xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องของสองผู้เฒ่าผู้ขอขมาเด็ก

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

ผมเห็นผู้เฒ่าบางคนออกมาทำพิธี “ผู้เฒ่าขอขมา-รดน้ำดำหัวเยาวชน” แล้วบอกตรงๆ ครับว่าคันมือคันไม้ แต่พอดูชื่อก็รู้ว่า ผู้เฒ่าเหล่านั้นมีจุดประสงค์อะไร ผมไม่คิดหรอกครับว่า คนเหล่านี้จะมีความสำนึกต่อความผิดที่ตัวเองได้กระทำลงไป จึงต้องมาขอขมาต่อคนรุ่นหลัง พวกเขาเพียงแต่ต้องการแดกดันค่านิยมจารีตประเพณีของสังคมไทยที่พวกเขาเกลียดชังมากกว่า

ทั้งๆ ที่การรดน้ำดำหัวขอพรผู้ใหญ่ในช่วงสงกรานต์ ไม่ว่าเราจะไม่ได้สืบทอดประเพณีนี้มาตั้งแต่เดิมหรือรับมาจากอินเดียก็ตาม แต่การแสดงออกต่อผู้ใหญ่ที่เราเคารพเนื่องในเทศกาลนั้นไม่ได้มีอะไรที่เสียหาย นอกจากเห็นว่าเป็นค่านิยมที่ดีงามของสังคมไทยที่มีสัมมาคารวะต่อผู้สูงอายุ คนไทยเคารพกันตามลำดับความอาวุโส นอบน้อมต่อผู้สูงอายุกว่า ไม่ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ ต่างกับฝรั่งตะวันตกก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เราล้าหลังห่างไกลความศิวิไลซ์แต่อย่างใด แต่เป็นความสวยงามของวัฒนธรรมและประเพณีของคนไทย

แต่คนพวกนี้รังเกียจคำว่า “ความเป็นไทย” เพราะพวกเขาเชื่อว่า ความเป็นไทยนั้นไม่ได้มีตัวตนของมันมาแต่ดั้งเดิมเชื่อถือไม่ได้ ล้าหลังและไม่น่าเอาเป็นแบบอย่าง

ผมคิดว่าในทางจิตวิทยาคนเหล่านี้น่าจะเป็นพวกมีพฤติกรรมต่อต้านสังคม (Antisocial Behavior) หมายถึงเป็นพฤติกรรมที่มักจะแสดงความขัดแย้งกับบรรทัดฐานทางสังคม ไม่ชอบทำตามกฎเกณฑ์ ซึ่งเกิดได้จากความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกายหรือสภาพแวดล้อม ซึ่งคนที่รู้จักชาญวิทย์ เกษตรศิริ และนิธิ เอียวศรีวงศ์น่าจะวิเคราะห์ได้ไม่ยากว่าความผิดปกติของสองคนนี้มาจากส่วนไหน และควรจะบำบัดเยียวยาอย่างไร แม้จะเป็นเรื่องยากเพราะคนที่มีภาวะเช่นนี้ควรจะได้รับการแก้ไขตั้งแต่เด็กแล้วก็ตาม

จริงอยู่ ในระบอบประชาธิปไตยประชาชนควรจะมีเสรีภาพในการแสดงออกได้โดยอิสระตราบที่การแสดงออกนั้นไม่ละเมิดต่อผู้อื่นหรือฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แถมผมยังคิดว่าบางครั้งการละเมิดกฎหมายอาจเป็นสิ่งจำเป็นถ้าการใช้สิทธิของประชาชนเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม เช่น การชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมก็อาจต้องฝ่าฝืนกฎหมายที่รัฐบาลประกาศใช้เพื่อยับยั้งการชุมนุม แน่นอนว่าการกระทำของผู้เฒ่าทั้งสองและหางเครื่องบางคนก็ไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อนเป็นเพียงบุคลิกภาพของคนป่วยทางจิตที่ต้องการต่อต้านสังคมเท่านั้นเอง แต่มันเป็นแบบอย่างของการทำลายคุณค่าของสังคมอย่าง “สุดขั้ว” ไม่ต่างกับการเผาวรรณคดีในอดีต ทั้งที่วรรณคดีนั้นมันมีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเป็นการสะท้อนสังคมในแต่ละยุค แต่ถูกทำให้เป็นเรื่องการเมืองเพื่อต่อต้านศักดินาแล้วทำลาย “คุณค่า” ของวรรณกรรมลงไป

ผมไม่ได้หมายความว่า กฎเกณฑ์และจารีตประเพณีของสังคมจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แน่นอนว่าทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือกระทบต่อโครงสร้างหลักก็ตาม แต่แนวทางที่สังคมยอมรับจนกลายเป็นค่านิยมใหม่ของสังคมใดสังคมหนึ่งได้นั้นผมคิดว่า มันต้องเปลี่ยนไปในทางที่ดีเท่านั้น

บางคนพยายามอธิบายในทำนองว่า การแสดงออกของผู้เฒ่าเป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้เห็นว่า เมื่อผู้ใหญ่กระทำความผิดแล้วก็สามารถขออภัยต่อผู้เยาว์ได้ ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นรายละเอียดในการปฏิบัติต่อชีวิตประจำวันมากกว่าครับ แต่สารัตถะของการรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ในช่วงสงกรานต์นั้นเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพต่อผู้ใหญ่ที่เรานับถือและขอพรเป็นมงคลต่อชีวิตไม่ใช่เรื่องของคนถูกผิดซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็อาจจะกระทำผิดได้ และเมื่อกระทำผิดแล้วก็ควรจะยอมรับ แต่นั่นเป็นคนละบริบทกับการรดน้ำดำหัวในช่วงสงกรานต์ อย่าเอาสิ่งนี้มามั่วปนกัน

การแสดงออกของการรดน้ำดำหัวเด็กของผู้เฒ่านั้น เป็นการแสดงออกของพวก “สุดขั้ว” ที่ต้องการต่อต้านค่านิยมของสังคมโดยแฝงนัยทางการเมือง เช่นเดียวกับพวกเผาวรรณคดีหรือพวกไอซิสที่ทำลายโบราณวัตถุนั่นเอง

แต่ในตัวของชาญวิทย์ผมว่าเป็นเรื่องแปลกจำได้ว่า ตอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีโครงการจะย้ายการเรียนการสอนระดับปริญญาตรีไปที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต แกออกมาคัดค้านอย่างแข็งขันโดยอ้างถึงค่านิยม ประเพณีและจิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ว่าต้องอยู่ที่ท่าพระจันทร์เท่านั้น ดังนั้นเรื่องแอนตี้ค่านิยมประเพณีนี่ผมคิดว่าแกเป็นพวกลักปิดลักเปิดตามสภาพอารมณ์ที่ปรวนแปรมากกว่า

ทั้งชาญวิทย์และนิธินั้นเป็นพวกต่อต้านรัฐบาลทหารและเป็นแนวร่วมกับทักษิณอย่างไม่ต้องสงสัย พวกนี้บูชาหีบเลือกตั้งและมีความเห็นว่า ประชาธิปไตยจะต้องตัดสินกันด้วยหีบเลือกตั้งเท่านั้น เป็นพวกสนับสนุนทางอ้อมที่ทำให้เกิดค่านิยมในสังคมที่ว่า ทุจริตคอร์รัปชันไม่เป็นไรแต่ต้องมาจากการเลือกตั้ง ถ้าบริหารประเทศแล้วทุจริตคอร์รัปชันก็ปล่อยให้บริหารประเทศต่อไปจนหมดสมัยแล้วไม่ต้องเลือกเข้ามาอีก แล้วเรียกพวกมีความคิดแบบนี้ว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย”

ส่วนพวกที่ออกมาขับไล่รัฐบาลที่คอร์รัปชันให้พ้นวาระก่อนหมดสมัย ถูกพวกนี้เรียกว่า “ฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย”

ถ้าจำกันได้ครั้งหนึ่ง เครือข่ายสันติประชาธรรมภายใต้การนำของ 2 ผู้เฒ่าชาญวิทย์และนิธิพร้อมสาวกอีกจำนวนหนึ่งซึ่งออกมาเคลื่อนไหวคู่ขนานกับเวทีเสื้อแดงจนทักษิณต้องชื่นชมด้วยความเคารพผ่านวิดีโอลิงก์ ทั้งๆ ที่พวกเขาเคยออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการชุมนุมของพันธมิตรฯ มาแล้ว โดยในครั้งนั้นนักวิชาการกลุ่มนี้ออกมาเคลื่อนไหวว่า “พันธมิตรฯ ต้องหยุดชุมนุม กลับสู่ระบบนิติรัฐ”

ตอนนั้นพวกเขาบอกว่า สังคมไทยต้องไม่ยินยอมให้กลุ่มพันธมิตรฯ อยู่เหนือกฎหมายอีกต่อไป เจ้าหน้าที่รัฐต้องหาทางยุติการชุมนุมของพันธมิตรฯ พวกเขาอ้างว่า ระบบนิติรัฐคือหัวใจสำคัญของหลักการและกระบวนการประชาธิปไตย กฎหมายมีไว้ปฏิบัติต่อทุกคนในสังคมอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เพราะมันคือหลักประกันว่าสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นจะไม่ถูกละเมิด

พูดตรงๆ ก็คือ พวกเขาเรียกร้องให้รัฐบาลในขณะนั้นใช้อำนาจตามกฎหมายสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ แต่พอกลุ่มเสื้อแดงชุมนุมพวกนี้ให้การสนับสนุนและออกแถลงการณ์เรียกร้องว่า นั่นเป็นสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย พวกนี้จึงไม่ใช่พวกที่มีหลักการอะไรนอกจากฝ่ายที่มีจุดยืนเดียวกับตัวเองเท่านั้นที่เป็นความถูกต้อง

ในขณะที่พันธมิตรฯ ถูกยิงด้วยอาวุธสงครามตายทุกวัน (เช่นเดียวกับการชุมนุมของกปปส.) แต่ในช่วงชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ชาญวิทย์และนิธิสนับสนุนนั้นมีการติดอาวุธยิงถล่มสถานที่ราชการ ห้างร้านต่างๆ จนกระทั่งใช้อาวุธสงครามยิงถล่มทหารจนนำไปสู่การใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และจบลงด้วยการเผาบ้านเผาเมืองในที่สุด

สองผู้เฒ่าไม่มีวันจะยอมรับหรอกว่าเป็นพวกทักษิณ แต่ถ้าบอกว่าเป็นพวกเกาะซากเน่าของทักษิณที่ลอยน้ำมาก็คงไม่กล้าปฏิเสธหรอก
กำลังโหลดความคิดเห็น