ช่วงเวลาท้าทายระหว่าง “สื่อ” กับ “ผู้มีอำนาจ”เมื่อวานมีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวน้าคณะรักษาความส...
Posted by สมจิตต์ นวเครือสุนทร on Sunday, 29 March 2015
ผู้สื่อข่าวหญิงช่อง 7 เผยความในใจผ่านเฟซบุ๊ก ไม่โกรธไม่อคติ แต่สะเทือนใจมาก “ประยุทธ์” ฉะไม่ใช่คนไทย เข้าใจเครียด-เหนื่อย แต่ขอให้เข้าใจสื่อ ซัดมติชนถือโอกาสตัดต่อคลิป-พาดหัวชี้นำ สวนยึดจรรยาวิชาชีพ ไม่เคยรับรัฐพีอาร์-ลาออกหนีการตรวจสอบ
วันนี้ (30 มี.ค.) น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์สี ช่อง 7 ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก“สมจิตต์ นวเครือสุนทร”ในหัวข้อ “ช่วงเวลาท้าทายระหว่าง “สื่อ” กับ “ผู้มีอำนาจ”” ซึ่งมีเล่าถึงเหตุการณ์ที่ น.ส.สมจิตต์ เดินทางไปสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เดินทางกลับจากการร่วมพิธีศพนายลี กวนยู ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 29 มีนาคมซึ่งมีการถามตอบคำถามที่ค่อนข้างดุเดือด และมีช่วงหนึ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์เปรียบเปรยว่า น.ส.สมจิตต์ไม่ใช่คนไทยว่า ส่วนตัวมีความเข้าใจ พล.อ.ประยุทธ์ที่อาจมีความเครียดจากการบริหารประเทศที่หนักและเหนื่อย แต่ในฐานะสื่อมวลชนก็มีหน้าที่ในการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นจริงต่อประชาชนเช่นเดียวกัน
“ดิฉันไม่โกรธและไม่มีอคติกับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่อยากบอกตรงๆ ว่าตลอดการทำข่าวกว่า 20 ปี ไม่เคยเศร้าและสะเทือนใจมากเท่านี้มาก่อน เพราะเพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนไทยจากการตัดสินของคนเป็นผู้นำประเทศ” น.ส.สมจิตต์ระบุ
นอกจากนี้ น.ส.สมจิตต์ยังระบุถึงการนำเสนอข่าวของเว็บไซต์มติชนออนไลน์ ด้วยว่า “ขอขอบคุณที่เกาะติดความเคลื่อนไหวของดิฉัน ทั้งที่เป็นแค่นักข่าวคนหนึ่ง แต่การนำเสนอข่าวที่พาดหัวว่า “คลิป “บิ๊กตู่” ปะทะ “สมจิตต์ ช่อง 7” ผมแก้ปัญหาเศรษฐกิจดีกว่ารัฐบาลที่คุณชอบ” นั้น เป็นความพยายามที่ต้องการชี้นำบางอย่าง”
ทั้งนี้ น.ส.สมจิตต์ยังระบุด้วยว่า มีความยึดมั่นในเรื่องความดี และตลอดชีวิตการเป็นสื่อสารมวลชนมั่นใจว่าไม่เคยทำผิดต่อจรรยาวิชาชีพ โดยไม่เคยรับเงินรัฐบาลใด 240 ล้านเพื่อจัดงานอีเวนต์ประชาสัมพันธ์และไม่เคยหลบหนีกระบวนการตรวจสอบของสมาคมวิชาชีพด้วยการลาออกจากการเป็นสมาชิก
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอบคุณที่กรุณานำคลิปสัมภาษณ์มาเผยแพร่ แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีการตัดต่อเลย” น.ส.สมจิตต์ระบุในช่วงท้าย
ข้อความในเฟซบุ๊ก “สมจิตต์ นวเครือสุนทร”
“ช่วงเวลาท้าทายระหว่าง “สื่อ” กับ “ผู้มีอำนาจ”
เมื่อวานมีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.และนายกรัฐมนตรี หลังกลับจากสิงคโปร์ ท่าทีของนายกฯดูอ่อนล้า คงเพลียจากการเดินทาง แต่ยังเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนถามเหมือนทุกครั้งที่กลับจากต่างประเทศ
ดิฉันเข้าใจความเครียดจากการบริหารประเทศที่หนักและเหนื่อย แต่ในขณะเดียวกันคนเป็นสื่อก็มีหน้าที่ในการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นจริงต่อประชาชนเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการตัดสินใจใด ๆ ของรัฐบาลที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศชาติ
การสัมภาษณ์ครั้งนี้ทำให้ได้คิดว่า ช่วงเวลานี้เป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่ท้าทายวิชาชีพสื่อสารมวลชน และ ผู้มีอำนาจ ว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม มีความสมดุล เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติได้มากน้อย แค่ไหน
“ดิฉันไม่โกรธและไม่มีอคติกับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่อยากบอกตรงๆ ว่า ตลอดการทำข่าวกว่า 20 ปี ไม่เคยเศร้าและสะเทือนใจมากเท่านี้มาก่อน เพราะเพิ่งรู้ว่าตัวเอง “ไม่ใช่คนไทย” จากการตัดสินของ “คนเป็นผู้นำประเทศ”
มีอุดมการณ์ของสื่อมวลชนชั้นครูอย่าง กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือศรีบูรพา เคยให้สติรัฐบาลเผด็จการทหารในขณะนั้นไว้ว่า “ถ้ารัฐบาลไม่ชอบให้ใครพูดถึงรัฐบาลในสิ่งที่ไม่ดี รัฐบาลก็จะต้องไม่ทำในสิ่งนั้น รัฐบาลต้องแก้การกระทำของรัฐบาล ไม่ใช่มาเรียกร้องให้เราแก้การเขียนหนังสือของเราที่เขียนตามความเป็นจริง”
สำหรับ “มติชน” ก็ต้องขอบคุณที่เกาะติดความเคลื่อนไหวของดิฉันอยู่เนืองๆ ทั้งๆ ที่เป็นแค่ “นักข่าว” คนหนึ่ง แต่การนำเสนอของท่านที่จงใจพาดหัวว่า “คลิป “บิ๊กตู่” ปะทะ “สมจิตต์ ช่อง 7” ผมแก้ปัญหาเศรษฐกิจดีกว่ารัฐบาลที่คุณชอบ” นั้น ผู้นำเสนอข่าวนี้ย่อมทราบถึงวัตถุประสงค์ของตัวเองเป็นอย่างดีว่าต้องการชี้นำอะไร
ดิฉันเป็นคนเชื่อเรื่อง “ความดี” ค่ะ คน อาจถูกทำลายได้แต่ไม่มีใคร “ทำลายความดี” ได้ ความดีคงอยู่เสมอแม้จะมีคนเห็นหรือไม่ก็ตาม ที่สำคัญตลอดชีวิตการเป็นสื่อสารมวลชนมั่นใจเกิน 100% ว่าไม่เคยทำผิดต่อจรรยาวิชาชีพ
ไม่เคยรับเงินรัฐบาลใด 240 ล้าน เพื่อจัดงานอีเวนต์ประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและของประเทศ ภายใต้ชื่องาน “สร้างอนาคตไทย 2020” เพื่อโฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยยินดีปรีดากับการที่รัฐบาลจะออกกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้าน ให้คนไทยแบกหนี้ไป 50 ปี
ไม่เคยหลบหนีกระบวนการตรวจสอบของสมาคมวิชาชีพด้วยการลาออกจากการเป็นสมาชิก หลังถูกชี้ว่ามีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง
ไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษจากกระทรวงมหาดไทยให้ซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวแบบผูกขาดเพื่อไปวางในหน่วยงานปกครองที่อยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยทั่วประเทศ
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอบคุณที่กรุณานำคลิปสัมภาษณ์มาเผยแพร่ แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีการตัดต่อเลย