xs
xsm
sm
md
lg

ตำรวจแจ้งข้อหา"เดียร์"ก่อการร้าย ยันเรียกสอบ"ชัยสิทธิ์-แจ๊ด"หากสาวถึง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ทหารส่งตัว "นางเดียร์-เจษฎาพงษ์" ผู้ต้องหาคดีปาระเบิดใส่ศาลอาญาให้ตำรวจสอบเค้น ก่อนแจ้งข้อหาก่อการร้าย และนำตัวฝากขังศาลทหาร เผย "ณัฏฐธิดา" เป็นผู้จัดหามือระเบิดทำการใน 5 จุด มี "อเนก ซานฟราน" เป็นนายทุนใหญ่ เผยยังกบดานอยู่ในสหรัฐฯ เตรียมประสานขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ยันหากหลักฐานสาวถึง 2 นายพล "ชัยสิทธิ์-คำรณวิทย์" จะเรียกตัวมาสอบปากคำด้วย ทหารแจ้งความเพิ่ม "แหวน" โพสต์หมิ่นสถาบัน ผบ.ทบ.สั่งคุมเข้มปิดช่องโหว่ก่อเหตุ กสม.รับสอบผู้ต้องหาถูกซ้อม

เมื่อเวลา 13.00 น. วานนี้ (18 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) นำกำลังคุมตัวนางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือเดียร์ และนายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยศิริ หรือเจต ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารในคดีร่วมกันก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร ในคดีร่วมกันขว้างระเบิดใส่ศาลอาญา ถนนรัชดา เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 มี.ค.2558 มาให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สอบปากคำ

โดยนางสุภาพร สวมเสื้อสีแสด กางเกงขาว ยามสีดำ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงประกบตัวตลอดเวลา แม้ในช่วงสอบปากคำ ขณะที่นายเจษฎาพงษ์ สวมเสื้อเชิ้ตและสวมแจ็คเกตสีดำทับ ทั้งสองสีหน้าอิดโรย จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ทำการแจ้งข้อกล่าวหา สอบประวัติและแยกสอบปากคำทั้งคู่ โดยการสอบสวนนางสุภาพร เป็นไปอย่างเข้มข้น ก่อนควบคุมตัวนำฝากขังศาลทหารต่อไป

ต่อมา พล.ต.อ.สมยศ พร้อมด้วย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.ศรีวราห์ พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง รองผบช.น. ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6) ร่วมแถลงข่าว

***เผยวางแผนก่อเหตุบึ้มถึง 2 ครั้ง

พล.ต.ต.ชยพล กล่าวว่า ทหารได้นำตัวนางสุภาพร และนายเจษฎาพงษ์ ซึ่งครบกำหนดควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกส่งมอบให้พนักงานสอบสวนแล้ว หลังจากส่งมอบผู้ต้องหาในขบวนการคนอื่นๆ ให้แล้วก่อนหน้านี้ 11 คน รวมเป็น 13 คน โดยยังมีผู้ต้องหาตามหมายจับอยู่ในการควบคุมของทหาร 2 ราย คือ นายวสุ เอี่ยมลออ ซึ่งมีหมายจับข้อหาร่วมกันก่อการร้าย และนายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ และยังหลบหนีอีก 2 ราย คือ นายมนูญ ชัยชนะ หรืออเนก ซานฟราน ผู้บงการและผู้จ้างวาน และนายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือใหญ่ พัทยา ผู้ร่วมวางแผนและจัดหาระเบิด

พล.ต.ต.ชยพล กล่าวว่า การก่อเหตุระเบิดของขบวนการนี้ แบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรก ในเดือนก.พ.2558 เกิดในท้องที่ สน.โชคชัย พบว่านายมนูญ มีการติดต่อทางไลน์และโซเชียลมีเดียกับนางสุภาพร ให้ติดต่อว่างจ้างหาคนก่อเหตุวางระเบิด 5 จุด ในกทม. ประกอบด้วย ศาลอาญา สวมลุมพินี สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินจตุจักร กรมทหารราบ 11 รอ. และลานจอดโรงแรมสยามเคมปินสกี โดยพบการโอนเงิน 50,000 บาท ผ่านทางนายวสุ ส่งต่อให้นางวาสนา บุษดี และมีการติดต่อน.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน หาคนทำงาน จากนั้นน.ส.ณัฏฐธิดา ติดต่อนายสุรพล ซึ่งอ้างว่าตัวเองมีความรู้ด้านการประกอบระเบิดจากต่างประเทศ ให้รับงานวางระเบิดทั้ง 5 จุด แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดนายสุรพล ยกเลิกภารกิจ จึงมีการวางแผนใหม่อีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2 ในเดือนมี.ค. คราวนี้ นางสุภาพร ได้เปลี่ยนไปติดต่อผ่านนายวิชัย อยู่สุข หรือตั้ม และนายนรภัทร เหลือผล หรือบาส ก่อนติดต่อว่าจ้างนายวิระศักดิ์ รับงานว่าจ้างนายมหาหิน ขุนทอง และนายยุทธนา เย็นภิญญโญ รับงานก่อนเหตุที่ศาลอาญา กระทั่งถูกจับกุมได้ สรุปแล้วนายมนูญ พยายามก่อเหตุรุนแรงในกทม. ถึง 2 ครั้ง โดยติดต่อผ่านเครือข่ายนางสุภาพร ที่แยกชุดทำงานออกเป็น 2 สาย

“นางสุภาพร หรือเดียร์ จัดว่าเป็นกลุ่มทุน หัวใจสำคัญในประเทศไทย มีนายอเนก ซานฟราน เป็นกลุ่มทุนสำคัญในต่างประเทศ สนับสนุนทางการเงินจากต่างประเทศ พบมีการโอนเงินให้กัน ครั้งแรกโอนให้ 50,000 บาทก่อนจะให้ลงมือ ส่วนครั้งที่ 2 โอนผ่านบัญชีนายธราเทพ มิตรอารักษ์ ลูกชายนางเดียร์ 50,000 บาท เพื่อให้นำไปเยียวยาครอบครัวของคนที่ถูกจับ โดยเหตุที่นางเดียร์ไม่ให้โอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง อ้างว่าไม่มีบัญชีธนาคาร มีเพียงบัญชีของอดีตสามี ซึ่งหย่าร้างไปแล้ว อีกทั้งสามียังมีคดีติดตัวอีกด้วย จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับเงินก้อนนั้น ส่วนเหตุจูงใจนั้น นางสุภาพรให้การว่า นายอเนก รับปากว่าจะเลี้ยงดูบุตรชาย 2คน ของตนเอง และหากดำเนินการตามสั่งแล้วเสร็จจะพาไปทำงานเก็บองุ่นที่ประเทศออสเตรเลีย โดยเหตุหลักที่ร่วมมือกันก่อเหตุ เพราะมีอุดมการณ์การเมือง สอดคล้องกัน โดยนายอเนกนั้น อยู่ในต่างประเทศมีอุดมการณ์ต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน และต่อต้านสถาบันฯ ทั้งนี้ การติดต่อใช้ของกลุ่มนี้ใช้ช่องทางไลน์ และโซเชียลมีเดียต่างๆ บางคนไม่รู้จักกัน ไม่เคยพบกันด้วยซ้ำ เพียงแต่ติดตามกันทางโซเชียลมีเดียด้วยมีอุดมการณ์ แนวคิดสอดคล้องกัน” พล.ต.ต.ชยพล กล่าว

***พบ"นางเดียร์"เป็นแกนนำกลุ่มเคลื่อนไหว

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า นางสุภาพร มีประวัติเป็นระดับแกนนำในกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่อยากระบุชัดเจนว่ากลุ่มไหน เป็นความขัดแย้งในอดีต นางสุภาพร เป็นแกนนำระดับสำคัญที่มีบทบาทและได้รับการยอมรับพอสมควร ที่ผ่านมา หน่วยความมั่นคงเคยขึ้นบัญชีมีข้อมูลอยู่ เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่มีหลักฐานหรือสิ่งบ่งชี้ว่ากระทำความผิด ขณะที่ผู้ต้องหาบางคนในกลุ่มนี้ เช่นนายมนูญ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 112 ฐานหมิ่นสถาบันฯ แต่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ ตนไม่ขอพูดถึงความขัดแย้งในอดีต แต่ยืนยันตำรวจและทหาร ดำเนินคดีตามกฎหมายและพยานหลักฐานที่ปรากฏ ตำรวจไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับกลุ่มใด โดยทั้งหมดเกิดจากคำให้การของผู้ต้องหาทั้งสิ้น

“เหตุจูงใจ นอกจากค่าจ้างแล้ว กลุ่มผู้ต้องหายังมีอุดมการณ์แนวคิดทางการเมืองที่เหมือนกัน การก่อเหตุแต่ละครั้งก็มีเหตุผลหลายอย่าง ทั้งอุดมการณ์ที่ตรงกัน ถูกหลอก ถูกชักจูง และเงินค่าจ้าง” ผบ.ตร.กล่าว

***โยงถึง "แหวน" ว่าไปตามหลักฐาน

เมื่อถามว่า กรณีที่มีการโยงถึงน.ส.ณัฏฐธิดา หรือแหวน ซึ่งเป็นพยานสำคัญในคดี สังหาร 6 ศพ ที่วัดปทุมฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ต้องหา อาจถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความบังเอิญเกินไปหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน คำให้การผู้ต้องหา ตัวของ น.ส.ณัฏฐธิดา เราไม่เคยเอาเข้ามาเกี่ยวข้อง และไม่สามารถนำเขามาเกี่ยวโดยไม่มีคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้องซัดทอดกล่าวถึง เมื่อนางสุภาพร ให้การว่าติดต่อผ่าน น.ส.ณัฏฐธิดาไปถึงนายสุรพล ชื่อของน.ส.ณัฏฐธิดา จึงปรากฏในสำนวนการสอบสวน และเมื่อเป็นสิ่งผิดกฎหมายพนักงานสอบสวนจึงต้องดำเนินการตามกระบวนการ ส่วนจะบังเอิญพอเหมาะพอดีเกินไปหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถกะเกณฑ์กำหนดได้ ยินยันพนักงานสอบสวนทำตามพยานหลักฐาน และหากซัดทอดไปถึงใครที่มากกว่านี้ พนักงานสอบสวนก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน

ถามว่า ความพยายามก่อเหตุของผู้ต้องหาในครั้งแรก สอดคล้องกับการเกิดเหตุที่หน้าห้างสยามพารากอน พบว่าเป็นฝีมือกลุ่มเดียวกันหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนบอกหลายครั้งว่ากลุ่มที่พยายามก่อเหตุรุนแรงเป็นกลุ่มเดียวกัน บางครั้งทำสำเร็จ บางครั้งก็ไม่สำเร็จ ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ก็เป็นไปได้ว่าอาจบงการโดยกลุ่มนี้ โดยใช้ทำงานอีกสายหนึ่ง เห็นได้จากกรณีนี้ แบ่งชุดทำงานเป็น 2 กลุ่ม แต่จ้างวานโดยนายอเนกเพียงคนเดียว ตนไม่ทราบว่าเหตุที่สยามพารากอนจะเป็นนายอเนก ที่ไปจ้างอีกกลุ่มหรือไม่ จนกว่าจะจับกุมแล้วสอบสวนขยายผลว่าเหตุที่พารากอนใครก่อเหตุ ใครอยู่เบื้องหลัง เชื่อมโยงถึงใครบ้าง ต้องรอให้จับกุมผู้ต้องหาให้ได้ก่อน

***เตรียมขอตัว"อเนก"เป็นผู้ร้ายข้ามแดน

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวถึงการขอตัวนายมนูญเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ว่า ในอดีต เคยพยายามขอตัวนายอเนก จากสหรัฐฯ แล้ว ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่มีความผิดข้อหาดังกล่าวในสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดง แต่ขณะนี้ นายอเนกมีหมายจับในข้อหาก่อการร้าย ซึ่งไทยและสหรัฐฯ มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนร่วมกัน จากนี้พนักงานสอบสวนจะดำเนินการทำตามขั้นตอนส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป โดยติดต่อผ่านอัยการให้ตรวจสำนวน ก่อนส่งกลับกองการต่างประเทศ ส่งต่อกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่นำเข้าสู่กระบวนการขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป ซึ่งไทยกับสหรัฐฯ มีความสันพันธ์ที่ดีต่อกัน

สำหรับนายอเนก เป็นนักธุรกิจที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศ มีความคิด ความเชื่อคล้ายกลุ่มผู้ก่อเหตุ มีการแลกเปลี่ยนข่าวสาร สั่งการผ่านโซเชียล เป็นคนที่มีอิทธิพลพอสมควร ส่วนค่าจ้างที่ดูไม่มากนั้น เหตุเพราะผู้ก่อเหตุมีแรงจูงใจทางการเมือง รวมทั้งมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน จึงตัดสินใจลงมือกระทำ สำหรับนางสุภาพร เมื่อครั้งที่เคลื่อนไหวกลุ่มการเมือง อาจรู้จักผู้ใหญ่หลายคนเพราะเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญ ทำให้การออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้รับความเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มก่อเหตุความรุนแรงในประเทศไทย ที่หลักฐานปรากฏชัด นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มอื่นที่ยังหลบหนี ซึ่งทุกกลุ่มมีลักษณะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน เพียงแต่แบ่งหน้าที่กันทำตามความถนัด

***ยันหากสาวถึง2นายพลไม่มีละเว้น

เมื่อถามว่าแกนนำทางการเมืองคนอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน มีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ขณะนี้สามารถนำมาเปิดเผยได้เพียงเท่านี้ สำหรับคนอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องต้องรอผลการสอบสวนก่อน หากพบความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงที่เป็นความผิดก็ต้องดำเนินการขอนุมัติหมายจับต่อไป เช่นเดียวกับกรณีที่มีการพาดพิงถึง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผบ.สส.และพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผบช.น. หากไม่พบพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงแล้วมีความผิด จนสามารถขออนุมัติต่อศาลออกหมายจับกุมได้ ก็ยังไม่ถือว่าเกี่ยวข้อง หากหลักฐานจนนำไปสู่การขออนุมัติหมายจับต่อศาลได้ ก็ไม่สามารถละเว้นได้

ทั้งนี้ เนื่องจากทั้ง 2 ท่านเป็นบุคคลมีชื่อเสียง จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนต้องเชิญมาให้ปากคำหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของพนักงานสอบสวนว่าจำเป็นหรือไม่

***ทหารแจ้งจับ"แหวน"โพสต์หมิ่นสถาบัน

ที่กองปราบปราม พ.อ.วิจารณ์ จดแดง ผู้อำนวยการส่วนกฎหมายและมนุษย์ชน กอ.รมน. และคณะทำงานของ คสช. ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ยุทธวัฒน์ กล่ำกล่อมจิตร์ พนักงานสอบสวน กก.2.บก.ป. เพื่อแจ้งความให้ดำเนินคดีกับ น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน ผู้ต้องหาร่วมก่อคดีระเบิดศาลอาญา ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ ในข้อหาหมิ่นเบื้องสูง พร้อมนำเอกสารการสอบปากคำ น.ส.ณัฎฐธิดา และหลักฐาน ข้อความที่มีโพสต์ไว้ในแอพลิเคชั่นไลน์ มามอบเป็นหลักฐาน

โดยก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ทหารได้นำตัวน.ส.ณัฎฐธิดา จากบ้านพักที่ ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ มาสอบปากคำ ก่อนจะถูกนำตัวส่งให้ตำรวจนครบาล ทำการสอบสวน จนผู้ต้องหาได้ให้การรับสารภาพว่า เมื่อวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้นำข้อความที่มีผู้โพสต์ไว้ในแอพลิเคชั่นไลน์ “กลุ่ม ไทยภาคี" ซึ่งเป็นข้อความหมิ่นเบื้องสูง มาโพสต์ต่อลงในกลุ่ม "DNPแอนด์เพื่อนแม้ว" และกลุ่มไลน์ดังกล่าว มีนางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์ ร่วมอยู่ด้วย นอกจากนี้ ยังนำข้อความดังกล่าว ไปโพสต์ลงในกลุ่มไลน์ “GERRARD” อีกด้วย เหตุทั้งหมดเกิดขึ้น ที่ห้องเลขที่11/16 อาคารที2 คอนโดเมืองทองธานี ถนนป๊อบปูล่า ต.บ้านไทร อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ก่อนที่จะถูกจับกุมในที่สุด

***ผบ.ทบ. สั่งรอบคอบป้องกันก่อเหตุ

รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.) เมื่อเวลา08.00 น. พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้กำชับเรื่องการติดตาม สั่งการดูแลความสงบเรียบร้อยของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) โดยได้เน้นย้ำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ให้ทั้งสอดส่องดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้าย หรือมีผู้ไม่หวังดีก่อความไม่สงบในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเจ้าหน้าที่ทั้งหมดต้องทำงานประสานสอดคล้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดช่องโหว่ ให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีก่อเหตุได้

***ทีมทนาย"น้องแหวน"ร้องขอความเป็นธรรม

นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีของน.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือน้องแหวน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ฝากขังผลัดแรกไปเมื่อวันที่ 17 มี.ค. ว่า ทีมทนายความ กนส. ซึ่งเป็นทนายความผู้ต้องหา กำลังพิจารณาที่ร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานสอบสวนผู้เกี่ยวข้องในคดีให้ทำการสอบสวนใหม่ หรือทำการสอบสวนเพิ่มเติม เนื่องจากเห็นว่ากระบวนการการสอบสวนที่ผ่านมา ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรืออาจมีบางกระบวนการที่จะส่งผลต่อการสอบ เพราะตามหลักฐานที่เกิดขึ้น เชื่อว่าไม่เพียงพอ

***กสม.รับลูกตรวจสอบผู้ต้องหาถูกซ้อม

นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ติดต่อมายัง กสม. เพื่อจะยื่นเรื่องร้องเรียนให้มีการตรวจสอบกรณีที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ต้องหาเกิดเหตุการณ์ระเบิดหน้าศาลอาญา 4 ราย ได้แก่ นายสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน นายชาญวิทย์ จริยานุกูล นายนรพัฒน์ เหลือผล และนายวิชัย อยู่สุข ที่ถูกจับกุมตัวตามกฎอัยการศึก ระหว่างวันที่ 9-15 มี.ค.ที่ผ่านมาว่ามีการซ้อมทรมานผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย โดยการชกต่อย การกระทืบบริเวณศีรษะ ทรวงอก หลัง และข่มขู่ว่าจะทำร้ายเพื่อให้ได้ซึ่งข้อมูลจากผู้ต้องหาดังกล่าว และผู้ต้องหาบางรายยังโดนช็อตด้วยไฟฟ้าและยังคงปรากฏร่องรอยดังกล่าวบริเวณผิวหนัง ระหว่างการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก

ทั้งนี้ หลังจากมีการยื่นร้องเรียนแล้วทาง กสม.จึงจะเข้าไปตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว ส่วนจะต้องเชิญใครมาให้ข้อมูลบ้างนั้นต้องรอดูการยื่นร้องเรียนก่อน

***"วินธัย"มั่นใจไม่มีเหตุการณ์ซ้อมเกิดขึ้น

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก และโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า เจ้าหน้าที่จะไม่ใช่มาตรการบังคับแน่นอน การดำเนินการทุกอย่างจะอยู่ในวิธีแนวทางที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น และที่สำคัญการให้ข้อมูลในชั้นนี้จะเป็นเพียงองค์ประกอบส่วนหนึ่ง ยังไม่ใช่ข้อผูกมัดหลักในการฟ้องเอาผิดทางคดี เพราะขั้นตอนฟ้องเอาผิดจะอยู่ในขั้นตอนต่อไปกับทางตำรวจ

***"ตู่"ปัด นปช.ไม่เกี่ยวจับคลังแสงวัด

นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวผ่านรายการมองไกล ทางพีซทีวี ถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เข้าจับกุมอาวุธและสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เชื่อมโยงมายังกลุ่มคนเสื้อแดงได้ภายในวัดป่าสีวลี จ.สระบุรี ว่า ประหลาดใจมาก วัดนี้ที่มีพระรูปเดียว การไปจับแล้วนำไปรวมกับอาวุธ ธง สัญลักษณ์อะไรต่างๆ ของนปช. ประมวลเหตุการณ์ทั้งสยามพารากอน ศาลอาญา แล้วก็มาวัดป่าสีวลี จะนำไปสู่อะไร แต่สิ่งหนึ่งความอดทนระหว่างกันเป็นเรื่องสำคัญ นายกฯ ประกาศเป็นประชาธิปไตยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นประชาธิปไตยมากกว่ารัฐบาลประชาธิปไตย ถ้าฝ่ายตนสวดมนต์ ก็ยังกระทบกระเทือน ดังนั้น ขอสื่อสารไปยังคนที่ติดตามเรื่องราวต่างๆ อะไรที่เป็นความขุ่นข้องหมองใจระหว่างกัน ควรปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา บอกมา จะให้ไปคุยที่ไหน เพราะเราก็ต้องการรักษาบรรยากาศในบ้านเมืองเหมือนกัน

ส่วนการปิดทีวีคนเสื้อแดง เป็นการทำร้ายหัวใจ ทำร้ายฝ่ายเดียว ไม่ใช่ไม่สู้คน แต่ต้องการให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ไม่บอบช้ำกว่านี้ ทีวีบางช่องใช้ถ้อยคำยิ่งกว่าทีวีเสื้อแดง ไม่เห็นมีปัญหา แต่ก็ไม่ทราบที่ทำต้องการบีบบังคับให้ทำอะไร เข้าใจการทำหน้าที่ กสทช. เราก็เปิดรายการฟังความรอบด้าน เชิญแต่ละสีมาทั้งหมด แต่เชิญมาทั้งวันไม่ได้ เพราะหาคนยาก แต่พวกเราพยายามเปิดประตูคนในแม่น้ำ 5 สาย พวกเป่านกหวีดก็เชิญ เพื่อฟังความรอบด้านว่าเราไม่ได้ฟังเฉพาะพวกเราเท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น