xs
xsm
sm
md
lg

แผ่นดินไทย ที่ดินใคร...?

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์

ตัวเลขการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินจากพันกว่าไร่ถึงเกือบล้านไร่ โดยกลุ่มธุรกิจ และครอบครัวร่ำรวยมีทรัพย์สินมูลค่าเปิดเผยได้จากระดับธรรมดาจนถึงหมื่นล้าน และเกินแสนล้านบาทเพียงไม่กี่ตระกูลของประชาชนไทยประมาณ 65 ล้านคนไม่น่าสร้างความประหลาดใจ ตัวเลขจริงน่าจะมากกว่า

นี่เป็นภาวะปกติของระบบเศรษฐกิจเสรี มือใครยาวสาวได้สาวเอา ไม่มีกฎหมายจำกัดระดับความมั่งคั่ง คำพูดที่ว่า “รวยล้นฟ้า” จึงไม่ได้เป็นคำกล่าวที่เกินเลยในสังคมการค้าระบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก ทุนใหญ่มีโอกาสมากกว่าด้วยอำนาจเงินและเครือข่ายเชื่อมโยงกับผู้กุมอำนาจการเมือง

เป็นสภาพของความรวยกระจุก ความจนกระจาย ดังจะเห็นการล้มหายตายจากของผู้ค้ารายย่อยในระบบการค้าเสรีโมเดิร์นเทรด ชาวนาถูกแปรสภาพเป็นผู้เช่านา หรือรับจ้างทำนา ทำให้ประเทศไทยได้เห็นคนไม่มีข้าวจะกิน ทั้งๆ ที่เป็นผู้ส่งออกข้าวไปขายต่างประเทศอันดับหนึ่งของโลก

เป็นประเทศที่ชาวนาขายข้าวเปลือกในราคาถูก ผู้บริโภคซื้อข้าวสารราคาแพง ผู้ร่ำรวยที่สุดคือพ่อค้าเจ้าของโรงสี ระยะหลังมีนักการเมืองเข้าไปเขมือบส่วนแบ่งความมั่งคั่งจนบ้านเมืองแทบล่มจม

รัฐบาลต้องกู้เงินมาอุ้มธนาคารเกษตร และอุดรูโหว่ในงบประมาณแผ่นดินไม่ให้เกิดวิกฤต

การถือครองที่ดินจำนวนมหาศาลโดยไม่จำกัดเท่ากับเป็นการเพิ่มระดับการบิด เบือนของกลไกโครงสร้างเศรษฐกิจ เป็นสภาวะที่ไม่น่าปรารถนา เป็นการถ่างช่องว่างของความมั่งคั่งและความยากจนในประชากรของประเทศ ที่รวยแล้วจะรวยมากยิ่งๆ ขึ้นไป ที่จนจะยากจนแทบสิ้นไร้ไม้ตอก

ถ้าแนวโน้มเช่นนี้ยังเป็นไปโดยไร้ขอบเขตความพอดี วิกฤตของสภาวะสังคม การเมืองจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังที่ได้เกิดขึ้นในหลายประเทศที่กลุ่มคนแร้นแค้นลุกฮือขอแบ่งความรวยของเศรษฐี

ดังที่มีคำกล่าวอ้างและตัวเลขที่ว่าเศรษฐกิจประเทศไทยอยู่ในกำมือของพ่อค้า กลุ่มธุรกิจเพียงไม่กี่ตระกูล ช่วงหลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ธนาคารและสถาบันการเงินส่วนใหญ่ตกเป็นของชาวต่างประเทศซึ่งก็ได้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินในไทยมากถึง 100 ล้านไร่ หรือ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมด

ตัวเลขจากการสำรวจการถือครองที่ดินแสดงให้เห็นอำนาจเงินอย่างแท้จริง

นำโดยกลุ่มธุรกิจและครอบครัวของเจ้าสัวเจริญ ราชันย์การค้าน้ำเมาและกิจการหลากหลายมีที่ดินมากถึง 630,000 แสนไร่ แต่ละวันที่ผ่านไปจำนวนโฉนดที่ดินน่าจะเพิ่มขึ้นตามอำนาจเงิน เพราะเจ้าสัวยังครองตำแหน่งอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของประเทศไทยมาหลายปี

ตามมาด้วยกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพีของเจ้าสัวธนินทร์ ซึ่งมีมากถึง 200,000 ไร่ เป็นกลุ่มธุรกิจการเกษตรครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ทั้งเจ้าสัวเจริญ เจ้าสัวธนินทร์ยังเป็นอภิมหาเศรษฐีติด 2 อันดับแรกของประเทศ ทรงอิทธิพลทางการค้าแทบจะไร้คู่แข่งในวงการของตัวเอง

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ยังทาบไม่ติด มีเพียง 30,000 ไร่เท่านั้น รายอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นยังมีข้อมูลไม่ครบถ้วน ขาดกลุ่มการค้าขนาดใหญ่เช่นกลุ่มบุญรอด กลุ่มผู้ค้ากระดาษ และผู้ถือครองสิทธิ์ทำกินในพื้นที่ สปก. และ ภบท.รวมทั้งกลุ่มคุณหญิงคุณนายเจ้าของที่กิน

พวกเศรษฐินีซ่อนความมั่งคั่งเหล่านี้ว่ากันว่ามีห้องเก็บโฉนดที่ดินโดยเฉพาะ

มีทั้งพวกเพิ่งร่ำรวยหลังจากเข้าสู่วงการเมือง ธุรกิจ ความมั่งคั่งด้วยเงินระดับหมื่นล้านบาทถือเป็นเรื่องปกติ เศรษฐีพันล้านในเมืองไทยมีเยอะ เพียงแต่ไม่เปิดเผยด้วยเหตุผลทางภาษี ดูเพียงแค่รายงานทรัพย์สินของนักการเมือง รัฐมนตรี และข้าราชการ เทียบกับการเสียภาษียิ่งน่าหัวเราะ

จนเป็นที่กล่าวขานกันว่าพวกมีเงินเดือนประจำคือกลุ่มที่แบกรับภาษีให้คนฐานะดี

ชาวนา เกษตรกร ผู้ผลิตอาหารเลี้ยงคนทั้งประเทศ ส่งวัตถุดิบสู่ครัวโลกไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน เป็นผู้ทำนาก็จริง แต่เป็นผู้ต้องซื้ออาหารในราคาตลาดทั่วไป การสูญเสียที่ดินจากการขายขาดหรือการถูกบังคับจำนองทำให้หมดโอกาสที่จะได้เป็นเจ้าของที่ดินอีก เว้นแต่ไปบุกรุกยึดครองพื้นที่ป่า

โดยสภาพเศรษฐกิจที่เรียกกันว่าระบบทุนสามานย์ ในสังคม “คนกินเนื้อคน” ยุคปัจจุบันคนไร้ความรู้ การศึกษา ด้อยโอกาส หรือแม้แต่มนุษย์เงินเดือนทั่วไปแทบจะไม่มีหนทางยกระดับการครองชีพสู่ความมั่งคั่งผ่านการออมทรัพย์จากรายได้ปกติ ดังนั้นส่วนหนึ่งจึงหวังพึ่งการเสี่ยงโชค

การทำงานหารายได้ในสภาวะปกติเหนื่อยยากกว่าการทุจริต คอร์รัปชันผ่านการเมือง นักการเมือง ข้าราชการกังฉินสามารถสร้างความร่ำรวยแบบก้าวกระโดดโดยการลงนามสัญญาจัดซื้อ จัดจ้าง กินเงินหัวคิวตามน้ำ ทวนน้ำ เป็นจำนวนมหาศาลในยุคคนชั่วลอยนวลดังที่เห็นกันอยู่

รัฐบาลจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ระบบเศรษฐกิจเสรีทำลายโครงสร้างความสมดุลของสังคม ไม่ให้ช่องว่างขยายตัวจนไม่มีวันแก้ไขได้ จนถึงวาระของการแก่งแย่งกันหนีความอดอยากโดยใช้กำลังอาวุธถ้าสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะวิกฤต เกิดสงครามระหว่างชนชั้น การแย่งชิงทรัพยากร

รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจพูดได้ว่าปัญหาทุกวันนี้หมักหมมมาจากรัฐบาลชุดก่อนๆ แต่จะอ้างไม่ได้ว่าจะต้องปล่อยให้เรื้อรังเช่นนี้ตลอดไป เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลซึ่งอาสาเข้ามาด้วยวิธีการพิเศษ คำถามก็คือ ได้ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาหรือไม่ กล้าแก้ไขหรือไม่ และจะแก้อย่างไร

ยิ่งการถือครองของต่างชาติมีมากถึง 100 ล้านไร่ สถานการณ์จะเลวร้ายกว่าเดิมหลังจากการเข้าสู่เออีซีเต็มรูปแบบ คนต่างชาติจะหลั่งไหลเข้ามาอาศัยเงินทุนก้อนใหญ่ ผ่านนายหน้าตัวแทนและนิติบุคคล จะทำให้ราคาที่ดินแพงกว่าที่เป็นอยู่อย่างมากเกิดการเก็งกำไร การขายที่ดิน

ทุกวันนี้ คนต่างชาติเต็มเมืองจากทุกสารทิศ อยู่ได้อย่างไร ยังไม่มีหน่วยงานไหนอธิบายได้

หลับตานึกถึงโครงสร้างประชากรไทย มีแต่คนไร้การศึกษา ปราศจากทักษะ ฝีมือจากภาคเกษตร ต่อไปคงเป็นลูกจ้างพวกแรงงานต่างด้าวซึ่งเก็บหอมรอมริบเขยิบตัวเป็นผู้ค้ารายย่อยและรายใหญ่ในที่สุด คนไทยจะไม่มีที่ยืน หรือกรรมสิทธิ์ในแผ่นดิน ถ้ารัฐบาลปลื้มอยู่กับนโยบายอาเซียน

การจำกัดการถือครองที่ดินเท่านั้นจะแก้ไขปัญหานี้ได้ ประชาชนคนไร้โอกาสย่อมไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าสัวต่างๆ จึงต้องมีที่ดินมากเป็นแสนๆ ไร่ ทั้งยังขยายอำนาจเงินไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ถ้ารัฐบาลประยุทธ์กล้าหาญ หวังดีต่ออนาคตของชาติ ต้องกล้าจัดการปัญหานี้โดยเร็ว
กำลังโหลดความคิดเห็น