ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กฐินสามัคคีกันมิได้นัดหมาย สำหรับอริการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ที่พร้อมใจกันรุมถล่ม กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญของ“ดร.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ กันมาต่อเนื่อง แบบลืมบัญชีแค้นกันแต่ดั้งแต่เดิมกันเอาไว้ก่อน
ไม่ได้สะท้อนนัยยะว่า สองพรรคใหญ่จูบปาก หรือเกี้ยเซี้ยกัน แต่เป็นอารมณ์ของคนเสียประโยชน์ที่ออกมาฟาดงวง ฟางา หาเหตุผลระแวงนู่นระแวงนี่ อ้างไปเรื่อย โดยเฉพาะ 2 ประเด็นใหญ่ ที่รุมกระแทกกันไม่หยุด เรื่องที่มานายกรัฐมนตรีคนนอกในยามวิกฤติ ที่จริตจะก้าน กลัวว่าจะเขียนไม่ชัด
ทั้งที่ประเด็นจริงๆ กลัวการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลนี้มากกว่า
แม้แต่เรื่องระบบเลือกตั้งเยอรมัน จุดประสงค์ที่รุมกระทุ้งน่าจะไม่ใช่เหตุผลที่หยิบยกอยู่เบื้องหน้า แต่เป็นเพราะระบบนี้ มันสร้างมาเพื่อฆ่าพรรคการเมืองใหญ่ สยายปีกให้พรรคขนาดกลาง และพรรคขนาดเล็ก เข้ามาลืมตาอ้าปากในรัฐสภากับเขาบ้าง ไม่ใช่วงจรอุบาทว์เดิมๆ หากใครไม่เอาพรรคเพื่อไทย จะเป็นไฟต์บังคับให้เลือกพรรคประชาธิปัตย์ หรือใครไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นไฟต์บังคับให้เลือกพรรคเพื่อไทย ในทำนองไม่เลือกเรา เขามาแน่ เห็นได้ชัดจากการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ผ่านมา อาการผวาเผาบ้านเผาเมือง หลอกหลอนคนเมืองกรุง ต้องให้กากบาทให้ “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร บุคคลที่ไล่ชาวบ้านให้ไปอยู่บนดอยเพื่อหนีน้ำในปัจจุบัน เกาะขาเก้าอี้พ่อเมืองอีกสมัย
ขณะเดียวกัน กลับไม่มีพรรคขนาดกลาง หรือพรรคขนาดเล็กที่ไหนออกมาโวยวาย ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา พรรคพลังชล เพราะได้ประโยชน์เต็มๆ มันจึงสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่เสียประโยชน์ และได้ประโยชน์ คนเสียประโยชน์เลยต้องออกมาตีโพยตีพายเป็นการใหญ่ จนเกิดปรากฎการณ์กฐินการเมืองอย่างที่ออกมา
ระยะหลังไม่ใช่เรื่องรัฐธรรมนูญที่บังเอิญใจตรงกัน กระทั่งเรื่องยกเลิกกฎอัยการศึก แล้วมาใช้ มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวแทน พรรคประชาธิปัตย์ก็ขอตอดเล็กตอดน้อยกับเขาเหมือนกัน ปุถุชนทั่วไปยังพอเข้าใจกับท่าทีของพรรคเพื่อไทย ในฐานะลูกอีช่างติ แต่พรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องนี้มันไม่ค่อยชินตา ถ้าไม่คิดมากจะตีความไปว่า ออกมาขอแค่เป็นข่าวกันพอทำเนาตามสไตล์พรรคฝ่ายค้านขาประจำ ขอเกาะขบวนกับเขาไปด้วยอีกคน
พรรคประชาธิปัตย์ระยะนี้โดนทักเยอะ เรื่องกินยาผิดซอง เพราะวิญญาณฝ่ายค้านเริ่มกลับมาทำงาน โดยเฉพาะการติติงการทำงานของแม่น้ำ 5 สาย ในหลายเรื่อง ย้อนไปตั้งแต่คราว อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ร่วมลงนามยื่นให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ชะลอการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ไปก่อน
เริ่มมีการจับสัญญาณเหมือนกันว่า คนกันเองชักไม่เหมือนเดิม เหมือนมีรอยร้าวรอยปริ ขยายกันเรื่อยๆ กับคิวล่าสุดที่ “บิ๊กตู่”ฉุนขาดหลัง “คุณชายหมู”ปล่อยให้น้ำท่วมกรุง ต่อด้วยคิวพี่รองบูรพาพยัคฆ์ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย จี้ให้ผู้ว่าฯกทม. ขอโทษประชาชน หลังโฉ่งฉ่าง ไล่ให้ประชาชนหนีน้ำไปอยู่บนดอย
จนอภิสิทธิ์ต้องเทกแอ็กชั่น ออกมาปกป้องลูกทีมว่าพูดไปเพราะเครียด
ท่าทีของรัฐบาลที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ หลายครั้งหลายครา ส่อว่าไม่เหมือนเดิม กับฉากที่ “บิ๊กตู่”ตอบคำถามนักข่าวช่อง 7 ชื่อดัง กระทบชิ่งไปถึงพรรคเก่าแก่ หลังถูกกระแซะเรื่องประเด็นเศรษฐกิจ "เราทำเต็มที่ทุกอย่าง ทำมากกว่ารัฐบาลที่คุณชอบสมัยก่อนด้วย " เรียกว่า หวดหมัดใส่กันตรงๆ ดังตูม ไม่มีอ้อมค้อม ชาวบ้านชาวช่องรู้เลย ว่าพรรคไหน
แม้กระทั่งเรื่องกฎอัยการศึกที่ “บิ๊กตู่”ตอกกลับพรรคการเมืองสองพรรค ที่แนะนำให้ใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่า ใช้มาแล้วเป็น 10 ปี แต่ไม่ได้ผล เบิ้ลกลับให้เห็นถึงความไร้น้ำยา แล้วยังมีหน้ามาสอนคนอื่น
อารมณ์“บิ๊กตู่”นาทีนี้เหมือนไม่ค่อยจะแคร์ใครแล้ว โดยเฉพาะกับพรรคการเมือง เหวี่ยงใส่ทุกพรรค ไม่มีเกรงอกเกรงใจ งานไหนของรัฐบาลชุดปัจจุบันโดนประชาชนโจมตี ชักสวนเปรี้ยงกลับไม่มีกั๊กรักษามารยาท ในทำนองเป็นเพราะรัฐบาลชุดๆ ก่อนมันไม่ยอมทำ อย่างเรื่องปัญหาการค้ามนุษย์ที่โต้กันไปโต้กันมากับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และทีมงานอยู่
อาการฉุนเฉียว ไม่สนใจใคร แม้กระทั่งพรรคคนกันเอง ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความเครียด จากสารพัดปัญหาที่กำลังถาโถมใส่รัฐบาล ผนวกกับการบริหาราชการ ที่ไม่ได้ดังใจ สั่งม้าได้ช้าง ที่น่าจะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดันต้องมาเจอกับลีลานักการเมืองที่ชอบตำหนิติเตียน จะกลับไปหาแต่สิ่งเดิมๆ ที่เคยเป็นมาอยู่ลูกเดียว ค้านกันไปเสียหมด บางคนก็จริตต้านไปอย่างนั้นไม่ให้ตกขบวน ส่งผลให้ไม่ต้องเป็นอันทำงานทำการ มัวแต่มาชะงักแก้ปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ร่ำไป
น่าจะปรับโหมดเลิกแคร์พรรคการเมืองแล้ว เพราะนอกจากปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค้ามนุษย์ เรื่องสายการบินที่ทางประเทศญี่ปุ่นระงับการเพิ่มเที่ยวบิน ปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่ขยับเขยื้อน ปัญหาข้าราชการเกียร์ว่าง ที่คาราคาซังมีผลกระทบกับประเทศใหญ่หลวงแล้ว เป้าหมายนานาที่วางไว้ตอนเป็น คสช. ยังไม่ได้เดินหน้ากันไปถึงไหน เรื่องใหญ่อย่างเรื่องปรองดอง แทบไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมจับต้องได้ เรื่องการปฏิรูปประเทศ มีแต่ไอ
เดีย แต่วิธีการนำไปปฏิบัติ ยังเป็นวุ้น คนไม่ได้รู้สึกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น ในขณะที่เวลากลับหดสั้นลงทุกที
เวลาบีบตลอดเวลา เรื่องสำคัญไม่ได้แก้ปัญหา ภัยแทรกซ้อนก็มาอยู่เรื่อยๆ ดูแล้ว “บิ๊กตู่”เองก็เสียวจะเสียของ ไม่ทันการณ์ เพราะดันรับปากไปแล้วจะไม่อยู่สืบทอดอำนาจ ไม่ขอลงเล่นการเมือง ย้ำหลายรอบ ทั้งกับต่างประเทศและคนไทย อยู่แค่ตามโรดแมป ผิดคำพูดจะพากันอยู่ไม่ได้เอา มันเลยเป็นที่มาของมาตรา 44 ที่ คสช. งัดเอามาใช้แก้ปัญหาถี่ยิบ โดยหวังหยิบมาเป็นทางลัด ในการปลดล็อกปัญหา อย่างเรื่องที่ญี่ปุ่นระงับการเพิ่มเที่ยวบินของไทยก็ใช้อำนาจตามมาตรานี้
ไม่ใช่แค่เรื่องมาเป็นเครื่องมือแทนกฎอัยการศึกเท่านั้น ดูแล้วหลังจากนี้ต่อไปจนเกือบเลือกตั้ง ปัญหาอะไรติดล็อก ติดกับดัก “บิ๊กตู่”ไม่น่าจะเสียเวลาไปตามครรลองคลองธรรม แต่จะหยิบ มาตรา 44 มาคอยเร่งอยู่เรื่อยๆ ให้งานมันเดินทันใจ
สถานการณ์ตอนนี้มันระทึกหัวใจ ทำงานแข่งกับเวลา ไม่มีเวลามารักสวยรักงามแล้ว เลยต้องใช้อำนาจเผด็จการดันมันลูกเดียว