ASTVผู้จัดการรายวัน-จับแล้ว! "กฤษณ์ บุดดีจีน" สมาชิก นปช. จังหวัดเพชรบูรณ์ ปลอมแถลงการณ์พระราชวัง เผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ ผบ.ตร.เผยผู้ต้องหาอ้างรับเป็นคนโพสต์ส่งให้สมาชิกเพจ 4 พันกว่าคนจริง ตั้ง 2 ข้อหา หมิ่นสถาบันและผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พร้อมตามล่าหาไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลัง แย้มข้อมูลหนีไม่พ้นกลุ่ม นปช. ด้านดีเอสไอรู้แล้ว "บรรพต" เครือข่ายเว็บไซต์หมิ่นเป็นใคร ชี้กำลังหาทางเผ่นออกนอก "ประยุทธ์"สั่งสืบหาต้อตอให้เจอ "จตุพร"ปัดรู้จักมือปล่อย ซัดบึ้ม-แถลงการณ์ พุ่งเป้าคนเสื้อแดง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 02.00 น. วานนี้ (4 ม.ค.) ตำรวจกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม พร้อมตำรวจสภ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ และทหารจากกองพลทหารม้าที่ 1 เข้าทำการตรวจค้นบ้านเลขที่ 129 ถ.สามัคคีชัย ต.ในเมือง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ เนื่องจากมีพยานหลักฐานว่ามีแชร์แถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอม ซึ่งพบนายกฤษณ์ บุดดีจีน อายุ 25 ปี มีอาชีพเป็นนักดนตรี และเคยเป็นผู้ช่วยประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพชรบูรณ์ เคยเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองหลายครั้ง กำลังนั่งใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คอยู่ในบ้าน จึงทำการตรวจยึดคอมพิวเตอร์ พร้อมแท็ปเล็ต และโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งฮาร์ดิสและซีดีเพลงปลุกระดมของกลุ่มคนเสื้อแดง พร้อมควบคุมตัวไปกรุงทพมหานครทันที
ล่าสุด เมื่อเวลา 14.20น. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้ที่ทำแถลงการณ์ปลอมสำนักพระราชวัง ฉบับที่ 13 และมีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ เมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมาได้แล้ว โดยเป็นชายชาว จ.เพชรบูรณ์ มีอาชีพเป็นนักดนตรี โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่คุมตัวสอบสวนอยู่ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เบื้องต้นเตรียมดำเนินคดี 2 ข้อหา ประกอบด้วย ข้อหาหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 และความผิดความ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยจะมีการแถลงข่าวให้ทราบอีกครั้ง
ต่อมา พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวภายหลังสอบปากคำ นายกฤษณ์ บุดดีจีน อายุ 25 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่แถลงการณ์ปลอมสำนักพระราชวัง ฉบับที่ 13 ผ่านทางโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ว่า จากการสอบปากคำเบื้องต้น ทราบว่าผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นเครือข่าย นปช. ซึ่งทำงานและช่วยหัวหน้าแกนนำ นปช. จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งยังมีการเคลื่อนไหวในลักษณะต่างๆ อยู่ในพื้นที่
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นให้การรับสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโพสต์เอกสารดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้เป็นคนทำแถลงการณ์ขึ้นมาโดยรับมาจากแนวร่วม นปช. อีกคน และเจตนาโพสต์ เนื่องจากเห็นว่าเป็นข้อมูลใหม่ จึงต้องการเผยแพร่ไปยังสมาชิกในเฟซบุ๊กที่มีอยู่กว่า 4 พันคนให้รับทราบ ส่วนข้อเท็จจริงผู้ต้องหาจะเกี่ยวข้องอย่างไรนั้น กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวอีกว่า เบื้องต้นผู้ต้องหาเผยแพร่แถลงการณ์ผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยลิงก์กับทวิตเตอร์ในชื่อ @NessOishii เมื่อเวลาประมาณ 21.33น. ซึ่งจากหลักฐานที่ตรวจสอบพบว่า นายกฤษณ์ เป็นผู้เผยแพร่ต่อเอกสารดังกล่าวในระดับต้นๆ ส่วนผู้ผลิตหรือปลอมแปลงเอกสารขึ้นมายังไม่ทราบว่าเป็นบุคคลใด แต่จากการตรวจสอบ URL พบว่ายังอยู่ในประเทศไทย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ตามกฎอัยการศึกเป็นเวลา 7 วัน ส่วนข้อหาเบื้องต้น เตรียมดำเนินคดีข้อหา หมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112และ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
"จากการสอบสวนนายกฤษณ์ บอกว่าได้รับข้อมูลมา จึงโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ แต่เพียงไม่กี่นาที ก็รีบลบออก เนื่องจากพบความผิดปกติของรูปแบบอักษรและการสะกดคำ ซึ่งหลังจากที่ข้อความดังกล่าวถูกโพสต์ คาดว่าเพื่อนสมาชิกน่าจะนำไปแชร์ต่ออย่างรวดเร็ว และเจ้าตัวคิดว่าเป็นข้อมูลใหม่ ไม่มีใครเคยโพสต์ จึงคิดว่าเพื่อนในกลุ่มน่าจะสนใจ อย่างไรก็ตาม ระบบยังทิ้งร่องรอยสามารถติดตามเส้นทางการโพสต์ได้ หลังจากนี้ ทหารจะรับตัวกลับไปควบคุมต่อตามกฎอัยการศึกไม่เกิน 7 วัน ระหว่างนี้ตำรวจต้องเร่งสอบสวนหาต้นตอให้ได้ว่าใครเป็นคนทำ เพื่ออนุมัติออกหมายจับต่อไป แต่จากข้อมูลขณะนี้คงหนีไม่พ้นกลุ่ม นปช. น่าจะอยู่ในกลุ่มนั้น คือ เพื่อนในกลุ่มส่งต่อมาให้ ซึ่งนายกฤษณ์ ก็ถือเป็นคนโพสต์อันดับต้นๆ โดยเผยแพร่ที่บ้าน จ.เพชรบูรณ์ ตอนนี้ใกล้ถึงคนโพสต์คนแรกเต็มทีแล้ว" พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าว
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวอีกว่า เบื้องต้นทราบว่าบุคคลที่ผู้ต้องหารับข้อมูลมาเป็นสมาชิกกลุ่ม นปช. จ.เพชรบูรณ์ เช่นเดียวกัน มีการพูดคุยแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมาโดยตลอด แต่จากการตรวจสอบไม่พบประวัติการกระทำความผิดทางคดี เพียงแต่มีแนวคิดทางการเมืองสอดคล้องกับกลุ่มเสื้อแดงเพชรบูรณ์เท่านั้น และทราบว่านายกฤษณ์ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหัวหน้าขบวนการเสื้อแดง จ.เพชรบูรณ์ และเคยเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช. เกือบทุกครั้ง แต่ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลเชื่อมโยงไปถึงหัวหน้า นปช. จ.เพชรบูรณ์
วันเดียวกันนี้ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล ผู้บัญชาการสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนจับกุมเครือข่ายเว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ใช้ชื่อ "บรรพต" ว่าดีเอสไอกำลังพยายามหาข้อมูลขยายผลใน 3 ส่วน คือ 1.ทีมงานผู้สนับสนุนด้านเทคนิค 2.ทีมคนเขียนคอลัมน์ที่ทำกันเป็นขบวนการ ใช้วิธีหลบซ่อนไอพี ซึ่งต้องต้องใช้เทคนิคในการตรวจสอบ โดยมีคนที่ใช้นามแฝง "บรรพต" เป็นผู้รวบรวมนำข้อมูลขึ้นโพสต์ทางโซเชียลมีเดีย และ 3.ทีมผู้อยู่เบื้องหลังที่ให้การสนับสนุนด้านการเงิน
จากการสอบสวนดีเอสไอทราบแล้วว่า "บรรพต" เป็นใคร และขณะนี้ยังอยู่เมืองไทย แต่พยายามเคลื่อนไหวหลบหนีออกนอกประเทศ โดยผู้ที่ใช้ชื่อ "บรรพต" เป็นคนสูงอายุ ยังไม่เคยถูกออกหมายจับ กรณีนี้พนักงานสอบสวนไม่ต้องการให้มีข่าวเคลื่อนไหวออกไปมาก เพราะขบวนการเครือข่าย "บรรพต" ก็ติดตามการเคลื่อนไหวข่าวสารจากภาครัฐ เพื่อหลบซ่อนตัวจากการจับกุม ส่วนของแถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอมนั้น ตรวจสอบแล้วไม่พบความเชื่อมโยงกับกลุ่มบรรพต
ที่สโมสรทหารบก วิภาวดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแถลงข่าวจับกุมตัวผู้ต้องหาที่กระทำผิดกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งจับกุมได้ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ และเป็นคนที่ทำการโพสต์ข้อความว่า ต้องดูรายละเอียดกัน โดยอยากเรียนว่าทั้งหมดคือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ให้เกิดความชอบธรรมด้วยหลักฐาน เราจะกล่าวอ้างลอยๆ ไม่ได้ จะต้องมีการติดตามทุกคดีไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศ จับได้หรือไม่ได้ก็ต้องรู้ว่าอยู่ตรงไหน ถ้าอยู่ในต่างประเทศจะทำอย่างไร เขาจะมีการส่งตัวให้หรือเปล่า เพราะเราไม่สามารถไปจับกุมตัวยังต่างประเทศได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการรายงานหรือไม่ว่าต้นตอของการปล่อยข่าวนั้นมาจากต่างประเทศหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องดำเนินการสอบต่อ วันนี้ต้องเอาตัวผู้ต้องหามาก่อน จากนั้นก็จะต้องสอบต่อว่าที่โพสต์ข้อความมานั้น โพสต์เพราะอะไร เป็นอย่างไร เรื่องนี้เคยชี้แจงแล้วว่าเราจับกุมมาหลายราย ก็จะอ้างว่าไม่รู้เรื่อง โพสต์ต่อมาจากคนนั้น คนนี้ไม่มีใครยอมรับสักคน ซึ่งเรื่องแบบนี้สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ทรงเมตตาคนเหล่านี้ แต่คนเหล่านี้กลับไม่เข้าใจ
เมื่อถามว่า รัฐบาลจะทำอย่างกับผู้ร้ายปากแข็งที่ไม่ยอมรับผิด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะทำอย่างไร ก็ต้องใช้กฎหมายดำเนินการ โดยการสอบด้วยหลักฐานและพยานต่างๆ ถ้าผิดก็ต้องดำเนินคดีจำคุกกี่ปีก็ว่ากันไปตามขั้นตอน ในวันข้างหน้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็จะทรวงพระราชทานอภัยโทษ ก็เป็นแบบนี้ คนถึงไม่ค่อยกลัวกัน ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงมีเมตตา
เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวจะสามารถใช้กฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์จัดการได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการพูดคุยกัน แต่กฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้ง 8 ฉบับของกระทรวงโทคโนโลยีสารสนเทศ จำเป็นต้องออกให้ทันเวลา ให้ทันการเปิดใช้ 4 จีในประเทศ รวมไปถึงการประมูลคลื่นความถี่และโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร ซึ่งมีทั้งของรัฐบาลและเอกชนเข้ามาลงทุน กรณีนี้ต้องดูแลทั้งระบบทั้งการบริหารจัดการ หน้าที่ของ กสทช.งบประมาณจากการประมูลคลื่นความถี่ และรัฐบาลจะได้ประโยชน์อย่างไร และจะนำนำไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างไร
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวหากมองในแง่ของเสรีภาพอย่างเดียวคงไม่ได้ ดังนั้นการที่รัฐบาลจะเข้าไปแทรกแซงหรือทำอย่างใดอย่างหนึ่งหากไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ซึ่งต้องดูเรื่องของจุดประสงค์ด้วยว่ารัฐต้องการเข้าถึงข้อมูลด้วยเหตุผลอะไร และหากเข้าไปดูข้อมูลเพราะมีการทุจริตผิดกฎหมายจะทำได้หรือไม่ และในสถานการณ์ที่ไม่ปกติจะทำอย่างไร
“ถ้าบอกว่าอะไรก็อิสระเสรีทั้งหมด แต่ปัญหาต่างๆ ทำให้เกิดความรุดแรง ซึ่งเราต้องช่วยกันดูในหลายมอย่าง ต้องช่วยผมคิดว่าจะทำอย่างไร ตอบให้ผมด้วย ร่างกฎหมายให้ผมหน่อยสิว่าสื่อเสรีภาพจะทำอย่างไร ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ มีการปลุกปั่น ปลุกระดมมวลชนหาทางออกให้ผมหน่อย ถ้าบอกว่าตีกันเหมือนเดิม รับได้ก็รับ ถ้าไม่มีอะไรผิดถูกใครจะอยากไปดู”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ทางด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. กล่าวว่า การจับกุมผู้เผยแพร่เอกสารปลอมโดยบอกว่ามีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยประธานนปช. นั้น ขณะนี้เรากำลังตรวจสอบว่าใครเป็นใคร มีที่มาที่ไปอย่างไร เพราะไม่รู้จักมาก่อน และตำแหน่งดังกล่าวตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยิน และไม่เคยมี มีความเป็นมาอย่างไร บุคคลดังกล่าวเป็นต้นตอในการเผยแพร่ หรือเป็นผู้เผยแพร่ต่อเท่านั้น
"เรื่องนี้ผิดปกติ เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลบอกว่าเอกสารดังกล่าวส่งมาจากต่างประเทศ สุดท้ายมาบอกว่าส่งมาจากจังหวัดเพชรบูรณ์ และเห็นได้ชัดว่าขณะนี้หลายเรื่องมีความพยายามที่จะพุ่งเป้ามาที่นปช. คนเสื้อแดง เป็นการปรับกลยุทธ์เบี่ยงเบนหลากหลายปัญหา เช่นดังแต่กรณีระเบิดที่สยามพารากอน จากเดิมพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. จะให้พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงคนเดียว ต่อมาพอเริ่มมีทิศทางว่าเกี่ยวข้องกับปี 53และปี 57 ตำรวจนครบาลก็เปลี่ยนแปลงเป็นผู้ดำเนินการเท่ากับว่าไม่เป็นไปตามที่ผบ.ตร.แถลง ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวเนื่องกันที่ต้องการให้นปช.เป็นหมู่บ้านกระสุนตก เวลานี้เรายังไม่ได้ขับเคลื่อนอะไรเรายังอยู่ในแนวทาง" ประธานนปช.กล่าว
นายจตุพรกล่าวอีกว่า ทั้งหมดนี้จะเห็นว่าผิดปกติ เพราะตั้งแต่ผ่านการต่อสู้มา เราเห็นการจัดฉากการวางแผนปฏิบัติการไอโอ หวังผลระยะสั้นและระยะยาว พอคนลืมก็ไม่มีอะไร เพราะฉะนั้น ขณะนี้ต้องรอดูรายละเอียดและชี้แจงเป็นทางการอีกครั้ง