ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กลายเป็นประเด็นร้อนของสังคมขึ้นมาทันที เมื่อกระทรวงยุติธรรมพร้อมกองทัพภาค 2 สนธิกำลังนำเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ดีเอสไอ ป.ป.ท.และ อปท. เข้าตรวจสอบ “โบนันซ่าเขาใหญ่” หลังได้รับเรื่องร้องเรียนว่าบุกรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติ โดยชี้ว่าสนามแข่งรถและห้องพักอาจรุกที่ป่าประมาณ 151 ไร่ ในขณะที่ฝ่าย นปช. ก็ออกมาฉะว่าเป็นการไล่เช็กบิลของรัฐบาล เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าเจ้าของโบนันซ่าคือ นายไพวงษ์ เตชะณรงค์ มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกลุ่มคนเสื้อแดงขนาดไหน
งานนี้ “พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ” รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะที่ดูแลรับผิดชอบคดีนี้ ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ฟังได้ที่นี่ที่เดียว!
คิดอย่างไรในเรื่องของคดีโบนันซ่า ที่มีคนมองว่าเป็นการไล่เช็กบิลของรัฐบาลหรือคสช.
เรื่องนี้หลายคนเข้าใจว่าเป็นเรื่องของการเมืองหรือเปล่า เพราะทางคุณไพวงษ์นั้น ทางคสช. ก็เคยเรียกให้มารายงานตัว แล้วก่อนหน้านั้น พื้นที่นี้ก็ถูกใช้เป็นการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเป็นประจำ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่กระทรวงฯ ถูกมองไม่ดีคือ ประมาณ 4- 5 ปี ก่อน มีท่านอธิบดีคนหนึ่งที่ยังอยู่ในตำแหน่งที่ดีเอสไอก็เคยใช้พื้นที่นี้ในการจัดเลี้ยงประจำ ทั้งที่ความจริงแล้วประเด็นต่างๆ เหล่านี้ไม่เกี่ยวเลย เราขอยืนยันว่าเราขีดเส้นไว้ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. ว่าสิ่งที่ต้องปฏิรูปคือ เรื่อง การบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติ เราต้องการจัดระเบียบใหม่เลยว่าคนที่บุกรุกธรรมชาติโดยใช้เอกสารสิทธิ์ไม่ถูกต้องนั้นจะผิดตรงไหนบ้าง เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่เราทำ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลใช้ผมให้ไปรังแกใคร ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่การไล่เช็กบิลเลย
สาเหตุทั้งหมดเกิดมาจากตัวข้าราชการคือ ทางผมเองได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเรื่องอาชญากรรมพิเศษ หมายถึงคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลต่างๆ ที่ดีเอสไอทำอยู่ รวมถึงคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งผมจะดูแลสองเรื่องนี้ แล้วไม่ใช่ว่าเราทำคดีนี้อย่างเดียว ยังมีคดีเกี่ยวกับอาชญากรรมข้ามชาติ การบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติ และเรื่องความเหลื่อมล้ำที่ ประชาชนถูกรังแก ดังนั้นผมจะดูแลอยู่สามเรื่องใหญ่ๆ แต่พอมาเรื่องการบุกรุกที่ดินหรือทรัพยากรธรรมชาตินั้น เราเริ่มทำที่ภาคใต้ก่อน คือ ที่เกาะแรต ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ มีพื้นที่ประมาณ 160 ไร่ ถ้าเข้าไปดูข่าวเก่าๆ จะเห็นว่าเราดำเนินการที่นั่นมาก่อนแล้ว เป็นเรื่องการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ ซึ่งเป็นเรื่องมาตั้งแต่อดีตแล้ว และนี่ก็เป็นฐานการเมืองหรือของอดีตพรรคหนึ่งทางภาคใต้ เห็นได้ชัดว่าเราไม่ได้รังแกใครเลย แต่เราทำตามหลักฐาน พอเห็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง เราก็ต้องจัดการ แล้วถ้ารู้ความรู้สึกของภาคประชาชนที่มาแจ้งความหรือร้องเรียนกับเรา เราก็ต้องทำสิ่งนั้นให้ถูกต้อง พอเราทำสิ่งนั้นเสร็จ เราก็ต้องมาดูว่าทางภาคอีสานเราจะเริ่มตรงไหนก่อน ตรงไหนพร้อม เราก็ทำก่อน แล้วพอสัปดาห์หน้าและสัปดาห์ต่อๆ ไป เราก็จะทำอีก
เรียกว่าที่เราทำนั้น ไม่ได้มีแค่กระทรวงยุติธรรมทำที่เดียว แต่ยังมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะกรมที่ดิน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รุ่นใหม่ๆ ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะตัวของเขา เพราะบางทีการทำงาน เราไม่สามารถทำได้เพียงหน่วยเดียวแล้วสำเร็จ แต่เราก็ต้องบูรณาการ การลงพื้นที่คนที่เป็นพระเอกคือกรมป่าไม้ นอกจากนั้นยังมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเป็นตำรวจป่าไม้ที่ดูแลพื้นที่นั้น ส่วนคนที่มาเป็นแบ็คอัพให้เราอีกทีคือ เจ้าหน้าที่ที่ดิน ที่มีความรู้ด้านนี้ นอกนั้นก็มีดีเอสไอ เพราะถ้าคดีมันเกินความสามารถ หรือเกินทางท้องที่ หรือเกินสตช. ทำได้ ก็จะถูกโอนมาเป็นคดีพิเศษ
ก่อนที่เราจะไป เราก็มีการประชุมกับปปง. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน) แล้วว่า ถ้าเราไปรื้อเรื่องขึ้นมา แล้วพบการกระทำผิด ซึ่งมาเชื่อมโยงกับการฟอกเงิน เราก็จะส่งเรื่องให้ปปง. แต่ปปง. ขอว่ายังไม่ลงพื้นที่ในช็อตแรกก่อน ดังนั้นในช็อตแรกที่เราลงพื้นที่ไปโบนันซ่านั้น เราเห็นในเรื่องสนามแข่งรถที่เป็นที่โจษจันมาแต่เดิมแล้ว ดังนั้นเราต้องตอบปัญหาให้ภาคประชาชนรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องหรือไม่ จึงเป็นเหตุที่ทำให้เราทำเรื่องนี้ขึ้นมา
คดีนี้ดูเหมือนว่ารัฐจะเอาจริงเอาจังในการตรวจสอบผู้กระทำผิด แต่มองอีกด้านคนก็ห่วงว่าสุดท้ายจะจบลงแบบไหน จะมีการรอมชอมกับอำนาจเก่าหรือไม่ หรือมันอาจเป็นการขู่ให้อีกฝ่ายกลัวในตอนต้นเท่านั้นเอง
ไม่มีทางแน่นอน ผมการันตีได้ คือ เรื่องนี้ถ้าถูกก็ว่าถูก ถ้าผิดก็ต้องว่าผิด คุณจะเห็นได้ว่าตั้งแต่เราเข้ามาทำงานเรื่องนี้ เราทำตามแพทเทิร์นทุกอย่าง แต่เวลาที่เราทำ ก็ต้องให้โอกาสคนได้ชี้แจงด้วย คือ ดูทั้งพยานหลักฐานเอกสาร ตรงนี้สามารถพิสูจน์เจตนาอีกฝ่ายได้ จะมาอ้างว่าไม่เจตนาหรือไม่เจตนาอะไร มันไม่ใช่ครับ เพราะเราดูจากหลักฐานเป็นหลัก
เรื่องนี้เราเข้ามาแก้ไขปัญหาโดยขีดเส้นกับผู้บริหารที่มาจากการเมืองว่า เราจะเริ่มทำตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 57 ที่มีการเปลี่ยนแปลงการเมือง เพื่อจะได้ไม่ถูกโยงไปว่าคุณอยู่ข้างโน้นเหรอ คุณอยู่ข้างนี้เหรอ ฉะนั้นต้องดูระยะเวลาที่เราทำว่า ใครที่มาเกี่ยวข้อง ใครที่ต้องตกเป็นผู้ต้องหา ใครที่เสียประโยชน์ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลย
ผมยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องเรื่องของการบุกรุกที่ดินธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานไหนก็ตาม เราทำอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีเลยว่าข้าราชการทางการเมืองข้างบนจะมาบีบให้ทำหรือไม่ให้ทำสิ่งไหน
ในทีมของเราที่ทำงาน อย่างไหนถูกต้องเราก็ทำ สิ่งไหนไม่ถูกต้อง ถ้ามาสั่ง เราก็ไม่ทำอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำนั้น ก่อนเราทำ เราก็รายงาน คือเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องรายงานขึ้นไป แต่เราไม่ได้ถูกชี้ลงต้องทำที่ไหน เมื่อเราทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราถึงกลับมารายงาน ซึ่งก็ไม่มีฟีคแบ็กอะไรกลับมา แค่บอกว่ามีพื้นที่ไหนยังมีอีก ก็ควรทำไป
คดีนี้ผมไม่อยากให้มองดูตัวบุคคล แต่อยากให้ดูที่พยาน หลักฐาน และดูจากพฤติกรรม แค่นั้นก็พอแล้วครับ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องชี้แจงอะไรมาก เพราะการทำงานของเราที่ทำร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ นั้น เราทำไปอย่างตรงไปตรงมา และยิ่งนับวันมันก็คือการชี้แจงที่ดีที่สุดของเราแล้วครับ
ทางโบนันซ่าเขาใหญ่อ้างว่ามีเอกสารสิทธิครอบครองที่ดินชัดเจนถูกต้อง อยากรู้ว่าข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไร และจากการตรวจสอบของคุณพบว่าเอกสารสิทธิของเขานั้นถูกต้องหรือไม่
ทางเราได้มีการตรวจสอบเรื่องนี้มาแล้ว เนื่องจากพอมีหลายหน่วยงาน ความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคลจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัว เราจะรู้ทันทีว่าพื้นที่นั้นมีการบุกรุกหรือไม่ อย่างเช่นถ้าคุณดูแผนที่นี้ (โชว์แผนที่ให้นักข่าวดู) คุณจะเห็นว่าเป็นภาพถ่ายทางอากาศที่แสดงพื้นที่แนวเขตป่าไม้ถาวร ป่าสงวนแห่งชาติเขาเสียดอ้า ป่าเขานกยูง และป่าเขาอ่างหิน ส.ป.ก. ปี 32 และปี 36อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ข้อมูลพวกนี้ประชาชนไม่รู้หรอก มีแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้นที่จะรู้ว่าอะไรคือเขตไหน อย่างไร อย่างแผนที่นี้ เราจะเห็นได้ชัดว่าพื้นที่ไหนเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ อย่างแผนที่ตรงเส้นสีส้มคือ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ แล้วพื้นที่สีชมพูบานเย็น คือ จุดที่โบนันซ่าอยู่ ซึ่งนับพื้นที่ได้ 5 แปลง โดยที่เขาอ้างว่ามีเอกสารสิทธิ์
ถ้าดูจากเอกสารสิทธิ 5 ฉบับที่เขามี จะเห็นว่าเป็นเอกสารน.ส.3ก. ซึ่งเขาอ้างว่าครอบครองอย่างถูกต้องและมีเอกสารสิทธิ ซึ่งในใบเอกสารสิทธินี้จะครอบคลุมถึงสนามแข่งรถ บางจุดเขาอ้างว่ามีใบน.ส. 3 ก. และใบภาษีบำรุงท้องที่ 90 ความจริงของเดิม ถ้ามีใบนี้ สามารถครอบครองพื้นที่ได้ แต่ไม่สามารถทำประโยชน์ในลักษณะสิ่งก่อสร้าง สามารถทำแค่เพื่อการเกษตรสำหรับประชาชนเท่านั้น คือ หนึ่ง. จะต้องเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ สอง. จะต้องทำการเกษตร แต่ต้องไปค้นข้อมูลว่าที่ผ่านมาเขายกเลิกตรงนี้ไปแล้ว เพราะมันเป็นสาเหตุที่ทำให้คนบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติ แต่ทางโน่นกลับตีขลุมเข้ามาบอกว่ามีที่ดินแปลงใหญ่และมีเอกสารครอบครองสิทธิถูกต้อง แต่ถ้าไปตรวจสอบดูจะเห็นว่าเขามีแค่เอกสารน.ส.3 ก. เท่านั้น แต่ความจริงแล้วเขาไม่สามารถสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่ลงไปในพื้นที่ได้
ถ้าคุณไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลตรงนี้โดยตรง เขาจะชี้ให้คุณเห็นเลยว่าพื้นที่มีทางสาธารณะตรงไหน ซึ่งจะพบว่ามันจะอยู่ตรงกลางสนามแข่งรถเลย แสดงว่าสนามแข่งรถของโบนันซ่าสร้างคร่อมที่ดินสาธารณะอยู่ ทำให้ที่ดินสาธารณะนั้นกลายเป็นถูกเบี่ยงไปอยู่ตรงริมแทน ดังนั้นเชื่อได้แล้วว่าเอกสารสิทธิที่เขามีนั้นไม่ถูกต้อง
แล้วถ้าเราดูย้อนไป จะเห็นว่าพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ป่า การออกเอกสารสิทธิโดยวิธีการเดินสำรวจในพื้นที่ป่า ไม่สามารถทำได้ จึงเห็นแล้วว่าเอกสารเหล่านั้นได้มาอย่างไม่ถูกต้อง
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องนี้อาจเป็นการทุจริตของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จึงทำให้ทางโบนันซ่าเขาใหญ่ได้รับเอกสารสิทธิไม่ถูกต้อง
เรื่องนี้เป็นเรื่องของการพิสูจน์ แต่สาเหตุที่ออกใบอย่างนั้นมาได้ ต้องบอกว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องมีการทุจริตเกิดขึ้น แล้วในการทุจริตนั้น อาจจะมีคนที่เกี่ยวข้องมาสนับสนุนการทำผิด ซึ่งตอนนี้เรายังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นใคร ดังนั้นเราต้องไปเช็กดูว่าคนที่ขอออกเอกสารสิทธินี้เป็นใคร แต่เรื่องนี้ผ่านมานานหลายปีแล้ว อย่าลืมว่าทางโน้นมีหลักฐานในการเสียภาษี ฉะนั้นเราก็ต้องดูว่าเป็นชื่อใคร (โชว์เอกสารให้นักข่าวดู) ถ้าดูเอกสารจะเห็นว่าเป็นชื่อของคุณไพวงษ์ เขามีการทำประโยชน์เต็มพื้นที่ มีการสร้างบ้านพัก ออฟฟิศ สนามแข่งรถ ซึ่งถือว่าผิดแล้ว นี่คือสิ่งที่เรากำลังดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง และเป็นเรื่องที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ส่วนในเรื่องเอกสารสิทธินั้น คงต้องให้ป.ป.ท. ซึ่งลงพื้นที่ร่วมกับเรา รับไปดำเนินการ
ถ้าเราดูแผนที่นี้แล้ว จะเห็นว่ามันโยงไปถึงพื้นที่ที่เป็นสนามกอล์ฟ ซึ่งมีรูปแบบคล้ายๆ กัน คือ มีการไปคร่อมพื้นที่สาธารณะ และมีบางพื้นที่ที่มีการครอบครองโดยเสียภาษีบำรุงท้องที่ และมีสิ่งก่อสร้าง ดังนั้นเราก็จะต้องรื้อตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าเราทำตรงไปตรงมา ไม่ได้ไปรังแกใคร ในเวลาเดียวกัน ทางกระทรวงยุติธรรมเองร่วมกับกระทรวงทรัพยากรฯ ในการตรวจสอบพื้นที่ เพื่อชี้แจงให้สังคมเข้าใจว่า นี่ไม่ได้เป็นการรังแกใคร แล้วเราจะต้องทำในพื้นที่อื่นๆ อีกที่มีความผิดใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะพื้นที่รอบๆ เขาใหญ่เห็นว่าที่ดินหลายแปลงที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ฉะนั้นในช่วงสัปดาห์หน้า เราก็จะมีการดำเนินการกับที่ดินเหล่านั้นต่อไปอีก
ที่ผ่านมาทางคุณไพวงษ์ ก็ไปให้สัมภาษณ์รายการทีวีแห่งหนึ่งว่า เขาทำ เพราะใครๆ ก็ทำ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เขามองว่าทำไมรัฐไปจัดการเขาคนเดียว แต่ความจริงเราทำไว้ก่อนแล้ว ไม่ใช่ว่าไปคิดวันนี้แล้วทำพรุ่งนี้ แต่เราต้องวางแผนทำมาก่อนแล้ว และต้องทำในทุกๆ แปลงด้วย ไม่ใช่จะทำแค่เฉพาะแปลงของเขาอย่างเดียว
หลังจากนี้ จะดำเนินการกับโบนันซ่าเขาใหญ่อย่างไรต่อไป
การดำเนินการหลังจากนี้ เราต้องดูหลายส่วน เช่น การก่อสร้างในเขตป่า ใครดูแลตรงนั้นอยู่ ถ้าป่าไม้เป็นผู้ดูแล เขาก็เป็นผู้เสียหาย อย่างวันก่อนป่าไม้ก็ไปแจ้งความดำเนินคดีกับโบนันซ่าแล้ว หลังจากนั้นก็ต้องสั่งรื้อถอน แล้วตอนสั่งรื้อถอนเราก็ต้องดูว่าเป็นอำนาจของรัฐ สามารถสั่งรื้อถอนได้เลย หรือว่าต้องรออำนาจสั่งจากศาล
ส่วนในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธินั้น ผู้ดูแลคือ องค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งตรงนี้ถามว่าโบนันซ่ามีการขออนุญาตไหม ถ้าไม่มีก็ต้องสั่งรื้อถอน แล้วจากการตรวจสอบพบว่าโบนันซ่าไม่ได้มีการขออนุญาตแต่อย่างใด ดังนั้นคงต้องสั่งรื้อถอน แล้วในเวลาเดียวกันถ้า ป.ป.ท. ตรวจสอบพบว่า เอกสารสิทธิออกมาอย่างไม่ถูกต้อง ก็ต้องดูว่าข้าราชการคนไหนยังรับราชการอยู่ ก็ต้องถูกดำเนินคดี แต่ถ้าคนไหนหมดอายุความไปแล้ว ก็ต้องถือว่ายกประโยชน์ให้จำเลยไป แต่ว่าที่ดินป่าซึ่งเป็นของรัฐนั้น จะต้องกลับมาอยู่ในสภาพเดิม ซึ่งก็ต้องมีการรื้อถอนพื้นที่ให้กลับมาอยู่สภาพเดิมต่อไป
แล้วมีโอกาสเป็นไปได้ไหมว่าคุณไพวงษ์ เตชะณรงค์ เจ้าของโบนันซ่าเขาใหญ่จะถูกดำเนินคดีต่อไปด้วย
เรื่องนี้ต้องให้โอกาสเขาแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพราะการบุกรุกที่ดินนั้น เราก็ต้องดูเจตนาของเขาด้วยว่า เขารับทราบหรือไม่รับทราบ เราไม่สามารถชี้นำให้แก่พนักงานสอบสวน ก็คงต้องปล่อยให้พนักงานสอบสวนทำงานอย่างอิสระต่อไป เราจะว่าไปตามพยานหลักฐานมากกว่า
พอต้องมาดูแลคดีนี้ เป็นไปได้ว่าอาจต้องไปกระทบกับผู้มีอำนาจเก่าหรืออิทธิพลเก่าไม่น้อย หนักใจในการทำงานครั้งนี้หรือไม่
พอผมมาดูคดีนี้ มันไม่ใช่เรื่องของการหนักใจ แต่มันเป็นเรื่องของความถูกต้องมากกว่า คนรู้อยู่แล้วว่าอะไร อยู่ตรงไหน ความถูกต้องไม่สามารถจะเปลี่ยนเส้นว่า เขยิบมาตรงนี้นะ ตรงนี้ถูกต้องน้อย ตรงนี้ถูกต้องมากที่สุด มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่ความถูกต้องมันมีอยู่อันเดียว ผมมองว่าทุกคนรู้ว่าความถูกต้องอยู่ตรงไหน ฉะนั้นเรามายืนอยู่บนเส้นนั้นเป็นหลักดีกว่า ผมเชื่อว่าแม้จะเป็นระยะเวลาเท่าไหร่ ความถูกต้องก็ยังยืนอยู่ตรงที่เดิม
จากการตรวจสอบคดีนี้ สามารถสาวไปถึงต้นตอได้หรือไม่ว่ากลุ่มอิทธิพลในเรื่องนี้เป็นกลุ่มไหน อย่างไร
ตอนนี้เรายังตอบไม่ได้ ความเติบโตของผู้มีอิทธิพลไม่ได้มีแค่ที่นี่ที่เดียว แต่มีไปทั่วประเทศเลย แล้วถ้าพูดถึงความเติบโตของกลุ่ม ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐอ่อนแอหรือไปสนับสนุนเขาตั้งแต่เขายังเล็กๆ อยู่ ระยะเวลา 5 ปี 10 ปี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ถ้าคุณย้อนหลังไปที่มาที่ไปของแต่ละคน เราจะเห็นได้ว่าย้อนหลังแต่ละคนมีบารมีทางการเมืองอย่างไร มีอำนาจอย่างไร ในอดีตของเขาคืออะไร พอมองย้อนไป 5 ปี 10 ปี 15 ปี ก็จะเห็นว่าเขาเติบโตมาลักษณะนี้ทั้งนั้น ดังนั้นปัญหาคือทำอย่างไรสังคมไทยจึงจะเลือกคนดี คนเก่ง และเลือกคนสุจริตมาบริหารประเทศ เราโทษใครไม่ได้ แต่เราต้องโทษสังคมที่เปิดโอกาสให้คนเหล่านี้ รวมถึงข้าราชการที่ไปสนับสนุนกลุ่มเขาให้มีอำนาจมีบารมี
ในฐานะที่เคยทำงานปราบปรามการทุจริตมาก่อน มองว่าสังคมไทยควรแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตหรือประพฤติไม่ชอบในแวดวงราชการ
ตอบยาก ตอบไปก็เหมือนกำปั้นทุบดิน คิดว่าต้องเริ่มที่จิตสำนึกของคน ต้องไปแก้ที่เยาวชน เพราะเราไม่สามารถแก้คนไม่ดีในวันนี้ให้เป็นคนดีแบบฉับพลัน แต่เราทำอย่างไร เพื่อให้เยาวชนที่เป็นกำลังของชาติถูกหล่อหลอมให้มีทัศนคติที่ดีที่สุด
นอกจากคดีของโบนันซ่าเขาใหญ่แล้ว มีพื้นป่าไหนที่น่าเป็นห่วงว่าจะถูกบุกรุกอีกไหม
เราก็ต้องดูว่าพื้นที่ไหนที่เป็นป่า เป็นภูเขา เป็นทะเล คิดว่าสิ่งที่กระทรวงยุติธรรมจะทำได้ดีที่สุด คือ การที่ไปครอบครองแล้วออกเอกสารสิทธิ อันไหนที่เป็นเอกสารสิทธิไม่ถูกต้อง เราก็ต้องไปเพิกถอนทั้งหมด นอกนั้นกรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังดูแลเรื่องของป่าไม้ ดูแลเรื่องอุทยาน ใครที่ไปบุกรุกมือเปล่าโดยไม่มีเอกสารสิทธิ ก็จะเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องจัดการอยู่แล้ว แต่ว่าในพื้นที่เหล่านั้น ถ้ามีคนเข้าไปทำโรงแรม เข้าไปทำรีสอร์ทที่อยู่ในพื้นที่เขา แล้วใช้สิ่งเหล่านั้นมาหาผลประโยชน์ในทางธุรกิจ กระทรวงยุติธรรมก็อาจจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เช่น ปปง. จะเห็นได้ว่ามีรีสอร์ตหลายที่ ที่ปปง. เข้าไปยึดทรัพย์ หรือดีเอสไออาจจะเข้าไป ถ้าเจอกรณีผู้มีอิทธิพล ถึงบอกว่าบางทีเราต้องมีแกนนำหลักที่สามารถประสานงานกันได้
คิดว่าคดีโบนันซ่าเขาใหญ่จะเป็นบทเรียนหรือเป็นบรรทัดฐานให้แก่สังคมได้อย่างไรบ้าง
คดีโบนันซ่าไม่ใช่แค่คดีเดียวที่เราจะพูดถึง แต่เรามองว่ารัฐจะเสียหายอย่างไรมากกว่า ตอนนี้เรายังจับผู้ที่กระทำการผิดไม่ได้ครบวงจร แล้วยังมีคดีอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน บางคดีอาจจะเสียหายไปถึงระบบเศรษฐกิจ คือถ้าเขาทำไม่ถูกต้อง แล้วเอาเอกสารสิทธิไปเข้าแบงก์ หรือสถาบันการเงิน อาจจะทำให้เศรษฐกิจล่มได้ นี่ก็เป็นบทเรียนอย่างหนึ่งที่เราจะต้องระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก
ภาพโดย ชาติกล้า สำเนียงแจ่ม