**ต้องเรียกว่าเป็น “ซุปเปอร์เหวี่ยง”ที่สุดครั้งหนึ่งของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ที่จัดหนักจัดเต็มเกรี้ยวกราดใส่สื่อมวลชน ไล่บี้ตั้งแต่นักข่าวชื่อดัง ยันคอลัมนิสต์ต่างๆ ว่าเขียนโจมตีอย่างเดียว
ขู่ฟ่อออกอากาศว่า จะสั่งปิด หากยังไม่เลิกวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง ตามอารมณ์ฉุนเฉียวที่ปรากฏออกมา อย่างน้อยมันสะท้อนให้เห็นได้อย่างหนึ่งว่า “บิ๊กตู่”อยู่ในสภาวะ คับอกคับใจ โดยเฉพาะสารพัดปัญหาที่กำลังถาโถมรัฐบาล เรื่องอะไรต่างๆ ที่มันไม่ได้ดังใจ ในทำนองว่า กลับตัวก็ไม่ได้ จะเดินต้องไปก็ไปไม่ถึง อย่างไรอย่างนั้น
ตามคิวฟาดงวงฟาดงาใส่สื่อมวลชนครั้งนี้ โดยธรรมชาติแล้วไม่น่าจะใช่รายการตั้งใจมาถล่มสื่อโดยตรง แต่บังเอิญว่าเป็นทางหนึ่งที่จะระบายความในใจถึงปัญหานานาสารพัน ที่กำลังแบกอยู่ไว้บนบ่า
ต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน คสช. และรัฐบาล เดินมากว่าครึ่งทาง บนความคาดหวังแต่แรกเริ่มที่วางเอาไว้สูง แต่พอเดินไปเรื่อยๆ อะไรๆ มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้ ติดนู่นติดนี่ จนไม่เป็นอันทำอะไร พอจะบริหารประเทศ ก็มีปัญหาการเมืองเข้ามาให้ต้องสาง พาลเอางานบริหาร สะดุดอยู่ร่ำไป
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มต้านที่เคลื่อนไหวเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ต่างๆ ทั้งเรื่องศาลทหาร เรื่องกฎอัยการศึก กวนใจกันเป็นระยะๆ ไหนจะมีคดีความของ “หนูปู”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในโครงการรับจำนำข้าว ที่อยู่ในมือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ที่จะโผล่มาให้ตอบ หรือชี้แจงอยู่เรื่อยๆ
ปัญหาการเมืองวกไปวกมา กวนใจกันอยู่ไม่ขาด โยนให้กระบวนการยุติธรรมไปแล้ว แต่ในฐานะผู้มีอำนาจในประเทศ อย่างไรก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้อยู่ดี ขณะที่งานบริหารประเทศ ว่ากันตามเนื้อผ้า จนถึง ณ ขณะนี้ ยังไม่มีอะไรถูกอกถูกใจประชาชน ถึงขนาดเป็นกระแสยกย่องเชิดชู
** โดยเฉพาะโจทย์ใหญ่อย่างเรื่องปากท้อง ที่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลกำลังโดนตีจนน่วม เพราะไม่สามารถคลอดผลงานออกมาเป็นที่ฮือฮาได้ โพลล์สำรวจกี่ครั้ง ได้คะแนนติดบ๊วยจนเป็นขาประจำ แม้ “บิ๊กตู่”จะอ้างว่า มันมีปัจจัยภายนอกอย่างเศรษฐกิจโลกมาเป็นตัวฉุดด้วยก็ตาม แต่โดยความรู้สึกประชาชนแล้ว ไม่ได้มองว่า สาเหตุเป็นเพราะอะไรอย่างที่มีการอธิบาย ดูแค่เพียงว่า มันมีอะไรดีขึ้นกว่าเก่าหรือไม่เท่านั้น
ตราบใดที่ไม่เห็นถึงความแตกต่างหรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ในความคิดของประชาชน จะฟันธงไปแล้วว่า ฝีมือรัฐบาลยังไม่ถึงขั้น
เรื่องนี้ไม่ใช่ “บิ๊กตู่”ไม่รู้ แต่รู้อยู่เต็มอก ทว่ามันเหมือนยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก ทำอะไรไม่ได้ กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ที่แม้จะออกมาโต้ภายหลังว่า ไม่เคยอยู่ในความคิด แต่ทุกคนรู้ดีว่า มันถึงเวลาต้องปรับ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น หรือสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง หากปล่อยไปเรื่อยๆ มีแต่ “ทรง”กับ“ทรุด”
ปัญหาปากท้อง คือ จุดตายของทุกรัฐบาล เป็นประเด็นที่จะทำให้คนในสังคมมีฉันทามติร่วมกันได้โดยมิได้นัดหมาย ไม่ว่าสีเสื้อใด เพื่อออกมาเป็นตัวบีบรัฐบาล เพราะมันเป็นเรื่องใกล้เนื้อใกล้ตัว ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง หากปล่อยให้ไปถึงจุดนั้น อาจตกที่นั่งลำบากได้
แต่ที่ “บิ๊กตู่”ไม่สามารถขยับอะไรได้มากนัก เพราะมันมีหลายปัจจัยค้ำคอ ไม่ว่าจะเป็น“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ที่เป็นคนหนึ่งที่คัดเลือกบุคคลมาเป็นรัฐมนตรี ตอนตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะ“หม่อมอุ๋ย”ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ที่พาทีมเศรษฐกิจติดมาด้วยเพียบ
** ยิ่งช่วงนี้ยิ่งมีกลิ่นตุๆ ออกมาหนาหูว่า“หม่อมอุ๋ย’เริ่มงานฝืดอยู่ด้วย “บิ๊กตู่”เข็นไม่ไหว ต้องให้ถึงมือ“พี่ป้อม”ช่วยอีกแรง
ครั้นหลายๆ คนจะปรับออก แล้วเอาบุคคลอื่นมาแทนก็เกรงจะทำงานร่วมกันไม่ได้ เพราะอีกสายเป็นของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”สมาชิก คสช. “คู่เกาเหลา”ของ“หม่อมอุ๋ย”ที่ดูแล้ว ยุคนี้ปรับจูนให้กลับมาทำงานร่วมกันได้อีกครั้ง คงยาก
ขณะที่รัฐมนตรีคนอื่นๆ “บิ๊กตู่”เองก็ติดลูกถนอมน้ำใจ เพราะบางคนอุตส่าห์ไปเทียบเชิญมาให้ทำงาน ครั้นอยากจะปรับออกมา ก็อ้าปากไม่ขึ้น จะดูเหมือนหมดประโยชน์แล้วเขี่ยทิ้ง ใจร้ายเกินไป อีกจุดที่สำคัญคือไม่มีใครอยากมารับเผือกร้อนๆ ให้เจ็บตัวฟรี เนื่องจากเห็นแนวโน้ม และทิศทางข้างหน้าอยู่ตำตาว่าจะเป็นอย่างไร
**จะขยับอะไรก็ติดนู่นติดนี่ไปเสียทุกเรื่อง!!!
ขณะที่ฝ่ายข้าราชการประจำเองก็เฉกเช่นเดียวกัน หลายคนอยู่เพื่อรอเวลา คสช.ลาโรง ประเภทเกียร์ว่าง จะเห็นได้ทั่วไปในยุคนี้ เหมือนที่ “บิ๊กตู่”เคยขู่จะทัณฑ์บน หากพบ มันเลยทำให้งานบางส่วนไม่ไหลลื่นได้ดังใจ
กับอีกประเภทหนึ่ง ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย รอเพียงเจ้านายสั่ง ประเด็นใดล่อแหลม วางแช่รอคนมาเคาะอย่างเดียว จนไม่เป็นอันทำอะไร มีเสียงซุบซิบออกมาเหมือนกันว่า ประเด็นนี้ “บิ๊กตู่”เองก็ปวดหัวไม่น้อย
ไม่ต่างจากเรื่องผลงานที่ระยะหลังๆ “บิ๊กตู่”มีบัญชาให้ทุกกระทรวงช่วยแถลงผลงานกันทุกสัปดาห์ ช่วยอ้าปากพูดกันเยอะๆ เรื่องของเรื่องก็เป็นเพราะว่า รัฐมนตรีแต่ละคน หรือข้าราชการในกระทรวงต่างๆ เงียบเป็นเป่าสาก ไม่กล้าออกมาโพนทะนา เพราะกลัวเรื่อง “เทกไซด์”
พอไม่พูด ไฮไลต์ทุกวันเลยมาตกอยู่ที่ “บิ๊กตู่”คนเดียว ในขณะที่รัฐมนตรีบางคน ที่แม้ทำงาน แต่พอทำตัวโลว์โปรไฟล์ กลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก ก็กลายเป็นพวกผลงานไม่มีโดยบัดดล กลายเป็นนายกฯ มีผลงานอยู่คนเดียว ตามคิวที่รัฐบาลต้องงัด“การประชาสัมพันธ์เชิงรุก”มาช่วย ไม่ว่าจะเป็นการออกจุลสารผลงานรัฐบาล หรือการให้แต่ละกระทรวง แถลงแบบถี่ยิบ
โดยรวมปัญหาทั้งหมดน่าจะส่องไปที่ การสั่งแล้วงานไม่เดิน มันไม่เหมือนวัฒนธรรมทหาร ที่สั่งแล้วต้อง ได้ครับพี่ ดีครับนาย แต่พอเปลี่ยนฉากมาเป็นสั่งข้าราชการพลเรือน งานมันคนละเรื่อง บางครั้งจ่ายลมได้ลม มีออกบ่อย
ในภาวะที่เวลาก็บีบเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ในขณะที่เป้าหมายที่วางไว้ยังไปไม่ถึงไหน ความกดดันมันเลยมาตกอยู่ที่ “บิ๊กตู่”ในฐานะผู้นำรัฐประหาร ที่ต้องรับผิดชอบทุกๆเรื่อง ครั้นจะขยายระยะเวลาโรดแมป เพื่อทำงานให้เสร็จ ก็อาจจะกลายเป็น“พล.อ.สุจินดา คราประยูร 2” ที่กลืนน้ำลายตัวเอง
**พอเป็นแบบนี้ ก็เลยต้องแข่งกับเวลา แถมเวลาที่เหลือยังต้องมาแก้กับปัญหายากๆ ที่ไม่สามารถทำได้ภายในปีสองปี มันเลยมีอาการ “น็อตหลุด”ออกมาให้เห็น
ขู่ฟ่อออกอากาศว่า จะสั่งปิด หากยังไม่เลิกวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง ตามอารมณ์ฉุนเฉียวที่ปรากฏออกมา อย่างน้อยมันสะท้อนให้เห็นได้อย่างหนึ่งว่า “บิ๊กตู่”อยู่ในสภาวะ คับอกคับใจ โดยเฉพาะสารพัดปัญหาที่กำลังถาโถมรัฐบาล เรื่องอะไรต่างๆ ที่มันไม่ได้ดังใจ ในทำนองว่า กลับตัวก็ไม่ได้ จะเดินต้องไปก็ไปไม่ถึง อย่างไรอย่างนั้น
ตามคิวฟาดงวงฟาดงาใส่สื่อมวลชนครั้งนี้ โดยธรรมชาติแล้วไม่น่าจะใช่รายการตั้งใจมาถล่มสื่อโดยตรง แต่บังเอิญว่าเป็นทางหนึ่งที่จะระบายความในใจถึงปัญหานานาสารพัน ที่กำลังแบกอยู่ไว้บนบ่า
ต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน คสช. และรัฐบาล เดินมากว่าครึ่งทาง บนความคาดหวังแต่แรกเริ่มที่วางเอาไว้สูง แต่พอเดินไปเรื่อยๆ อะไรๆ มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้ ติดนู่นติดนี่ จนไม่เป็นอันทำอะไร พอจะบริหารประเทศ ก็มีปัญหาการเมืองเข้ามาให้ต้องสาง พาลเอางานบริหาร สะดุดอยู่ร่ำไป
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มต้านที่เคลื่อนไหวเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ต่างๆ ทั้งเรื่องศาลทหาร เรื่องกฎอัยการศึก กวนใจกันเป็นระยะๆ ไหนจะมีคดีความของ “หนูปู”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในโครงการรับจำนำข้าว ที่อยู่ในมือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ที่จะโผล่มาให้ตอบ หรือชี้แจงอยู่เรื่อยๆ
ปัญหาการเมืองวกไปวกมา กวนใจกันอยู่ไม่ขาด โยนให้กระบวนการยุติธรรมไปแล้ว แต่ในฐานะผู้มีอำนาจในประเทศ อย่างไรก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้อยู่ดี ขณะที่งานบริหารประเทศ ว่ากันตามเนื้อผ้า จนถึง ณ ขณะนี้ ยังไม่มีอะไรถูกอกถูกใจประชาชน ถึงขนาดเป็นกระแสยกย่องเชิดชู
** โดยเฉพาะโจทย์ใหญ่อย่างเรื่องปากท้อง ที่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลกำลังโดนตีจนน่วม เพราะไม่สามารถคลอดผลงานออกมาเป็นที่ฮือฮาได้ โพลล์สำรวจกี่ครั้ง ได้คะแนนติดบ๊วยจนเป็นขาประจำ แม้ “บิ๊กตู่”จะอ้างว่า มันมีปัจจัยภายนอกอย่างเศรษฐกิจโลกมาเป็นตัวฉุดด้วยก็ตาม แต่โดยความรู้สึกประชาชนแล้ว ไม่ได้มองว่า สาเหตุเป็นเพราะอะไรอย่างที่มีการอธิบาย ดูแค่เพียงว่า มันมีอะไรดีขึ้นกว่าเก่าหรือไม่เท่านั้น
ตราบใดที่ไม่เห็นถึงความแตกต่างหรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ในความคิดของประชาชน จะฟันธงไปแล้วว่า ฝีมือรัฐบาลยังไม่ถึงขั้น
เรื่องนี้ไม่ใช่ “บิ๊กตู่”ไม่รู้ แต่รู้อยู่เต็มอก ทว่ามันเหมือนยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก ทำอะไรไม่ได้ กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ที่แม้จะออกมาโต้ภายหลังว่า ไม่เคยอยู่ในความคิด แต่ทุกคนรู้ดีว่า มันถึงเวลาต้องปรับ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น หรือสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง หากปล่อยไปเรื่อยๆ มีแต่ “ทรง”กับ“ทรุด”
ปัญหาปากท้อง คือ จุดตายของทุกรัฐบาล เป็นประเด็นที่จะทำให้คนในสังคมมีฉันทามติร่วมกันได้โดยมิได้นัดหมาย ไม่ว่าสีเสื้อใด เพื่อออกมาเป็นตัวบีบรัฐบาล เพราะมันเป็นเรื่องใกล้เนื้อใกล้ตัว ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง หากปล่อยให้ไปถึงจุดนั้น อาจตกที่นั่งลำบากได้
แต่ที่ “บิ๊กตู่”ไม่สามารถขยับอะไรได้มากนัก เพราะมันมีหลายปัจจัยค้ำคอ ไม่ว่าจะเป็น“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ที่เป็นคนหนึ่งที่คัดเลือกบุคคลมาเป็นรัฐมนตรี ตอนตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะ“หม่อมอุ๋ย”ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ที่พาทีมเศรษฐกิจติดมาด้วยเพียบ
** ยิ่งช่วงนี้ยิ่งมีกลิ่นตุๆ ออกมาหนาหูว่า“หม่อมอุ๋ย’เริ่มงานฝืดอยู่ด้วย “บิ๊กตู่”เข็นไม่ไหว ต้องให้ถึงมือ“พี่ป้อม”ช่วยอีกแรง
ครั้นหลายๆ คนจะปรับออก แล้วเอาบุคคลอื่นมาแทนก็เกรงจะทำงานร่วมกันไม่ได้ เพราะอีกสายเป็นของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”สมาชิก คสช. “คู่เกาเหลา”ของ“หม่อมอุ๋ย”ที่ดูแล้ว ยุคนี้ปรับจูนให้กลับมาทำงานร่วมกันได้อีกครั้ง คงยาก
ขณะที่รัฐมนตรีคนอื่นๆ “บิ๊กตู่”เองก็ติดลูกถนอมน้ำใจ เพราะบางคนอุตส่าห์ไปเทียบเชิญมาให้ทำงาน ครั้นอยากจะปรับออกมา ก็อ้าปากไม่ขึ้น จะดูเหมือนหมดประโยชน์แล้วเขี่ยทิ้ง ใจร้ายเกินไป อีกจุดที่สำคัญคือไม่มีใครอยากมารับเผือกร้อนๆ ให้เจ็บตัวฟรี เนื่องจากเห็นแนวโน้ม และทิศทางข้างหน้าอยู่ตำตาว่าจะเป็นอย่างไร
**จะขยับอะไรก็ติดนู่นติดนี่ไปเสียทุกเรื่อง!!!
ขณะที่ฝ่ายข้าราชการประจำเองก็เฉกเช่นเดียวกัน หลายคนอยู่เพื่อรอเวลา คสช.ลาโรง ประเภทเกียร์ว่าง จะเห็นได้ทั่วไปในยุคนี้ เหมือนที่ “บิ๊กตู่”เคยขู่จะทัณฑ์บน หากพบ มันเลยทำให้งานบางส่วนไม่ไหลลื่นได้ดังใจ
กับอีกประเภทหนึ่ง ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย รอเพียงเจ้านายสั่ง ประเด็นใดล่อแหลม วางแช่รอคนมาเคาะอย่างเดียว จนไม่เป็นอันทำอะไร มีเสียงซุบซิบออกมาเหมือนกันว่า ประเด็นนี้ “บิ๊กตู่”เองก็ปวดหัวไม่น้อย
ไม่ต่างจากเรื่องผลงานที่ระยะหลังๆ “บิ๊กตู่”มีบัญชาให้ทุกกระทรวงช่วยแถลงผลงานกันทุกสัปดาห์ ช่วยอ้าปากพูดกันเยอะๆ เรื่องของเรื่องก็เป็นเพราะว่า รัฐมนตรีแต่ละคน หรือข้าราชการในกระทรวงต่างๆ เงียบเป็นเป่าสาก ไม่กล้าออกมาโพนทะนา เพราะกลัวเรื่อง “เทกไซด์”
พอไม่พูด ไฮไลต์ทุกวันเลยมาตกอยู่ที่ “บิ๊กตู่”คนเดียว ในขณะที่รัฐมนตรีบางคน ที่แม้ทำงาน แต่พอทำตัวโลว์โปรไฟล์ กลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก ก็กลายเป็นพวกผลงานไม่มีโดยบัดดล กลายเป็นนายกฯ มีผลงานอยู่คนเดียว ตามคิวที่รัฐบาลต้องงัด“การประชาสัมพันธ์เชิงรุก”มาช่วย ไม่ว่าจะเป็นการออกจุลสารผลงานรัฐบาล หรือการให้แต่ละกระทรวง แถลงแบบถี่ยิบ
โดยรวมปัญหาทั้งหมดน่าจะส่องไปที่ การสั่งแล้วงานไม่เดิน มันไม่เหมือนวัฒนธรรมทหาร ที่สั่งแล้วต้อง ได้ครับพี่ ดีครับนาย แต่พอเปลี่ยนฉากมาเป็นสั่งข้าราชการพลเรือน งานมันคนละเรื่อง บางครั้งจ่ายลมได้ลม มีออกบ่อย
ในภาวะที่เวลาก็บีบเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ในขณะที่เป้าหมายที่วางไว้ยังไปไม่ถึงไหน ความกดดันมันเลยมาตกอยู่ที่ “บิ๊กตู่”ในฐานะผู้นำรัฐประหาร ที่ต้องรับผิดชอบทุกๆเรื่อง ครั้นจะขยายระยะเวลาโรดแมป เพื่อทำงานให้เสร็จ ก็อาจจะกลายเป็น“พล.อ.สุจินดา คราประยูร 2” ที่กลืนน้ำลายตัวเอง
**พอเป็นแบบนี้ ก็เลยต้องแข่งกับเวลา แถมเวลาที่เหลือยังต้องมาแก้กับปัญหายากๆ ที่ไม่สามารถทำได้ภายในปีสองปี มันเลยมีอาการ “น็อตหลุด”ออกมาให้เห็น