ASTVผู้จัดการรายวัน - นายกฯ ขอสื่ออย่ากระพือข่าวมือบึ้มพารากอน สั่งล่าคนวาง-คนสั่งการ ไม่สนทหารเก่า-ตำรวจเก่าเอี่ยวจับหมด ชี้เป้าโยงกลุ่มป่วนเมืองปี 53 , 56-57 จวกพวกสมองเสีย มองรบ.-คสช.ทำหวังคงอัยการศึก ยันไม่เกี่ยวแย่งชิงจ่าฝูงในกองทัพ ยอมรับไม่กังวลเกิดเหตุซ้ำ แต่ห่วงปชช.เดือดร้อน พร้อมเพิ่มทหารจุดเสี่ยงเฝ้าระวัง บช.น.ชี้เหตุระเบิดหน้าสยามพารากอน คืบ 70 % ยันลักษณะเหตุคล้ายกับ ปี 57 ที่พื้นที่มีนบุรี เร่งติดตามจับกุมมือระเบิดเพื่อขยายผล เตรียมออกหมายจับมือวางระเบิดวันนี้ “ประวุฒิ” ยังควานหากล้องซีซีทีวีเพิ่มเติม เพื่อเชื่อมสองผู้ต้องสงสัยกับเหตุที่เกิดขึ้น นำไปสู่การขอออกหมายจับ
วานนี้ (3 ก.พ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงความคืบหน้าของการติดตามมือวางระเบิดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าห้างสยามพารากอนว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงว่ายังมีคนบางประเภทที่ไม่เข้าใจว่าบ้านเมืองเราอยู่ในสถานการณ์อะไร และมุ่งหวังแต่เพียงทำให้เกิดความขัดแย้ง ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น และสร้างผลกระทบต่อการท่องเที่ยว การค้า การลงทุน ซึ่งมันไม่ใช่ วันนี้เรื่องของบ้านเมืองเขาต้องคิดว่าเขาเป็นคนไทยหรือเปล่า ที่ทำแบบนี้ วันนี้ฝ่ายความมั่นคงได้รายงานมาแล้ว โดยมีการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งกำลังดำเนินการสืบความเชื่อมโยงให้ได้ และคงต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด ถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
"ขอเตือนไว้ก่อนแล้วกัน วันนี้ได้สั่งการการป้องกันอาชญากรรม การกระทำการทุจริตผิดกฎหมายต้องเข้มงวด วันนี้ให้ คสช.ดำเนินการอย่างเต็มที่ในการเพิ่ม วางกำลัง ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง แต่ต้องระมัดระวังเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ในกรณีที่ใช้ทหารออกทำงานในพื้นที่ สถานการณ์กำลังไปดีๆอยู่แล้ว ถ้าเราไม่จัดคนดูแลเพิ่มเติมคงไม่ได้ สิ่งหนึ่งต้องเรียนทำความเข้าใจว่า ไม่ใช่ว่ามีกฎหมายความมั่นคงแล้ว หรือมีกฎอัยการศึกแล้วทุกคนจะกลัว นี่แสดงว่ามันยังมีอยู่ และเข้าใจว่าเราไม่ได้ทำอะไรเข้มงวดขนาดนั้น เขาเลยใช้วิธีการเหล่านี้ และก็เคยเกิดมาหลายครั้ง ลองไปดูว่าเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นในสถานการณ์ไหน เช่น ปี 53 ก็มีเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงมาตอบโต้รัฐบาล พอปี 56-57 ก็ใช้ความรุนแรงมาตอบโต้กลุ่มต่อต้าน เหตุการณ์แบบนี้มาจากใครคิดกันเอาเอง จากใครไม่รู้ ถ้าไม่ใช่พวกไหน ก็ต้องหาตัวพวกที่ว่านี้มา อย่าไปให้ความสำคัญมากนัก โชคดีที่ไม่มีคนบาดเจ็บสูญเสีย ก็ถือเป็นบทเรียน และเป็นบทเรียนทุกเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงต้องไปเข้มงวดหามาตรการ เพราะมันจะอันตรายมากขึ้นในช่วงที่เป็นเออีซี " พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
**อัดพวกสมองเสียหาคสช.สร้างสถานการณ์
ผู้สื่อข่าวถามว่าฝ่ายความมั่นคงได้มีการประเมินหรือไม่ว่า ผู้ก่อเหตุต้องการสร้างสถานการณ์เพื่ออะไร นายกฯ กล่าวว่า ก็เห็นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับมีการประเมินกันมาแล้ว โน่นนี่ ท่านก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว มันจะมาจากใครล่ะ ตนไปทำเองหรอ ก็มีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า 1. มาจากรัฐบาลทำเอง คสช.ทำเอง เพื่อต่อกฎอัยการศึก ไอ้พวกนี้สมองเสีย มันเขียนอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่มีใครเขาลงทุนขนาดนั้นหรอก 2. การแย่งชิงจ่าฝูงในกองทัพบก การโยกย้ายในกองทัพบกจะมีเดือนตุลาคมโน่น ยังไม่มีปรับย้าย หรือจะเป็นตำรวจนอกแถว ก็กำลังตรวจสอบทั้งหมด จะเกี่ยวข้องทหารเก่า ตำรวจเก่า ก็ต้องลงโทษอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว อย่าไปให้ความสำคัญมากนัก ไปหามาตรการจะเฝ้าระวัง จะช่วยดูแล และแจ้งเจ้าหน้าที่กันอย่างไร นั่นคือ สิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกัน เป็นหน้าที่ของทุกคนในชาติ เจ้าหน้าที่มีจำนวนจำกัด เขาก็ทำอย่างเต็มที่ เว้นแต่ว่าปล่อยปะละเลย แต่อันนี้คงไม่ใช่ เพราะเป็นพื้นที่สัญจรไปมา ซึ่งไม่คาดคิดว่าใครจะต้องมาทำแบบนี้ แสดงว่าไม่เห็นใจประเทศไทยกันเลย คนไทยทั้งหมด
** ติงสื่อไม่ควรขยายความให้ใหญ่โต
เมื่อถามว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องทำความเข้าใจกับต่างชาติอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เขาเข้าใจในเหตุการณ์ และสิ่งที่ทำมาไม่เกิดประโยชน์กับใครเลย 1. ไม่เกิดประโยชน์กับตน 2. ยิ่งทำให้ต่างชาติมองไทยยังมีเหตุการณ์อย่างนี้ เขาก็ต้องเข้าใจเรา ยิ่งหนักไปกว่าเดิมคนที่คิดทำแบบนี้ มันแย่ เมื่อถามกรณีที่สหรัฐอเมริกา ออกแถลงการณ์การเตือนนักท่องเที่ยวชาวสหรัฐฯ ที่มาเที่ยวไทยให้ระมัดระวังจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อย่าไปยุ่งกับเขามากนักเลย ปล่อยเขาไปเถอะ ก็ชี้แจงไปแล้ว ก็จบแล้ว มันอะไรนักหนา วันหน้าก็ต้องคบค้าสมาคมกันอยู่แล้ว ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวเราก็สร้างความมั่นใจ จะดูแลให้มากที่สุด ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็พูดว่าโอเคไม่มีผลกระทบเท่าไหร่ มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะขยายความแค่ไหน จะขยายข่าวให้คึกโครมแค่ไหน นั่นแหละมีผลกระทบ วันนี้ตนคิดว่ายังน้อย เราต้องยืนยันกลับไปว่า จะดูแลให้ดีที่สุด ก็เหมือนทุกประเทศ โอกาสจะเกิดขึ้นก็มีทุกประเทศ ซึ่งก็เห็นอยู่ว่ามีเหตุการณ์ลักษณะเหล่านี้ เรามีแต่น้อยนิดเดียว ไม่มีใครบาดเจ็บแต่เราต้องป้องกันต่อไปให้ได้ในคราวหน้า อย่าไปขยายความให้เขาเลย
เมื่อถามว่า จะติดตามจับคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ นายกฯ กล่าวว่า บอกแล้วใครเกี่ยวข้องจับหมด จะเลือกจับได้ไหมเล่า ก็จับหมดแหละ คนวางก็ต้องจับ อยู่ดีๆ มันจะมาบ้าวางเล่นหรือไง ก็ต้องจับ ใครสั่งมันก็ไปสอบมา ถึงใครก็จับมา ใครไม่อยู่ก็ออกหมายจับไปก็ได้อยู่แล้ว
"วันนี้ให้โอกาสผ่อนผันอะไรเยอะแยะ ยังสร้างความรุนแรงเกิดขึ้น ผมถามว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ท่านยืนยันกับผมไหมว่า ถ้าไม่ใช้กฎหมายพิเศษแล้วจะไม่มีเรื่อง แต่วันนี้ยังมีเรื่อง ผมถามว่าคนเหล่านี้เป็นใคร ไปหามา ไม่ได้โมโหเลยนะเนี่ย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นอีก นายกฯ กล่าวว่า อย่าใช้คำว่ากังวล ตนเป็นห่วงคนไทย คนบริสุทธิ์ที่จะต้องมีปัญหาเดือดร้อน ต้องเขียนให้ตนว่า วันนี้รัฐบาลกำลังสร้างความเข้มแข็ง ถ้าเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว สังคม แต่มีคนเหล่านี้มา แทนที่จะมาว่า ตนดูแลไม่ดี ต้องไปตำหนิฝ่ายโน้น ตนทำแบบนี้ต้องไปช่วยตน เขียนสอนเขาแบบนี้สิ ใช่ไหม การเสนอข่าวความรุนแรงบางครั้งโอเค เป็นข้อเท็จจริง แต่ถ้าเสนอความรุนแรงมากๆ ก็กลายเป็นว่าประเทศไทยเคยชินกับความรุนแรง ทีวีบางช่องถามแล้วถามอีก เช้าเย็นเอาไปออกอยู่นั่น เรื่องความรุนแรงไม่เห็นสรุปเลยว่าอย่างนี้ไม่ถูกต้อง เอาปืนมายิงกัน คนฟังกันทุกวันก็ชิน มันยิงกันธรรมดา ปกติ ยามยิงคน คนยิงยาม วันนี้กำชับไปแล้ว ก็ต้องไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมของคนไทย ไปแก้ที่มิติของสังคม นี่ไงค่านิยมคนไทย เรื่องนี้สำคัญ ถ้าทุกคนมีความคิดที่ดีก็จะไม่สร้างผลกระทบความเดือดร้อนคนอื่น และเราก็ไม่ต้องไปขยายความรุนแรงให้กับเขา นี่คือหน้าที่ของสื่อที่ตนอยากขอร้อง
"เหตุการณ์นี้ผมไม่กังวล แต่เป็นห่วงการบังคับใช้กฎหมายก็ต้องใช้อย่างสร้างสรรค์ ท่านลองดูกฎหมายก่อนหน้าผมเข้ามา มันใช้ได้บ้างไหม ตอบสิ ได้ไหม เขียนให้ตายมันไม่ทำ วันนี้มีกฎหมายอย่างนี้ ยังไม่ทันมีกฎหมายใหม่อะไรที่เกี่ยวกับความมั่นคง ก็ยังมีอยู่เลย ผมถามว่า แล้วกฎหมายจะไปกันอะไรได้ ถ้าจิตสำนึกคนมันไม่ได้ ยังไงมันก็ไม่ได้ กฎหมายเป็นเครื่องมือของเจ้าหน้าที่ อย่าเอากฎหมายมาเป็นพันธกรณีให้เจ้าหน้าที่ทำงานไม่ได้ จะใช้สิทธิเสรีภาพแบบไร้ขอบเขตไม่ได้ สิทธิเสรีภาพมีทุกคน หน้าที่ตามกฎหมายก็ต้องมี ทำให้บ้านเมืองปลอดภัยมีความสงบสุข ประชาชน เอกชน สื่อสิ่งพิมพ์ โฆษณา โทรทัศน์ โซเชียลมีเดีย ทุกคนต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจ ไม่ให้เกิดความขัดแย้ง อะไรเป็นข้อเท็จจริงเสนอได้ ผมไม่ห้าม แต่ถ้าเป็นความขัดแย้งอย่าไปขยาย นั่นคือสิ่งที่จะช่วยชาติบ้านเมืองในเวลานี้ วันหน้าก็ลองดูแล้วกัน มีรัฐบาลเลือกตั้งมา แล้วท่านก็ทำแบบที่ถามผม โอเคไหม โอเคจ้า ขอบคุณนะ วันนี้อารมณ์ดี ลมเย็น" พล.อ.ประยุทธ์กล่าวพร้อมก้าวลงจากโพเดี้ยม โดยเดินขากระเผลกเล็กน้อย บอกกับสื่อว่า เจ็บขา ยืนนาน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าการจับกุมตัวคนร้ายที่ลอบวางระเบิดครั้งนี้ ว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการติดตาม ขอเวลาให้ตำรวจได้ทำงานก่อน ส่วนจะเกี่ยวกับเรื่องการเมืองหรือไม่ ตนคิดว่าก็ใกล้เคียง
**ผบ.ทบ.ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องดังกล่าว แต่ก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องตื่นตระหนก โดยพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ก็ได้สั่งการให้หน่วยงานความมั่นคงดูแลเต็มที่ ปรับแผนความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหาร โดยทั่วไปนั้นทางตำรวจก็ต้องดูในภาพรวม ทหารจะสนับสนุน โดยเฉพาะในช่วงเวลาล่อแหลม หรือยามวิกาล ทหารก็จะช่วยดูแลตรวจตรา ส่วนเรื่องการติดตามตัวนั้นทางตำรวจก็ออกมาชี้แจงหมดแล้ว ว่ามีแนวทางแล้ว ทหารก็จะสนับสนุน ก็ให้ประชาชามั่นใจว่าทางรัฐบาลได้ให้หน่วยงานความมั่นคงระมัดระวังและดูแลแล้ว แต่ว่าไม่ต้องตกใจ ขอให้ดำเนินชีวิตตามปกติ หากมีเรื่องราวผิดสังเกตก็ขอให้แจ้งมา จะได้เป็นประโยชน์ในการดูแลความสงบได้ดีขึ้น หากได้รับความร่วมมือจากประชาชนแล้ว ทุกอย่างก็จะทำได้ด้วยดี
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่เนื่องจากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นติดต่อกันทั้งการลอบวางระเบิดและกรณีเอกสารแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนที่ถูกปลอมแปลงขึ้น พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า อย่านำเรื่องทั้งหมดมาโยงกัน จะคิดมากไปกันใหญ่ สิ่งต่างๆที่ไม่ดีก็หาต้นตอ ไม่ควรขยายความไป ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ก็ได้กำชับมาแล้วว่าให้หาต้นตอเอกสารปลอมดังกล่าว
***ตร.ชี้เหตุบึ้มพารากอนคืบ 70 % โยงเหตุระเบิดมีนบุรี ปี 57
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล.(บช.น.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง รองผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.รณกร ศุภสมุทร ผบก.ประจำภ.3 และเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้องร่วมกันประชุมความคืบหน้ากรณีระเบิด บริเวณทางเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าสยาม เมื่อคืนวันที่1ก.พ.ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่มีข้อมูลคนร้ายจาการสอบปากคำพยานในที่เกิดเหตุ วัตถุพยาน และเอกสารสำคัญต่างๆ เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีลักษณะคล้ายกับเหตุการระเบิดที่เกิดขึ้นในมีนบุรีเมื่อต้นปี57ประมาณ 80-90% ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นมีคนสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่นั้น ขอยืนยันว่าตราบใดที่ยังจับกุมตัวคนร้ายไม่ได้ จะยังไม่มีการชี้แจงหรือยืนยันข้อมูลเด็ดขาด ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าของคดีไปแล้ว 70%
ทั้งนี้ทางผู้บัญชาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ได้สั่งการให้เพิ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ออกปฏิบัติหน้าที่ตรวจตราตามสถานที่ต่างๆ และเน้นย้ำให้ตรวจตราในชุมชนทั่วกทม.
**** หาซีซีทีวี ก่อนเสนอหมายจับ ตั้ง 2 ข้อหา
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงความคืบหน้าคดีเดียวกันว่า ตำรวจได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด พบบุคคลต้องสงสัยเป็นชาย 2 คน ลักษณะเป็นชาวเอเชีย รูปร่างสันทัด สวมหมวกแก๊ปสีดำกับขาว นั่งอยู่ใกล้กับจุดที่เกิดเหตุระเบิด และมีถุงต้องสงสัยอยู่ด้วย ซึ่งทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กำลังวิเคราะห์ภาพและตรวจสอบว่า ชายทั้งสองคนจะเป็นผู้ก่อเหตุหรือไม่ เพราะอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุในขณะนั้นมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม อาจมีคนอื่นร่วมก่อเหตุมากกว่านี้ซึ่งต้องตรวจสอบจากกล้องตัวอื่นอีกครั้ง ส่วนรายละเอียดว่าคนร้ายมาได้อย่างไร และมีสาเหตุอย่างไรนั้นยังไม่ทราบในขณะนี้
“ภาพคนร้ายที่ได้ยังไม่ชัดเจน เพราะกล้องอยู่ไกล เบื้องต้นผมมีข้อมูลเท่านี้ ทราบว่าขณะนี้ฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างขออนุมัติหมายจับ เมื่อวานตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานได้ไปเก็บข้อมูลเพิ่มเติม เผื่อว่าจะมีลายนิ้วมือของคนร้ายอยู่บริเวณดังกล่าว แต่ตอนนี้ยังไม่ได้รับข้อมูลยืนยันว่าออกหมายจับได้หรือยัง”
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า กล้องวงจรปิดไม่ได้ติดตั้งครอบคลุมทุกพื้นที่ ทำให้ไม่สามารถจับภาพ 2 คนนั้นตั้งแต่เดินขึ้นมาบนสถานีรถไฟฟ้า และมานั่งอยู่จุดนั้น เช่น หากชายสองคนถือกระเป๋ามาแล้วมีช่วงจังหวะที่กระเป๋าเกิดหายไปก็อาจเป็นแนวทางสืบสวนได้ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเชื่อมโยงได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ต้องรู้คนทำก่อน เนื่องจากมีหลายประเด็นที่ต้องวิเคราะห์ ทั้งความขัดแย้งในพื้นที่ ธุรกิจ รวมทั้งการเมือง ซึ่งวิเคราะห์ยาก อาจไปเจอประเด็นที่ประชาชนเกิดความวิตกกังวลขึ้นได้ แต่ยืนยันว่าฝ่ายสืบสวนมีข้อมูลความคืบหน้าพอสมควร เพียงแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ เพราะจะกระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ อยากให้รอผลการทำงานของชุดสืบสวนก่อน
ส่วนจะมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์เมื่อปีที่ผ่านมาย่านมีนบุรีหรือไม่นั้น พบเพียงชิ้นส่วนของระเบิด ซึ่งเป็นท่อเหล็กขนาด 10 ซม. ยาว 20 ซม.ที่คล้ายกัน แต่วิธีประกอบต่างกัน และดินระเบิดที่ใช้ ขนาดของระเบิด รวมถึงวิธีการหน่วงเวลาก็ต่างกันด้วย อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ประกอบระเบิดสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ทั้งดินเทา ดินดำ หาซื้อและประกอบเองได้ หากใครที่สามารถประกอบประทัดได้ก็สามารถทำระเบิดชนิดดังกล่าวได้เช่นกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ตำรวจพุ่งเป้าไปที่กลุ่มใดเป็นพิเศษหรือไม่ โฆษก ตร.กล่าวว่า พุ่งประเด็นสืบสวนไปยังกลุ่มที่ปฏิบัติงานใต้ดินที่ต้องการสร้างความเสียหาย และหวาดกลัวในสังคม แต่ตอนนี้ยังไม่พบความเชื่อมโยงกับกลุ่มใด และยังไม่แน่ชัดว่ามีกี่กลุ่ม
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะใช้หลักฐานใดมัดตัวคนร้ายจนนำไปสู่การออกหมายจับ พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า จะใช้ภาพจากกล้องวงจรปิด ประกอบกับพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ เบื้องต้นตำรวจได้ตั้งไว้ 2 ข้อหา คือ ทำให้เกิดความเสียหายและหวาดกลัว รวมทั้งครอบครองวัตถุระเบิด
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ก่อนหน้านี้ได้รับการแจ้งเตือนถึงเหตุรุนแรงหรือไม่ พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า มีเพียงการแจ้งเตือนกันภายใน เกี่ยวกับความวุ่นวายในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส ที่อาจกระทบมาถึงประเทศไทยได้ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็เฝ้าระวังอยู่ตลอด นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ตำรวจเร่งจับกุมคนร้ายได้โดยเร็ว เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก พร้อมกำชับให้ตำรวจท้องที่เฝ้าระวังสถานที่ที่มีประชาชนรวมตัวจำนวนมาก เช่น สถานีรถไฟฟ้า สถานีขนส่ง ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ตลาดกลางคืน โดยเพิ่มกำลังตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ รวมถึงเพิ่มความถี่ในการตรวจตราอย่างเข้มงวด
“การข่าวขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งเตือนว่าจะเกิดเหตุเพิ่มเติม แต่ตำรวจก็เฝ้าระวัง พร้อมติดตามข่าวความไม่สงบทั้งภายในและนอกประเทศอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ในวันที่ 4 ก.พ.ถ้ามีความคืบหน้าเพิ่มเติมจะได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนต่อไป”
***ตำรวจพุ่งเป้ากลุ่มเดียวกับบึ้มมีนบุรีปี57
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยแนวทางการสืบสวนเหตุวางระเบิดที่บริเวณด้านหน้าสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม ทางเข้าหน้าห้างสยามพารากอน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ว่า ตนยังคงยืนยันว่าคล้ายกับเหตุระเบิดที่มีนบุรีเมื่อเดือนเมษายน 2557 สิ่งที่คล้ายกันคือลักษณะของแท่งระเบิด ลักษณะของดินที่บรรจุ รูปทรงการบรรจุ รวมไปถึงการจุดชนวนระเบิดที่มีความคล้ายคลึงกัน และระยะเวลาในการระเบิดทั้งสองจุดนั้นห่างกัน 15- 30 วินาทีในแต่ละจุด
ในขณะที่แนวทางการสืบสวนต้องพุ่งเป้าไปที่ผู้ต้องสงสัยกลุ่มนี้ก่อนเนื่องจากมีความใกล้เคียงกันแต่กลุ่มอื่นนั้นทางชุดสืบสวนก็ยังไม่ตัดทิ้ง สำหรับสาเหตุที่คนร้ายก่อขึ้นในครั้งนี้คาดว่าเป็นการสร้างความปั่นป่วน หรือต้องการสร้างสถานการณ์ เพื่อทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวของประเทศ