ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาทันที เมื่อ "จ่าพิชิต ขจัดพาลชน" เจ้าของเว็บไซต์ drama-addict.com ได้เปิดเผยเอกสาร 2 ฉบับซึ่งเป็นหนังสือร้องเรียนถึงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สำเนาถึงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เรื่องแจ้งภัยความมั่นคง โดยในจดหมายนั้นระบุว่าจ่าพิชิต ได้ใช้เวลาราชการสร้างข่าวต่างๆ บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีลักษณะเนื้อหาสร้างความขัดแย้ง และแตกแยกในสังคม อันเป็นภัยต่อความมั่นคง ร้อนถึงจ่าพิชิตต้องออกมาโวย พร้อมวิจารณ์การเมืองฝากไปถึงนายกฯ ว่าอย่าใช้อำนาจในมือเล่นงานฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นพิเศษ ขอให้ดำเนินการกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน!
ที่มาที่ไปของเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อมีจดหมายร้องเรียนจ่าพิชิต โดยระบุว่า
"หลังการรัฐประหาร โดย คสช. ก็มีพฤติกรรมโจมตีการทำงานของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีในปัจจุบันมาโดยตลอด ข่าวของบุคคลดังกล่าวถูกนำไปขยายผลต่อในเครือข่ายสังคมออนไลน์ซึ่งเป็นผลลบต่อภาพลักษณ์รัฐบาล ล่าสุด 17-18 กันยายน 2557 ได้มีข้อความโจมตีทหารและรัฐบาล ในลักษณะเสียดสี เปรียบเทียบเป็นลูกสุนัข กับการเลียรองเท้าบูต ข้าพเจ้าได้เห็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเป็นภัยความมั่นคงลักษณะนี้แล้ว จึงขอส่งเรื่องให้ท่าน รวมทั้งทีมงานด้านประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลทราบ เพื่อดำเนินการสืบไป และขอให้ปิดชื่อข้าพเจ้าเป็นความลับด้วย เรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา"
งานนี้ทำเอาเจ้าของเพจชื่อดังเดือด ทั้งยังเกิดอาการฉุนหนักขึ้นอีก เมื่อมีสื่อรายงานว่าเอกสารนั้นเป็นจดหมายปลอม ก่อนที่จ่าพิชิตจะออกมาโต้แย้งยืนยันว่า ตนเองถูกร้องเรียนจริงๆ โดยโพสต์ข้อความว่า
"แหม่ มีสื่อบอกว่าเอกสารปลอม ไม่ใช่เอกสารทางราชการ ใครๆ ก็ทำได้ ของจริงครับ กูมีทั้งปึ๊งเลย เรื่องแค่นี้จะกุเรื่องไปทำไม กูไม่ใช่เพจการเมืองจ๋าซักหน่อย"
ต้องบอกว่าในยุคที่สังคมไทยถูกแบ่งเป็นหลายกลุ่มหลายสีเช่นนี้ ไม่แปลกที่เจ้าของแฟนเพจชื่อดังจะถูกมองว่าเป็นเรื่องของการเมืองไป เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายครั้งข้อความที่จ่าพิชิตโพสต์นั้น ทำให้อีกฝ่ายไม่ชอบและมองว่า “อยู่คนละพวกกัน” จนกระทั่งมองว่าจ่าพิชิตต้องการโจมตีรัฐบาลและบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ
ทั้งนี้ประเด็นที่จ่าพิชิตถูกร้องเรียนว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงนั้น เขาได้ตอบโต้ว่า
"ได้เรียนรู้ว่ามีพวกลูกหาบบางคนที่มองว่านายกเป็นบุคคลที่ไม่สามารถแตะต้องได้ ไม่สามารถวิจารณ์ได้ ต้องหลับหูหลับตาอวยอย่างเดียวไม่งั้นจะเป็นภัยต่อความมั่นคงครับ"
น่าสังเกตว่าทำไมประเด็นจ่าพิชิตถึงได้กลายเป็นประเด็นการเมืองขึ้นมา..
กล่าวคือจดหมายร้องเรียนลงวันที่ตั้งแต่เดือน ก.ย. ปีที่แล้ว แต่ไฉนเพิ่งเป็นข่าวขึ้นมา แม้ทีแรกทีมโฆษกคสช. จะระบุว่าเป็นจดหมายปลอม แต่ในท้ายที่สุดจ่าพิชิตก็ยืนยันว่าตนเองถูกร้องเรียนจริงๆ
คำถามคือ นี่คือเกมการเมือง หรือการเชือดไก่ให้ลิงดูของใครหรือไม่?
แล้วหากย้อนกลับไปถึงที่มาและตัวตนของจ่าพิชิตนั้น ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อย...
จ่าพิชิตคนนี้ใช้เวลา 4 ปี ในการปั่นเรื่องดรามาลงเว็บและแฟนเพจ จนมีแฟนเพจติดตามมากถึงหกแสนกว่าคน และหลายครั้งหลายคราวเรื่องที่เขาโพตส์ก็กลายเป็นกระแสในโลกไซเบอร์ จนกระทั่งหลายคนมองว่าเขาเป็นผู้ทรงอิทธิพลบนโลกโซเชียลมีเดีย
ครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์กับเซ็กชั่น ASTV ผู้จัดการ Live ว่าที่มาที่ไปของเว็บไซต์มาจากการที่ตนเป็นแพทย์ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ต้องอยู่เวรคนเดียวหลายเดือนโดยไม่มีแพทย์คนอื่นมาช่วย หลังจากนั้นมีเรื่องดรามากับผู้บังคับบัญชา กระทั่งไปตั้งกระทู้ร้องเรียนบอกว่าขาดหมออยู่คนเดียวมา 6 เดือน หลังจากนั้นก็ได้ส่งคนมาช่วยเยอะ ทำให้ตนพอมีเวลา ก็เลยเอาเวลาว่างมาทำเว็บไซต์นี้ โดยเริ่มจากเอากระทู้ที่น่าสนใจจากเว็บพันทิปมาวางแปะไว้เฉยๆ เมื่อตนรู้สึกว่าบางเรื่องมันซับซ้อนจนต้องเขียนอธิบายว่ามันเป็นมาอย่างไร จึงพัฒนารูปแบบมาเป็นแบบปัจจุบัน คือ เอาเนื้อหาบางส่วนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมาอธิบายเรียบเรียง แล้วอาจจะมีการขยายความเสริม
อย่างไรก็ตาม หลังตกเป็นข่าวว่าถูกร้องเรียน "จ่าพิชิต ขจัดพาลชน" เจ้าของเว็บไซต์ drama-addict.com ได้ให้สัมภาษณ์แก่ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ เพื่อชี้แจงประเด็นที่เกิดขึ้น ดังนี้
รู้สึกอย่างไรที่มีคนส่งจดหมายร้องเรียนต่อรัฐบาลในเรื่องจ่าใช้เวลาราชการไปปั่นดรามา ยุแยงให้เกิดความแตกแยก สุ่มเสี่ยงต่อภัยความมั่นคง
ผมเขียนดรามานอกเวลาราชการครับ ส่วนมากก็เขียนช่วงเที่ยงคืน นอกเวลาราชการอ่ะนะ และเนื้อหาก็ค่อนข้างหลากหลายมีตั้งแต่การเมือง บันเทิง สังคม วิทยาศาสตร์ การแพทย์ ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่มีคนขัดแย้งกันในเน็ต แล้วเราเอามานำเสนออีกทอด คงไม่ถึงกับเป็นภัยต่อความมั่นคงมั้ง
จากนี้ไปจะดำเนินการอย่างไรต่อจดหมายร้องเรียนนี้ หมายถึงว่ามีการตั้งคณะกรรมสอบสวนหรือยัง และจ่าวางแผนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปในเรื่องนี้
ทางผู้บังคับบัญชาเขาจะเชิญไปคุยเรื่องนี้ครับ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นไง
ถ้ามีโอกาสชี้แจงแก่คนที่ทำจดหมายร้องเรียน จ่าอยากจะพูดกับเขาว่าอย่างไร
อยากบอกว่า “เลิกเป็นลูกหาบอวยท่านผู้นำทุกเรื่องได้แล้วเฟ้ย คำวิจารณ์แค่นี้มันไม่กระทบความมั่นคงของชาติหรอก อ้ายบ้า "
หลายคนมองว่าจ่าเป็นพวกเสื้อแดง บอกยิ่งลักษณ์พลาดไม่เคยเขียนถึง แต่อีกฝ่ายเปิดช่องเมื่อไหร่ ถล่มไม่ยั้ง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ความจริงจ่าเป็นเสื้อแดงเหมือนที่หลายคนสงสัยไหม
ดรามาที่ผมเขียนนี่พาดพิงทุกฝ่ายพอๆกันเลยนะ ทั้ง กปปส. นปช. ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ อภิสิทธิ์ สุเทพ ถ้าตามอ่านเพจดรามาตลอด จะเห็นว่าเราไปตามเนื้อผ้าครับ แต่ถ้าเป็นคนที่คลั่งการเมืองหน่อย เขาจะปิดหูปิดตาเห็นแต่สิ่งที่เขาอยากเห็นอย่างเดียว
กล้าพูดไหมว่ารู้สึกอย่างไรต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และมีอะไรอยากฝากไปถึงพลเอกประยุทธ์หรือ คสช. หรือเปล่า
แรกๆ ที่พี่แกทำรัฐประหาร ก็รู้สึกขอบคุณนะครับที่อย่างน้อยแกก็ทำให้คนหยุดฆ่ากันหยุดยิงระเบิด M79 ใส่กันตู้มๆ ทุกวันได้ ช่วงนั้นบอกตรงๆว่าผมตามข่าวการเมืองจนประสาทจะแดกเลยทีเดียว แต่บิ๊กตู่แกไม่เหมาะกับงานบริหารหรอกครับ ควรถอยไปดูเรื่องกลาโหมหรือเป็นประธาน คสช. อย่างเดียว แล้วให้คนที่มีความรู้ความสามารถเรื่องงานบริหารดูแลด้านนี้แทนแกดีกว่า สมัยแกดำรงตำแหน่งใหม่ๆ เห็นเคยคุยว่า งานบริหารง่ายนิดเดียวผมก็ทำได้ ทุกวันนี้พี่แกคงรู้แล้วครับว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด
คิดว่าในสถานการณ์การเมืองปัจจุบันนี้ รัฐบาลควรจะปฏิรูปอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด
ผมว่าพวกโครงการเมกะโปรเจกต์หมื่นล้าน แสนล้าน ล้านล้าน อะไรพวกนั้นควรชะลอไว้ก่อน รอให้กลายเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก่อนแล้วค่อยดำเนินโปรเจกต์พวกนั้นต่อ เพราะโครงการพวกนี้ต้องการความโปร่งใสตรวจสอบได้ รอให้ระบบตรวจสอบมันทำงานได้เป็นปรกติก่อนค่อยทำก็ไม่เสียหาย ประเทศมันพัฒนาล่าช้ามาไม่รู้กี่ปีแล้ว เพราะไฟการเมือง ช้าอีกนิดปีสองปีไม่เป็นไรหรอกครับ
ส่วนเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง ที่สำคัญคือรัฐบาลชุดปัจจุบัน ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน อย่าใช้อำนาจในมือเล่นงานฝ่ายใดฝ่ายนึงเป็นพิเศษ หากดำเนินการกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงเชื่อว่ามวลชนทุกฝ่ายน่าจะรับได้
พอเกิดเรื่องอย่างนี้แล้ว ทำให้จ่าต้องระวังตัวมากขึ้นไหมในการโพสต์ข้อความต่างๆ
ก็เหมือนเดิมครับ
รู้สึกอย่างไรที่เว็บไซต์หรือแฟนเพจของตัวเองได้ขึ้นชื่อว่ามีอิทธิพลในโลกไซเบอร์
ก็ไม่ถึงกับมีอิทธิพลอะไร แค่เรามีคนติดตามพอสมควร เวลาแสดงความเห็นอะไรออกไป คนก็ได้ยินได้ฟังเยอะหน่อยเท่านั้นเอง คนที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็เข้ามาถกเถียงอภิปรายกันในเพจ ไม่อยากให้มองว่าเราใช้ความเห็นโน้มน้าวใคร อยากให้มองว่าเราเปิดพื้นที่ให้คนถกเถียงกันเพื่อหาบทสรุปหรือข้อยุติจะดีกว่า
กลัวไหมว่าคนจะมองว่าจ่าอาจจะมีคนหนุนหลังในเรื่องการเมือง เพื่อหวังผลทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็เกรงๆอยู่ครับ หลายๆเพจก็มีปัญหาแบบนี้ ซึ่งเขาก็แก้ปัญหาโดยไม่พูดเรื่องการเมืองเลย แต่ผมมองว่าการเมืองมันเกี่ยวพันกับชีวิตของประชาชนอย่างแยกไม่ออก ต่อให้เราไม่อยากยุ่งกับมัน แต่การเมืองก็จะมายุ่งกับเราอยู่ดี ดังนั้นก็แสดงความเห็นกันไปเถอะครับ
.....อ่านวาทกรรมของจ่าพิชิตแล้ว ก็คงจะเข้าใจแล้วว่าเขาคิดอย่างไรในเรื่องการเมือง