xs
xsm
sm
md
lg

"เจ๊สมจิตต์"ชี้ทางปฏิรูปสื่อ ให้หลุดจาก"กับดักเป็นกลาง"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**วันนักข่าว5 มี. ค. นี้ เป็นโอกาสเหมาะที่ควรนำทัศนะ มุมมอง แนวคิดของคนข่าวมืออาชีพ ที่มีความหวังดี ต้องการให้วงการสื่อมวลชนไทยกลับมาทบทวนบทบาทการทำหน้าที่ของตนเสียใหม่ เพื่อสื่อจะได้เป็นกลไกที่ดีมีประสิทธิภาพของสังคม ทำหน้าที่เพื่อสังคมไม่ใช่สร้างปัญหาเช่นหลายปีที่ผ่านมา สื่อผิดเพี้ยนไปมาก และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างปัญหาบ้านเมือง จึงควรเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปในจังหวะเช่นกัน
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นเล็กๆ แต่แหลมคมและท้าทายวงการสื่อสารมวลชนอย่างยิ่ง จากการเขียนจดหมายเปิดผนึกถึง “มานิจ สุขสมจิตร” สื่อมวลชนอาวุโส ที่คนในวงการให้ความเคารพ รวมไปถึงการฝากความหวังไว้กับสื่อมวลชนที่ยังรักษาจรรยาวิชาชีพไว้ได้ โดยไม่ตกเป็นทาสทุน
"สมจิตต์ นวเครือสุนทร" นักข่าวภาคสนาม ที่มีความชัดเจนทั้งการตั้งคำถามและการแสดงความเห็นต่อทิศทางบ้านเมืองอย่างตรงไปตรงมาโดยตลอด พยายามที่จะกระตุ้นเพื่อนร่วมวิชาชีพให้หันมามองตัวเองว่า “สื่อมวลชนในภาวะไม่ปกติ ควรจะมีบทบาทอย่างไร”ระหว่าง “การเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ความล่มจม”หรือ จะเป็น “แนวรบให้ชาติ เพื่อคืนความเป็นปกติให้กับสังคม”
**แต่น่าเสียดายที่ประเด็นเหล่านี้กลับไม่ได้รับความสนใจมากนัก แม้แต่ มานิจ สุขสมจิตร ก็มิได้มีปฏิกริยาใดๆ ต่อการเสนอมุมมองต่อปัญหาบ้านเมืองที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งอาจตีความได้ว่า“พอเป็นเรื่องสื่อ”คือเรื่องของตัวเอง พวกเราที่เรียกตัวเองว่า“ฐานันดร 4”เลือกที่จะปกป้อง แทนที่จะทบทวน
ด้วยแนวคิดเช่นนี้ บ้านเมืองย่อมไม่มีทางปฏิรูปได้ เพราะเท่ากับว่าทุกวงการเป็นเหมือนกันหมด คือไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมที่ไม่ดี และไม่ยอมรับความบกพร่องหรือแม้แต่การตรวจสอบ โดยอ้างคำว่า “เสรีภาพ”อย่างพร่ำเพรื่อ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้ “เสรีภาพ”นั้นเพื่อประชาชน
เนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว มองถึงปัญหาบ้านเมืองได้ค่อนข้างชัด เพราะการจะเอาชนะระบอบทักษิณไม่ใช่เรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบ เพราะมีบทพิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่า ใช้ไม่ได้ผล เนื่องจากอาวุธร้ายที่สุดของระบอบทักษิณคือ “ธุรกิจสื่อ”ที่เป็นขุนพลคอยฝังรากความคิดที่ผิดปกติในสังคม จนเรื่องผิดปกติกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แนวรบสำคัญในสงครามนี้ จึงเป็นหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ยังมีใจรัก และห่วงใยบ้านเมืองโดยแท้
**สมจิตต์ เริ่มจดหมายของเธอในชื่อ เรื่อง "ความเหลื่อมล้ำทางข้อมูลกำลังทำให้คนไทยฆ่ากัน โดยเริ่มเนื้อหาด้วยการกราบขอโทษประชาชนทุกคน ในฐานะที่เป็นสื่อสารมวลชนคนหนึ่ง แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาความผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นในแวดวงสื่อสารมวลชนขณะนี้ จนทำให้ “เสรีภาพของสื่อบางค่าย กลายเป็นเครื่องมือโกหกประชาชน ทำร้ายประเทศชาติ”
เธอพยายามชี้ให้เห็นว่า วิกฤตบ้านเมืองที่สำคัญยิ่งคือ“ความเหลื่อมล้ำทางข้อมูลกำลังจะทำให้คนไทยฆ่ากัน”แต่กลับเป็นเรื่องที่ไม่เคยถูกหยิบยกมาพิจารณาอย่างลึกซึ้ง และเป็นระบบ จนคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศชาติกลายเป็นคนกำหนดเกมผ่านธุรกิจสื่อในเครือ สร้างชุดความเท็จเพื่อประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงจรรยาวิชาชีพ ชี้นำให้สังคมเข้าใจผิดว่า “คนไทยแตกแยกเพราะมีความเห็นที่แตกต่างกัน” ทั้งที่แท้จริงแล้วปัญหาไม่ใช่เรื่อง “ความเห็น”แต่เป็น “ความจริง”ที่ถูก “บิดเบือน” จึงเสนอให้ “มานิจ สุขสมจิตร” ซึ่งเธอคงคาดหวังว่าเป็นสื่อมวลชนอาวุโสที่ควรค่าแก่การเคารพ จะได้นำประเด็นเหล่านี้ไปไตร่ตรอง และเป็นเจ้าภาพเชิญสื่อมวลชนที่รักชาติมานั่งคุยกันให้ตกผลึกว่า บทบาทสื่อในสถานการณ์ที่มีสื่อบิดเบือน และคำโกหกอยู่ตลอดเวลา ควรจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้สังคมเกิดความสับสนระหว่าง“ความจริง”กับ “ความเท็จ”
เธอเสนอประเด็นที่สื่อมวลชนสามารถทำได้ทันที เริ่มจากการทบทวนหลักคิดที่เคยใช้ได้ในยามปกติว่ายังคงใช้ได้ในวิกฤตที่เกิดขึ้นขณะนี้ได้หรือไม่ หรือว่ากับดักความเป็นกลาง ทำให้ “สื่อ”กลายเป็นทั้งเหยื่อ และเครื่องมือเผยแพร่ชุดข้อมูลเท็จ และการสร้างค่านิยมที่ไม่ถูกต้องกับสังคมโดยไม่รู้ตัว เธอเขียนทิ้งท้ายไว้อย่างทำใจล่วงหน้าว่า “จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ อาจไม่มีความหมายสำหรับใครๆ เลย แต่อย่างน้อยก็ตอบตัวเองได้ว่า “ได้พยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว ในหน้าที่สื่อสารมวลชน”
ดังคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ ที่ว่า “ถ้าอยู่ในฐานะที่หลีกทางให้ไม่ได้จริงๆ ก็จงยินดีเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง...ที่ประดังกันเข้ามา และ 3 ข้อเสนอด้านล่าง คือประเด็นที่เธอเลือกจะพุ่งชน เพราะเชื่อว่าอยู่ในฐานะที่หลีกทางให้ไม่ได้
**1. หลุดพ้นจากกับดักความเป็นกลาง
เรามักยึดถือเป็นแนวปฏิบัติกันมาโดยตลอดว่า ต้องเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่เราไม่เคยพิเคราะห์ถึงสภาพปัญหาในปัจจุบันที่อยู่ท่ามกลางสงครามระหว่าง “ความเท็จ”กับ “ความจริง”โดยคิดว่าความเป็นกลาง คือการให้พื้นที่สองฝ่ายเท่ากัน ซึ่งใช้ได้ในสถานการณ์ปกติ
แต่ในสภาพที่มีการสร้างชุดความเท็จมาครอบความจริงอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องที่ “สื่อมวลชน”ควรจะได้ทบทวนว่า เราจะให้พื้นที่ “ความเท็จ”เท่ากับ“ความจริง” หรือนำเสนอความจริงเพื่อหักล้าง “ความเท็จ”ที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งจะมีส่วนสำคัญยิ่งในการเติมเต็มข้อมูลที่ถูกต้องให้ประชาชน ไม่ให้เกิดความสับสน จนลุกลามกลายเป็นความแตกแยก
**2. ลดการเสนอความเห็นมุ่งเน้นที่การเสนอความจริง
จะเห็นได้ว่าเนื้อข่าวในแต่ละวันเต็มไปด้วยความเห็น แต่แทบจะไม่มีการแสวงหาความจริงเพื่อมานำเสนอต่อประชาชน ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ความเห็นที่เป็น “ขยะ”ก็ไม่เคยถูกแยกออกจาก“ข่าว” ทั้งๆ ที่เรามีหน้าที่เป็นคนปิดเปิดประตูข่าวสาร การปล่อยให้ขยะปนกับข่าวออกไปสู่สายตาประชาชนทุกวัน คือการให้ยาพิษที่อันตรายยิ่ง เพราะทำให้คนไทยแยกไม่ออกระหว่าง“ความเท็จ”กับ “ความจริง
ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม คือ กรณีการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ผู้ถูกถอดถอนบิดเบือนว่า กระบวนการตรวจสอบผิดปกติ สร้างความเข้าใจผิดให้ประชาชนหลงเชื่อว่า “การถอดถอน ทำได้เฉพาะคนที่อยู่ในตำแหน่งแล้วเท่านั้น”ซึ่งเป็นความเท็จ แต่สื่อมวลชนทุกแขนง กลับช่วยขยายผลนำเสนอความเห็นเท็จเหล่านั้น แทนที่จะให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับประชาชน
เช่น ถ้าจะเสนอความเห็นที่บิดเบี้ยวดังกล่าว ก็ต้องมีการให้ความรู้ต่อท้ายด้วยว่า “อย่างไรก็ตาม การถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่พ้นตำแหน่งไปแล้ว เป็นเรื่องปกติตามกระบวนการทางกฎหมาย เพราะยังมีการลงโทษตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี รวมอยู่ด้วย โดยที่ผ่านมาก็ดำเนินการเช่นนี้มาโดยตลอด กรณี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด "
**3. ให้ความสำคัญกับบทบรรณาธิการ ที่เป็นจุดยืนของหนังสือพิมพ์
บทบรรณาธิการ คือทิศทางของหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ แต่คนอ่านน้อยมาก เพราะถูกไปซุกอยู่ในมุมมืดที่ไม่เตะตาประชาชน ถ้าเพียงแค่เปลี่ยนพื้นที่บทบรรณาธิการให้มาอยู่หน้า 3 ประชาชน ก็จะได้อ่านบทบรรณาธิการที่หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่เขียนด้วยหลักการ และเหตุผล ยกตัวอย่าง เช่น นสพ. ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่ง บทบรรณาธิการแสดงให้เห็นความเป็นสื่อที่แท้จริง แต่พื้นที่หน้า 3 ซึ่งคนอ่านมากกว่า ถูกใช้ไปเพื่ออะไร ผู้ที่ติดตามข่าวสารย่อมทราบดี
เธอยังหยิบยกเอาการแสดงจุดยืนของ"กุหลาบ สายประดิษฐ์" หรือ "ศรีบูรพา" สื่อมวลชนที่ยึดมั่นในวิชาชีพโดยไม่เกรงกลัวต่อผู้มีอำนาจ พร้อมอุทิศชีวิตเพื่อรักษาความถูกต้องที่เคยระบุไว้ว่า
“ในเวลาสงบ ท้องฟ้าโปร่ง สว่างจ้าด้วยแสงตะวัน ใครๆ ก็แลเห็นว่าเรายืนอยู่ที่ไหน เวลาพายุกล้า ฟ้าคนอง ผงคลีฟุ้งตลบไปในอากาศ ไม่เห็นตัวกัน ต่อพายุสงบ ฟ้าสว่าง ใครๆ ก็จะเห็นอีกครั้งหนึ่งว่า เรายืนอยู่ที่เดิม และจักอยู่ที่นั่น”
**ท่ามกลางพายุที่กำลังถาโถมเข้าใส่ประเทศไทยในขณะนี้ เราในฐานะสื่อมวลชน“จะพัดปลิวไปตามพายุ กลายเป็นแค่ฝุ่นละอองคละคลุ้งทำให้สายตาประชาชนพร่ามัวจนมืดบอด กระจัดกระจายแยกส่วนออกไป จนแม้แต่ตัวเองอาจไม่รู้ว่ากำลังอยู่ที่ใด อย่างนั้นหรือ "
**คำถามจากสมจิตต์จะมีใครกล้าออกตอบไหม ?
กำลังโหลดความคิดเห็น