ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -บรรยากาศทางการเมืองเข้มข้นขึ้นทุกขณะ เป็นที่ทราบกันแล้วว่าชะตากรรมของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อาจจะต้องมีเส้นทางเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประทับรับฟ้องคดีทุจริตจำนำข้าวทำความเสียหายแก่รัฐกว่า 6 แสนล้านบาทโดยจะพิจารณาคดีนัดแรกในวันที่ 19 พ.ค.2558
ล้อกับคดีระเบิดป่วนเมืองที่กำลังผสมทหาร-ตำรวจสามารถจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาได้ทั้งหมดรวม 11 คนประกอบด้วยนายยุทธนา เย็นภิญโญ นายมหาหิน ขุนทอง 2 มือปาระเบิดศาลอาญา ถนนรัชดาฯนางสุภาพร หรือเดียร์ มิตรอารักษ์ และยังซัดทอดไปถึงนายมนูญ ชัยชนะ หรืออเนก ซานฟราน แกนนำเสื้อแดงที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ต่างประเทศโดย “อเนก ซานฟราน”มีคดีติดตัวหลายคดีรวมถึงความผิดตามมาตรา 112 นอกจากนั้นยังมีผู้ต้องหาที่น่าสนใจอีกคนหนึ่งคือน.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือ “แหวน”พยาบาลอาสาพยานปากสำคัญคดี 6 ศพวัดปทุมวนารามที่มาเกิดในห้วงเวลาไล่เรี่ยกัน
โฟกัสการเมืองไทยจึงส่องดูการขับเคลื่อน 2 เหตุการณ์ที่ทำท่าจะกลายเป็นเรื่องเดียวกัน มีการเชื่อมโยงตัวละครต่างๆ อีกทั้งการข่าวของฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่าขบวนการป่วนเมืองมีจุดประสงค์ก่อความวุ่นวาย สร้างสถานการณ์ยืมมือต่างชาติเพื่อล้มอำนาจรัฐ แม้ฝ่ายเสื้อแดงกับผู้เกี่ยวข้องจะพยามตั้งข้อสังเกต หยิบข้อพิรุธต่างๆมาโจมตีแต่จากพฤติการณ์รวมไปถึงพยานหลักฐานต่างๆค่อนข้างรัดกุม และบ่งชี้ไปถึงความเกี่ยวข้องของกลุ่มต่อต้าน
การปฏิเสธของกลุ่มแก๊งร่วมอุดมการณ์จึงบางเบาเป็นนามธรรมจนไม่สามารถจับต้องได้
อย่างไรก็ตามทั้งคดีอดีตนายกรัฐมนตรี กับขบวนการระเบิดป่วนเมือง คงเป็นหนังชีวิตต้องติดตามกันอีกยาวนานกว่าถึงตอนจบ ว่าไปแล้วนี่คือเพียงจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งรอบใหม่ ถ้ารัฐบาล หรือ คสช.เอาอยู่เราก็อาจจะได้เห็นการเลือกตั้งในต้นปีหน้าตามโรดแม็บ พร้อมโฉมหน้าใหม่ของการเมืองไทยซึ่งคนไทยทุกคนหวังไว้ว่าจะต้องดีขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้ารัฐบาลทหารเอาไม่อยู่ ก็สุดคาดเดาเพราะบ้านเมืองนี้คงมีแต่ความวุ่นวายไม่ต่างไปจากมิคสัญญีอย่างแน่นอน
ท่ามกลางกระแสการเมืองที่เชี่ยวกราก ทั้งคดีการบ้านคดีการเมืองโผล่ออกมาให้เห็นอย่างถี่ยิบ ผลการปฏิบัติงานสนองตอบรัฐบาลทหารของตำรวจลายพราง ถือว่าสอบผ่านนอกจากเน้นเรื่องความมั่นคง ก็ยังไม่ลืมปัดกวาดบ้านตัวเองจะเห็นได้จากยังมีการปราบปรามบ่อนพนัน ผู้มีอิทธิพล และปัญหาสังคมอื่นๆอย่างต่อเนื่อง
แต่มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะบทบาทของรองผบ.ตร.อีกหลายท่านจนสังคมข่าวอาจยกให้เป็น “ตำรวจโลกลืม” หรือ “รอง ผบ.ตร.ที่โลกลืม”เลยก็ได้เพราะทุกวันนี้เหมือนกับมีตำรวจเพียง 3-4 คนเท่านั้นที่ทำงานกัน
คนแรกคือพล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คนที่สองพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. คนที่สามพล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิตพราหมณกุล ผบช.น. คนที่สี่คนสุดท้ายพล.ต.อ.เรืองศักดิ์ จริตเอก รองผบ.ตร.ฝ่ายปราบปราม
ส่วนที่เหลือแม้แต่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง ที่รู้กันว่าเป็นนายตำรวจดาวรุ่งพุ่งแรงยังหายหน้าหายตาไปจากวงจรข่าวเพิ่งจะเห็นโผ่ลมาร่วมแจมคดีระเบิดป่วนเมืองเมื่อไม่กี่วันมานี้ คำถามจึงเกิดขึ้นในกลุ่มคนช่างสังเกต
ความจริงตำรวจระดับ “บิ๊ก”ไม่ได้มีแค่ “สมยศ - เรืองศักดิ์-ศรีวราห์-ประวุฒิ”เท่านั้น ยังมีรองผบ.ตร.หรือเทียบเท่าอีกหลายท่านเช่น พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร.ฝ่ายกฎหมาย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร.ฝ่ายบริหาร1 พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผบ.ตร.ฝ่ายปราบปราม 1 พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ รองผบ.ตร.ฝ่ายบริหาร 2 พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผบ.ตร.ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) พล.ต.อ.ชนินทร์ ปรีชาหาญ จเรตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ไตรรัตน์ อมาตยกุล นายตำรวจราชสำนัก
ยังมีที่ปรึกษา สบ.10 อีก 5 ท่านคือพล.ต.อ.สุพร พันธ์เสือ พล.ต.อ.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ พล.ต.อ.อำนาจ อันอาตย์งาม พล.ต.อ.ชัยยง กิรติขจร และพล.ต.อ.ชัยยะ อำพันธ์กุล
อาการนิ่งเหมือนกบจำศีลของรอง ผบ.ตร.ส่งสัญญาณหลายอย่างให้มานั่งวิเคราะห์กัน อันดับแรกต้องยกความดีให้กับกฏอัยการศึก ที่ยังตรึงเชื้อโรคในสังไทยไว้หลายอย่าง นับตั้งแต่กลุ่มผู้มีอิทธิพลตลอดจนอบายมุขต่างๆที่มีกำลังทหารคอยช่วยสอดส่องดูแลตลอด
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. หน่วยงานขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการฯนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลายเรื่องที่เกินความสามารถของตำรวจก็ได้ กอ.รมน.เข้ามาเสริม หรือ “นำ”จนควบคุมทุกสถานการณ์ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด...เมื่อผนวกกับบรรดาตำรวจลายพราง หรือตำรวจขั้วอำนาจปัจจุบันเช่นพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคงและพล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิตพรหมณกุล ผบช.น.งานอื่นๆภายใต้ความรับผิดชอบของรองผบ.ตร.จึงค่อยๆถูกลดบทบาทและความสำคัญ
แทบไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ตำรวจคนดังอย่างพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร.ฝ่ายบริหารมีหน้าที่รับผิดชอบมากมายรวมทั้งการปราบปรามยาเสพติดจะหายไปจากพื้นที่ข่าว...ไม่น่าเขื่อว่าพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร.ฝ่ายกฎหมาย ซึ่งเคยเป็นว่าที่ผบ.ตร.มาแล้วครั้งหนึ่งจะทำงานอย่างเงียบเชียบ กลายเป็นนายตำรวจที่ไม่มีบทบาทอะไร
ยังรวมไปถึงรองผบ.ตร.คนอื่นๆที่ “โลกลืม”หากเอ่ยชื่อมาบางทีนักข่าวประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บางคนอาจจะไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินว่าเขาเป็นใครก็ได้
อาการนิ่งของรอง ผบ.ตร.อีกเหตุผลหนึ่งน่าจะมาจากการหยุดดูทิศทางลม หรือเตรียมพร้อมสรรพกำลังเพื่อสู่สนามชิงความเป็นใหญ่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า...ว่ากันว่าตำรวจ(ไทย)คือไม้เลื้อย ใก้ลไหนก็เกี่ยวนั่นอย่าไปห่วงเรื่องผลัดขั้ว เปลี่ยนสี
ขอให้รอหลังเมษาฯเป็นต้นไปจนก่อนถึงการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีครั้งใหญ่ 2 เดือนคือช่วงสิงหาคม - กันยายน บรรรดารองผบ.ตร.ที่มั่นใจว่าตัวเองมีน้ำหล่อเลี้ยงดี มีโปรโมเตอร์เด่นจนถึงขั้นอาจพลิกสถานการณ์ได้ก็จะออกมาวาดลวดลายชิงพื้นที่ข่าวกันใหม่
เพราะในยุคปัจจุบันตำรวจไทยโดยเฉพาะตำรวจระดับบิ๊ก ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ในกองทัพไม่มั่นใจจริงๆก็ต้องอาศัยกองเชียร์จากบรรดาเศรษฐี นักธุรกิจ ตลอดจนพระสงฆ์องค์เจ้า ให้ช่วยสนับสนุน
ยิ่งไปกว่าก็คือปฏิบัติการก้าวกระโดดของนายตำรวจบางคนที่มีปัญหาเรื่องทวีคูณอายุราชการจากสิทธิปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่กำลังทวงคืน และมีสิทธิชนะความเสียด้วย จากตำแหน่ง “ผู้บัญชาการ” อาจขยับกินหลายต่อเข้าไลน์ “รองผบ.ตร.”
เมื่อถึงนาทีนั้นตัวชิงแชมป์ ผบ.ตร.สืบต่อจากพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง คงมิใช่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง เพียงชื่อเดียวอีกต่อไปชื่อของพล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิตพรหมณกุล อาจจะเข้าเกียร์ห้าตัดเข้าโค้งเบียด “บิ๊กแป๊ะ”อย่างสูสี เป็นคู่ท้าชิงที่มีลำหักลำโค่นเหมาะสมกันทุกประการ
และกระแสข่าวกระโดดค้ำถ่อของ “บิ๊กปู”นี่แหละคือตัวช็อกความรู้สึกของรองผบ.ตร.ที่แท้จริง
ขอเข้าเกียร์ว่างสักครู่เพื่อติดตามสถานการณ์ครับผม !!??