยิ่งลักษณ์ลงจากอำนาจ กำลังจะมาสานต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยอาจลืมคำนึงถึงผลกระทบต่อชาวบ้าน โดยอ้างรายได้ว่า ผลประโยชน์ที่รัฐจะได้ ตลอดโครงการ 25 ปี ประกอบด้วย ค่าภาคหลวง 7 % เป็นเงิน 28,768.67 ล้านบาท ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษแก่รัฐ รวม 8,476.5 ล้านบาท เงินกองทุน 5,461 ล้านบาท รวม 42,7062 ล้านบาท
**ดูแล้วเหมือนจะเยอะ แต่ถ้าคิดอย่างละเอียดจะพบว่า การขุดทรัพยากรธรรมชาติที่ยกให้เอกชนยาวนาน 25 ปี กับผลตอบแทนที่ได้รับกลับมา 42,706.62 ล้านบาทนั้น เฉลี่ยแล้วรัฐได้ผลตอบแทนเพียงแค่ปีละ 1,708.2648 ล้านบาท เท่านั้น
แต่ผลกระทบที่จะเกิดต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าจะจัดการได้อย่างเรียบร้อยไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนตามที่กล่าวอ้างมีมากมายมหาศาล อาทิ
1) ผลกระทบต่อเกษตรกรรมและวิถีชีวิตชุมชนท้องถิ่นจากการขยายตัวของดินเค็มจากกองเกลือ 2) ผลกระทบต่อสุขภาพจากมลพิษขณะทำ เหมือง ฝุ่นเกลือ ฯลฯ และคณุภาพสิ่งแวดล้อมที่จะเปลี่ยนไปในระยะยาว 3) ความเสี่ยงจากดินทรุด เหมืองถล่ม อุบัติเหตุจากการทำเหมือง
4) ความเสี่ยงจากการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง5) ความเสี่ยงของชุมชนจากกฎหมายรองรับการทำเหมืองใต้ดินที่อยู่ลึกเกิน 100 เมตร โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากเจ้าของที่ดิน 6) ความเสี่ยงจากการทิ้งกากของเสียอันตรายจากอุตสาหกรรม
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ บริษัท APPC หรือ บริษัทเอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด นั้น มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดคือ “บริษัท สินแร่ เหมืองไทย จำกัด” โดยลงทุนเป็นเงิน 74,999,200 บาท คิดเป็น 74.999 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และยังมี บริษัทไวดีเมียร์ จำกัด ร่วมลงทุน 15 ล้าน ครอบครองหุ้น 15 % จากทุนจดทะเบียนทั้งหมด 100 ล้านบาท
เหตุผลที่ยกสองบริษัทนี้ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เพราะทั้งสองบริษัทเป็นของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นจะพบว่า อีตาเลียนไทย คือเจ้าของที่แท้จริงของ บริษัทเอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพราะครอบครองหุ้นจากสองบริษัท คือ บริษัทสินแร่ เหมืองไทย จำกัด กับ บริษัทไวดีเมียร์ จำกัด รวม 89 % จากทุนจดทะเบียนทั้งหมด 100 ล้านบาท
**หลังจากที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีการอนุมัติอาชญาบัตรให้สำรวจแร่ เพื่อรอการออกประทานบัตร (ทำเหมืองแร่) ทำให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทอิตาเลียนไทยพุ่งสูงขึ้น เกือบ 40 %
ส่วนอีกโครงการหนึ่งที่จ่อรอรับประทานบัตรเหมืองแร่โปแตช คือ บริษัท ไทยคาลิ จำกัด ที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ครอบคลุมเนื้อที่ 9,005 ไร่ ประกอบด้วย ต.หนองบัวตะเกียด ต.หนองไทร ต.โนนเมืองพัฒนา อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา โดยมีการยื่นขอประทานบัตรตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. 55 (ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์) และผ่านรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในวันที่ 4 มี.ค. 57 ซึ่งอยู่ในยุคยิ่งลักษณ์เช่นเดียวกัน แต่ที่น่าแปลกประหลาดคือ เมื่อรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มาสานต่อ กลับไม่มีการดำเนินการตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม โดยการรับฟังความเห็นดำเนินการตาม พ.ร.บ.แร่ (ฉบับที่ 5) มาตรา 88/7 ที่ให้อำนาจรัฐมนตรี เป็นผู้วินิจฉัยให้ได้ข้อยุติเรื่องการรับฟังความเห็นชาวบ้านแทน
**โดยผลประโยชน์ที่รัฐคาดว่าจะได้รับตลอดโครงการประกอบด้วย ค่าภาคหลวง 7 % เป็นเงิน 1,700.65 ล้านบาท ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษแก่รัฐรวม 207.9 ล้านบาท และเงินกองทุน 366 ล้านบาท รวม 25 ปี รัฐได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นเงิน 2,274.55 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 90.982 ล้านบาทเท่านั้น
หากมีการออกประทานบัตรเหมืองแร่โปแตชอีกสองแห่ง รวมเป็นสามแห่ง ต่อให้รัฐธรรมนูญใหม่เขียนคุ้มครองสิทธิชุมชนไว้สวยหรูแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย เพราะดำเนินการก่อนที่รัฐธรรมนูญจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งความจริงแล้วน่าจะขัดกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้"
ซึ่งการคุ้มครองสิทธิชุมชน มีการกำหนดไว้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 40 และต่อยอดให้เข้มข้นขึ้นในรัฐธรรมนูญปี 50 รวมใช้มาแล้ว 17 ปี ก่อนที่จะมีการฉีกรัฐธรรมนูญปี 50 จึงถือเป็นประเพณีการปกครองที่รัฐบาลต้องดำเนินการตามแนวทางของ มาตรา 67 แห่งรัฐธรรมนูญปี 50 ไม่ใช่ใช้ พ.ร.บ.แร่ ฉบับที่ 5 มาชี้แจงโครงการ และใช้อำนาจรัฐมนตรี เป็นผู้หาข้อยุติในการรับฟังความเห็นประชาชน ดังเช่นที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ดำเนินการอยู่ในขณะนี้
**ดังนั้น บรรดาสิทธิชุมชนที่ได้รับความคุ้มครองมากมายในร่างรัฐธรรมนูญของ บวรศักดิ์ จะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง เพราะกว่าจะมีผลบังคับใช้ ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศก็คงถูกสัมปทานไปก่อน
**ไม่ทราบว่า กรรมาธิการยกร่างฯ เห็นความจริงข้อนี้บ้างหรือไม่
ในขณะที่กำลังมีการดำเนินนโยบายตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐธรรมนูญเขียนอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง“การจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรม และการคุ้มครองสิทธิชุมชน”
นับตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์ เข้าบริหารประเทศ นอกจากมีการออกประทานบัตร (ทำเหมืองแร่) โครงการเหมืองแร่โปแตช ให้กับบริษัทเหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด (มหาชน) ที่มหาเศรษฐรอันดับหนึ่งของไทยถือหุ้นใหญ่เป็นรายที่สอง รองจากกระทรวงการคลัง ภายใน 7 เดือน หลังการรอคอยมายาวนานเกือบ 30 ปีแล้ว
ยังมีการพิจารณาเพื่อออกประทานบัตร (ทำเหมืองแร่) อีก 2 โครงการ คือ โครงการเหมืองแร่โปแตช ที่ อ.เมืองฯ และ อ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 26,446 ไร่ ในพื้นที่ ต.หนองไผ่ ต.หนองขอนกว้าง อำเภอเมืองฯ ต.นาม่วง ต.ห้วยสามพาด อ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี
โดยมีความพยายามที่จะดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2527 ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมในขณะนั้น ได้ลงนามในสัญญาให้สิทธิสำรวจแร่โปแตช แก่บริษัทเอเชีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (APPC)และต่อมาได้ยื่นขอประทานบัตร ในวันที่ 27 พ.ค. 46 (ยุคทักษิณ) แต่ถูกคัดค้านจากราษฎรและเอ็นจีโอ ยืดเยื้อจนมีการร้องเรียนต่อเนื่องในหลายรัฐบาล
กระทั่งในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ปี 2553 ได้มีการออกมติครม. ตีกลับ พ.ร.บ.แร่ เนื่องจากขัดรัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 67 ว่าด้วยเรื่องการคุ้มครองสิทธิชุมชน ก่อนจะออกมติครม.วันที่ 8 ก.พ. 54 ชะลอการขยายพื้นที่ใหม่ หรือการออกประทานบัตรจนกว่าจะได้ข้อสรุปความคุ้มค่า และผลกระทบสิ่งแวดล้อมและประชาชน
ที่น่าสนใจคือ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบโครงการผ่านความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในวันที่ 20 มกราคม 2557 ยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำรัฐประหาร ถีบยิ่งลักษณ์ลงจากอำนาจ กำลังจะมาสานต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยอาจลืมคำนึงถึงผลกระทบต่อชาวบ้าน โดยอ้างรายได้ว่า ผลประโยชน์ที่รัฐจะได้ ตลอดโครงการ 25 ปี ประกอบด้วย ค่าภาคหลวง 7 % เป็นเงิน 28,768.67 ล้านบาท ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษแก่รัฐ รวม 8,476.5 ล้านบาท เงินกองทุน 5,461 ล้านบาท รวม 42,7062 ล้านบาท
**ดูแล้วเหมือนจะเยอะ แต่ถ้าคิดอย่างละเอียดจะพบว่า การขุดทรัพยากรธรรมชาติที่ยกให้เอกชนยาวนาน 25 ปี กับผลตอบแทนที่ได้รับกลับมา 42,706.62 ล้านบาทนั้น เฉลี่ยแล้วรัฐได้ผลตอบแทนเพียงแค่ปีละ 1,708.2648 ล้านบาท เท่านั้น
แต่ผลกระทบที่จะเกิดต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าจะจัดการได้อย่างเรียบร้อยไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนตามที่กล่าวอ้างมีมากมายมหาศาล อาทิ
1) ผลกระทบต่อเกษตรกรรมและวิถีชีวิตชุมชนท้องถิ่นจากการขยายตัวของดินเค็มจากกองเกลือ 2) ผลกระทบต่อสุขภาพจากมลพิษขณะทำ เหมือง ฝุ่นเกลือ ฯลฯ และคณุภาพสิ่งแวดล้อมที่จะเปลี่ยนไปในระยะยาว 3) ความเสี่ยงจากดินทรุด เหมืองถล่ม อุบัติเหตุจากการทำเหมือง
4) ความเสี่ยงจากการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง5) ความเสี่ยงของชุมชนจากกฎหมายรองรับการทำเหมืองใต้ดินที่อยู่ลึกเกิน 100 เมตร โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากเจ้าของที่ดิน 6) ความเสี่ยงจากการทิ้งกากของเสียอันตรายจากอุตสาหกรรม
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ บริษัท APPC หรือ บริษัทเอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด นั้น มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดคือ “บริษัท สินแร่ เหมืองไทย จำกัด” โดยลงทุนเป็นเงิน 74,999,200 บาท คิดเป็น 74.999 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และยังมี บริษัทไวดีเมียร์ จำกัด ร่วมลงทุน 15 ล้าน ครอบครองหุ้น 15 % จากทุนจดทะเบียนทั้งหมด 100 ล้านบาท
เหตุผลที่ยกสองบริษัทนี้ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เพราะทั้งสองบริษัทเป็นของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นจะพบว่า อีตาเลียนไทย คือเจ้าของที่แท้จริงของ บริษัทเอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพราะครอบครองหุ้นจากสองบริษัท คือ บริษัทสินแร่ เหมืองไทย จำกัด กับ บริษัทไวดีเมียร์ จำกัด รวม 89 % จากทุนจดทะเบียนทั้งหมด 100 ล้านบาท
**หลังจากที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีการอนุมัติอาชญาบัตรให้สำรวจแร่ เพื่อรอการออกประทานบัตร (ทำเหมืองแร่) ทำให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทอิตาเลียนไทยพุ่งสูงขึ้น เกือบ 40 %
ส่วนอีกโครงการหนึ่งที่จ่อรอรับประทานบัตรเหมืองแร่โปแตช คือ บริษัท ไทยคาลิ จำกัด ที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ครอบคลุมเนื้อที่ 9,005 ไร่ ประกอบด้วย ต.หนองบัวตะเกียด ต.หนองไทร ต.โนนเมืองพัฒนา อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา โดยมีการยื่นขอประทานบัตรตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. 55 (ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์) และผ่านรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในวันที่ 4 มี.ค. 57 ซึ่งอยู่ในยุคยิ่งลักษณ์เช่นเดียวกัน แต่ที่น่าแปลกประหลาดคือ เมื่อรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มาสานต่อ กลับไม่มีการดำเนินการตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม โดยการรับฟังความเห็นดำเนินการตาม พ.ร.บ.แร่ (ฉบับที่ 5) มาตรา 88/7 ที่ให้อำนาจรัฐมนตรี เป็นผู้วินิจฉัยให้ได้ข้อยุติเรื่องการรับฟังความเห็นชาวบ้านแทน
**โดยผลประโยชน์ที่รัฐคาดว่าจะได้รับตลอดโครงการประกอบด้วย ค่าภาคหลวง 7 % เป็นเงิน 1,700.65 ล้านบาท ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษแก่รัฐรวม 207.9 ล้านบาท และเงินกองทุน 366 ล้านบาท รวม 25 ปี รัฐได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นเงิน 2,274.55 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 90.982 ล้านบาทเท่านั้น
หากมีการออกประทานบัตรเหมืองแร่โปแตชอีกสองแห่ง รวมเป็นสามแห่ง ต่อให้รัฐธรรมนูญใหม่เขียนคุ้มครองสิทธิชุมชนไว้สวยหรูแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย เพราะดำเนินการก่อนที่รัฐธรรมนูญจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งความจริงแล้วน่าจะขัดกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้"
ซึ่งการคุ้มครองสิทธิชุมชน มีการกำหนดไว้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 40 และต่อยอดให้เข้มข้นขึ้นในรัฐธรรมนูญปี 50 รวมใช้มาแล้ว 17 ปี ก่อนที่จะมีการฉีกรัฐธรรมนูญปี 50 จึงถือเป็นประเพณีการปกครองที่รัฐบาลต้องดำเนินการตามแนวทางของ มาตรา 67 แห่งรัฐธรรมนูญปี 50 ไม่ใช่ใช้ พ.ร.บ.แร่ ฉบับที่ 5 มาชี้แจงโครงการ และใช้อำนาจรัฐมนตรี เป็นผู้หาข้อยุติในการรับฟังความเห็นประชาชน ดังเช่นที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ดำเนินการอยู่ในขณะนี้
**ดังนั้น บรรดาสิทธิชุมชนที่ได้รับความคุ้มครองมากมายในร่างรัฐธรรมนูญของ บวรศักดิ์ จะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง เพราะกว่าจะมีผลบังคับใช้ ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศก็คงถูกสัมปทานไปก่อน
**ไม่ทราบว่า กรรมาธิการยกร่างฯ เห็นความจริงข้อนี้บ้างหรือไม่