“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
คน-กับ-ระบบ-อะไรสำคัญมากกว่ากัน?
แล้ว“ไก่กับไข่”อะไรมาก่อนล่ะ..ใครคนหนึ่งถามแบบเบนประเด็น?
เรื่อง“ไก่กับไข่”อะไรมาก่อนนั้น ไม่ได้ส่งผลให้สังคมไทยดีขึ้น เพราะมีเรื่องที่มีค่าให้หาคำตอบมากกว่า..จริงไหม?
ทุกชาติในโลกยึดหลัก..คน-ต้องมาก่อน และ“คนดีต้องได้รับการคุ้มครองทุกมิติ ส่วนคนชั่วต้องถูกลงโทษเมื่อทำผิด” ทำผิดน้อยอาจโดนแค่-รอลงอาญา ทำผิดมากก็โดนลงโทษ-ติดคุกหลายปี ทำผิดหนักหรือฉกรรจ์-ติดคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต
คนทำผิดเป็นคนไทย ตำรวจจับคนผิดก็เป็นคนไทย ผู้พิพากษาลงโทษคนผิดก็เป็นคนไทย ผู้คุมคุกกับคนประหารชีวิตคนผิด..ก็เป็นคนไทยอีก!
นั่นเป็นกฎแห่งนิติรัฐนิติธรรมของสังคมโลก ที่ทำให้คนในสังคมรู้ดี-รู้ชั่ว-รู้ถูก-รู้ผิด-รู้ควร-รู้ไม่ควรทำ ซึ่งจะทำให้คนทั้งสังคม“ปรองดอง”กันอย่างยั่งยืน
ไม่มีสังคมใดมีกฎกติกาว่า คนทำผิดกับคนทำถูกกฏหมาย มีสิทธิเท่าเทียมกันในทุกเรื่อง อีกทั้งไม่มีสังคมใดยึดหลัก ชอบหรือให้คนชั่วขึ้นปกครองชาติ ปกครองคนดีที่เป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม
ที่สำคัญ..ไม่มีคนในสังคมใดชื่นชม ผู้นำและรัฐบาลที่ปล้นชาติปล้นประชาชนแน่นอน
ภารกิจสำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด ของพลเมืองดีทุกแห่งในโลกนี้คือ ต้องทำทุกวิถีทางให้ คนดีได้ขึ้นปกครองชาติ และกีดกันทุกวิถีทางมิให้“คนชั่วมีอำนาจ”เด็ดขาด!
นั่นมิใช่ภารกิจสำคัญเฉพาะคนไทยต้องทำ แต่เป็นภารกิจพลเมืองดีของโลกทุกคน
คนชั่ว-ที่ได้ขึ้นปกครองประเทศหลายแห่ง ไม่ว่าจะใช้“เงิน”หรือ“ปืน”ยึดอำนาจรัฐ โดยมิได้ใช้อำนาจรัฐสร้างคุณงามความดีให้ชาติ ทว่ากลับใช้
อำนาจรัฐไปก่อกรรม ทำชั่วให้ชาติและประชาชน ด้วยการ โกงชาติ-บ้าอำนาจ-สืบทอดอำนาจ จึงหนีไม่พ้นที่จะโดนก่นด่าไปทั้งชาติ
ยิ่งถ้าทำชั่วอย่างหนักไปกระทบกับชาติอื่นๆ ผู้นำหรือรัฐบาลชั่วในระดับชาติ อาจถูกยกระดับให้กลายเป็น“ผู้ร้าย”ระดับสากล ถูกประณามสาปแช่งไปทั่วทั้งโลก เช่น
คนดีในเยอรมันปล่อยให้“ผู้ร้าย”ชื่อ“อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” หัวหน้าพรรคนาซี ขึ้นปกครองประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยังให้“ฮิตเลอร์”นำกองทัพบุกยึดโปแลนด์ จนเป็นจุดเริ่มต้นที่บานปลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงปี 1933-1945 ทำให้ชาวโลกตายมากกว่า 60 ล้านคน
หลัง“ผู้นำชั่ว”ของรัฐบาลเยอรมันยุคนั้น ฆ่าคนในโลกตายไปกว่า 60 ล้านคนแล้ว การเมืองในหลายประเทศได้มีการปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะเยอรมัน ได้เปลี่ยนทั้งโครงสร้างทางการเมืองกันครั้งใหญ่ บางเรื่องก็แค่ปฏิรูป แต่บางเรื่องถึงขั้นปฏิวัติเปลี่ยนแปลงกันเลย
ระบบการเมืองในทุกมิติถูกตรวจสอบ แล้วออกกฎกติกาใหม่เพื่อขจัดจุดอ่อนหรือช่องโหว่ ที่กลุ่มคนชั่วใช้เป็นช่องทางเดินเข้ามายึดอำนาจรัฐไปใช้อย่างอธรรม จนเป็นภัยร้ายแรงต่อชาติในทุกมิติ
ชาติไทย-ก็มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นมายาวนาน เพราะระบบการเมืองไทยมีจุดอ่อนมากมาย ที่ทำให้กลุ่มคนชั่วใช้เป็นช่องทางในการเข้ามายึดอำนาจรัฐด้วยวิธีการสกปรก จนทำให้การเมืองไทยไม่อยู่ในตำรารัฐศาสตร์ ของอาจารย์หรือสถาบันใดสอนสั่ง ถึงขนาดผู้คนบางกลุ่มเสนอให้เผาตำรารัฐศาสตร์ทิ้งเสีย เพราะสิ่งที่ตำราสอนกับความเป็นจริงนั้น แตกต่างกันราว“มือ”กับ“ตีน”!
เพราะชาติไทยไม่เคยมีประชาธิปไตยแท้จริง ที่ให้ผลดีต่อชาติและประชาชน
สภาฯ ที่มาจากผู้แทนราษฎร(ส.ส.)ทั่วประเทศ โดย ส.ส.ต้องมาจากการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะ สส.เสียงข้างมากในสภาเป็นผู้ตั้งนายกฯ แต่ชาติกลับได้ ส.ส.ส่วนใหญ่ที่เป็นขี้ข้าทุนสามานย์
ฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา ต้องแยกจากฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล เพื่อสภาจะได้ตรวจสอบ-ควบคุม หรือลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจกับฝ่ายรัฐบาล ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
ดังนั้น รัฐบาลจะอยู่ได้หรือไม่ได้ จึงขึ้นกับผลงานของตัวรัฐบาลเอง ถ้าทำดีก็อยู่ต่อได้-ถ้าทำไม่ดีก็อยู่ไม่ได้ เพราะสภามีอำนาจจะติติง-ลงมติ หรือไม่เห็นด้วย-ถอดถอน-ลงโทษรัฐบาลได้ ส่วนนายกฯก็มีอำนาจในการลาออก-ปรับครม.-ยุบสภา ฯลฯ
แต่ในความเป็นจริง..สภา-ประกอบด้วย สส.ทั่วประเทศที่มาจากการเลือกตั้ง กับ ส.ส.เสียงข้างมากในสภาตั้งนายกฯ
ทั้งสองประเด็นสำคัญนี้ ทำให้นายทุนสามานย์ทั้งหลาย เห็นถึงระบบการเลือกตั้งที่ใช้เงินซื้อเสียงได้ เห็นผู้เกี่ยวข้องกับการจัดเลือกตั้งใช้เงินซื้อได้ เห็นผู้มีสิทธิ์ออกเสียงใช้เงินซื้อเสียงได้ ฯลฯ แถมเห็นเลยไปถึงกฎหมายลงโทษผู้ซื้อเสียง-ที่โกงชาติ-มีบทลงโทษเบามาก ฯลฯ
นายทุนสามานย์จึงมองเห็นโอกาสทอง ที่จะยึดอำนาจรัฐมาไว้ในกำมือตนและพวกพ้องได้ ด้วยการใช้เงินจำนวนมหาศาล ดาหน้าเข้ามาทำธุรกิจการเมืองเป็นทิวแถว เริ่มต้นด้วยการทุ่มเงินซื้อตัว สส. ที่มีอิทธิพลทั้งสีดำ-สีเทาทั่วประเทศ มาไว้ในกำมือหรือเข้าสังกัดพรรค ก่อนจะทุ่มเงินก้อนโตให้ สส.พรรคตน ลงไปโกงหรือใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง เพื่อนำ ส.ส.เข้าสภาให้ได้มากที่สุด หรืออย่างน้อยให้ได้เกินครึ่งสภา
งานนี้..ทำให้นายทุนสามานย์คนไหน ลงทุนจ่ายเงินจนได้ สส.เกินครึ่งสภา ก็จะได้เป็นหรือจะตั้งใครก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของตน และตั้งใครก็ได้เป็นรัฐมนตรี เพื่อใช้อำนาจรัฐบงการกลไกรัฐ หรือใช้ข้าราชการให้ทำงานตามต้องการได้ทันที
นั่นหมายถึงรัฐบาลทุนสามานย์ จะเริ่มต้นนับหนึ่งถอนทุนบวกกำไรงามๆ เปิดมหกรรมปล้นชาติปล้นประชาชนต่อเนื่องถึง 4 ปีไงล่ะครับ
ทุนสามานย์“เหลี่ยม”ก็ยึดอำนาจรัฐด้วยวิธีนี้ แต่สันดาน“เอาแต่ได้-รวยไม่รู้จักพอ” ทำให้มหาโจรการเมืองเหลี่ยมเลวยิ่งกว่าใคร เรียกว่า..โกงทั้งของราษฏร์และของหลวง โกงกระทั่งนโยบายหาเสียง เรียกว่า..โกงตั้งแต่“สากกะเบือยันเรือรบ” จนได้สมญานามรัฐบาล“โคตรโกง-โกงทั้งโคตร” ฯลฯ
นับแต่ทุนสามานย์เหลี่ยมกับเครือข่าย ได้บริหารชาติบ้านเมืองนานกว่า 10 ปี พวกเขาได้สร้างปัญหาชั่วร้ายและทำลายชาติไปแล้วแทบทุกมิติ
จริงตามสำนวนโบราณที่ว่า “สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก” เพราะเหลี่ยมกับเครือข่ายได้เป็นรัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ยังคงโกงชาติ-โค่นล้มสถาบันสูงสุดของชาติ ยังบ้าอำนาจถึงขั้นตั้งศาลเตี้ยฆ่าคนกว่า 2 พันคน ด้วยข้ออ้างปราบปรามยาเสพย์ติด อีกทั้งผลาญและโกงเงินชาติเพื่อหาเสียง ในโครงการจำนำข้าวมากว่า 6 แสนล้านบาท ที่สำคัญถึงกับปล่อยให้เขมรบุกยึดแผ่นดินไทย เพื่อตนกับพวกจะได้น้ำมันใต้ทะเล ในพื้นที่ทับซ้อนกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ฯลฯ
ยุคสามานย์เหลี่ยมกับเครือข่ายบริหารชาติ จึงเกิดการพลิกขั้วการเมือง 1 ครั้ง เกิดรัฐประหารถึง 2 ครั้ง! เพราะเหลี่ยมไม่เคยสนใจผลประโยชน์ชาติและประชาชน เพราะมุ่งแสวงหาแต่ผลประโยชน์ เข้าตัวและพวกพ้องลูกเดียวเท่านั้น
รัฐประหารครั้งแรก“เสียของ-เยี่ยวไม่สุด” นับเป็นการนำชาติและประชาชน ไปลงทุนกับการทำรัฐประหารที่เสียมากกว่าได้ หรือไม่คุ้มค่านั่นเอง
รัฐประหารครั้งที่สองนี้..ยังน่าเป็นห่วง เพราะอยู่ในสภาพ“ลูกผีลูกคน”
หากสภายังประกอบด้วย ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศ กับ สส.เกินกึ่งหนึ่งในสภาเป็นผู้ตั้งนายกฯ และยังแก้ระบบใช้การเงินซื้อเสียงเลือกตั้งไม่ได้! ซึ่งยังคงทำให้นายทุนสามานย์ คุ้ม และยังมีโอกาสจะขนเงินมาลงทุนกับการซื้อเสียงเข้ายึดอำนาจรัฐ เพื่อถอนทุนบวกกำไรจากการปล้นชาติปล้นประชาชน!!
ด้วยกฎหมายลงโทษกลุ่มคนชั่ว ที่ใช้เงินซื้อเสียงการเลือกตั้ง และใช้อำนาจรัฐปล้นชาติ ไม่หนักเท่าที่ควรหรือโทษยังคงเบาหวิวดังที่ผ่านมา..
คนชั่วกับระบบที่ยังมีช่องโหว่ และยังไม่ยอมแก้ไขกันนี่แหละ จะทำให้ชาติและประชาชน“เจ๊ง”ในอนาคตแน่นอน!!!
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
คน-กับ-ระบบ-อะไรสำคัญมากกว่ากัน?
แล้ว“ไก่กับไข่”อะไรมาก่อนล่ะ..ใครคนหนึ่งถามแบบเบนประเด็น?
เรื่อง“ไก่กับไข่”อะไรมาก่อนนั้น ไม่ได้ส่งผลให้สังคมไทยดีขึ้น เพราะมีเรื่องที่มีค่าให้หาคำตอบมากกว่า..จริงไหม?
ทุกชาติในโลกยึดหลัก..คน-ต้องมาก่อน และ“คนดีต้องได้รับการคุ้มครองทุกมิติ ส่วนคนชั่วต้องถูกลงโทษเมื่อทำผิด” ทำผิดน้อยอาจโดนแค่-รอลงอาญา ทำผิดมากก็โดนลงโทษ-ติดคุกหลายปี ทำผิดหนักหรือฉกรรจ์-ติดคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต
คนทำผิดเป็นคนไทย ตำรวจจับคนผิดก็เป็นคนไทย ผู้พิพากษาลงโทษคนผิดก็เป็นคนไทย ผู้คุมคุกกับคนประหารชีวิตคนผิด..ก็เป็นคนไทยอีก!
นั่นเป็นกฎแห่งนิติรัฐนิติธรรมของสังคมโลก ที่ทำให้คนในสังคมรู้ดี-รู้ชั่ว-รู้ถูก-รู้ผิด-รู้ควร-รู้ไม่ควรทำ ซึ่งจะทำให้คนทั้งสังคม“ปรองดอง”กันอย่างยั่งยืน
ไม่มีสังคมใดมีกฎกติกาว่า คนทำผิดกับคนทำถูกกฏหมาย มีสิทธิเท่าเทียมกันในทุกเรื่อง อีกทั้งไม่มีสังคมใดยึดหลัก ชอบหรือให้คนชั่วขึ้นปกครองชาติ ปกครองคนดีที่เป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม
ที่สำคัญ..ไม่มีคนในสังคมใดชื่นชม ผู้นำและรัฐบาลที่ปล้นชาติปล้นประชาชนแน่นอน
ภารกิจสำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด ของพลเมืองดีทุกแห่งในโลกนี้คือ ต้องทำทุกวิถีทางให้ คนดีได้ขึ้นปกครองชาติ และกีดกันทุกวิถีทางมิให้“คนชั่วมีอำนาจ”เด็ดขาด!
นั่นมิใช่ภารกิจสำคัญเฉพาะคนไทยต้องทำ แต่เป็นภารกิจพลเมืองดีของโลกทุกคน
คนชั่ว-ที่ได้ขึ้นปกครองประเทศหลายแห่ง ไม่ว่าจะใช้“เงิน”หรือ“ปืน”ยึดอำนาจรัฐ โดยมิได้ใช้อำนาจรัฐสร้างคุณงามความดีให้ชาติ ทว่ากลับใช้
อำนาจรัฐไปก่อกรรม ทำชั่วให้ชาติและประชาชน ด้วยการ โกงชาติ-บ้าอำนาจ-สืบทอดอำนาจ จึงหนีไม่พ้นที่จะโดนก่นด่าไปทั้งชาติ
ยิ่งถ้าทำชั่วอย่างหนักไปกระทบกับชาติอื่นๆ ผู้นำหรือรัฐบาลชั่วในระดับชาติ อาจถูกยกระดับให้กลายเป็น“ผู้ร้าย”ระดับสากล ถูกประณามสาปแช่งไปทั่วทั้งโลก เช่น
คนดีในเยอรมันปล่อยให้“ผู้ร้าย”ชื่อ“อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” หัวหน้าพรรคนาซี ขึ้นปกครองประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยังให้“ฮิตเลอร์”นำกองทัพบุกยึดโปแลนด์ จนเป็นจุดเริ่มต้นที่บานปลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงปี 1933-1945 ทำให้ชาวโลกตายมากกว่า 60 ล้านคน
หลัง“ผู้นำชั่ว”ของรัฐบาลเยอรมันยุคนั้น ฆ่าคนในโลกตายไปกว่า 60 ล้านคนแล้ว การเมืองในหลายประเทศได้มีการปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะเยอรมัน ได้เปลี่ยนทั้งโครงสร้างทางการเมืองกันครั้งใหญ่ บางเรื่องก็แค่ปฏิรูป แต่บางเรื่องถึงขั้นปฏิวัติเปลี่ยนแปลงกันเลย
ระบบการเมืองในทุกมิติถูกตรวจสอบ แล้วออกกฎกติกาใหม่เพื่อขจัดจุดอ่อนหรือช่องโหว่ ที่กลุ่มคนชั่วใช้เป็นช่องทางเดินเข้ามายึดอำนาจรัฐไปใช้อย่างอธรรม จนเป็นภัยร้ายแรงต่อชาติในทุกมิติ
ชาติไทย-ก็มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นมายาวนาน เพราะระบบการเมืองไทยมีจุดอ่อนมากมาย ที่ทำให้กลุ่มคนชั่วใช้เป็นช่องทางในการเข้ามายึดอำนาจรัฐด้วยวิธีการสกปรก จนทำให้การเมืองไทยไม่อยู่ในตำรารัฐศาสตร์ ของอาจารย์หรือสถาบันใดสอนสั่ง ถึงขนาดผู้คนบางกลุ่มเสนอให้เผาตำรารัฐศาสตร์ทิ้งเสีย เพราะสิ่งที่ตำราสอนกับความเป็นจริงนั้น แตกต่างกันราว“มือ”กับ“ตีน”!
เพราะชาติไทยไม่เคยมีประชาธิปไตยแท้จริง ที่ให้ผลดีต่อชาติและประชาชน
สภาฯ ที่มาจากผู้แทนราษฎร(ส.ส.)ทั่วประเทศ โดย ส.ส.ต้องมาจากการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะ สส.เสียงข้างมากในสภาเป็นผู้ตั้งนายกฯ แต่ชาติกลับได้ ส.ส.ส่วนใหญ่ที่เป็นขี้ข้าทุนสามานย์
ฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา ต้องแยกจากฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล เพื่อสภาจะได้ตรวจสอบ-ควบคุม หรือลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจกับฝ่ายรัฐบาล ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
ดังนั้น รัฐบาลจะอยู่ได้หรือไม่ได้ จึงขึ้นกับผลงานของตัวรัฐบาลเอง ถ้าทำดีก็อยู่ต่อได้-ถ้าทำไม่ดีก็อยู่ไม่ได้ เพราะสภามีอำนาจจะติติง-ลงมติ หรือไม่เห็นด้วย-ถอดถอน-ลงโทษรัฐบาลได้ ส่วนนายกฯก็มีอำนาจในการลาออก-ปรับครม.-ยุบสภา ฯลฯ
แต่ในความเป็นจริง..สภา-ประกอบด้วย สส.ทั่วประเทศที่มาจากการเลือกตั้ง กับ ส.ส.เสียงข้างมากในสภาตั้งนายกฯ
ทั้งสองประเด็นสำคัญนี้ ทำให้นายทุนสามานย์ทั้งหลาย เห็นถึงระบบการเลือกตั้งที่ใช้เงินซื้อเสียงได้ เห็นผู้เกี่ยวข้องกับการจัดเลือกตั้งใช้เงินซื้อได้ เห็นผู้มีสิทธิ์ออกเสียงใช้เงินซื้อเสียงได้ ฯลฯ แถมเห็นเลยไปถึงกฎหมายลงโทษผู้ซื้อเสียง-ที่โกงชาติ-มีบทลงโทษเบามาก ฯลฯ
นายทุนสามานย์จึงมองเห็นโอกาสทอง ที่จะยึดอำนาจรัฐมาไว้ในกำมือตนและพวกพ้องได้ ด้วยการใช้เงินจำนวนมหาศาล ดาหน้าเข้ามาทำธุรกิจการเมืองเป็นทิวแถว เริ่มต้นด้วยการทุ่มเงินซื้อตัว สส. ที่มีอิทธิพลทั้งสีดำ-สีเทาทั่วประเทศ มาไว้ในกำมือหรือเข้าสังกัดพรรค ก่อนจะทุ่มเงินก้อนโตให้ สส.พรรคตน ลงไปโกงหรือใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง เพื่อนำ ส.ส.เข้าสภาให้ได้มากที่สุด หรืออย่างน้อยให้ได้เกินครึ่งสภา
งานนี้..ทำให้นายทุนสามานย์คนไหน ลงทุนจ่ายเงินจนได้ สส.เกินครึ่งสภา ก็จะได้เป็นหรือจะตั้งใครก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของตน และตั้งใครก็ได้เป็นรัฐมนตรี เพื่อใช้อำนาจรัฐบงการกลไกรัฐ หรือใช้ข้าราชการให้ทำงานตามต้องการได้ทันที
นั่นหมายถึงรัฐบาลทุนสามานย์ จะเริ่มต้นนับหนึ่งถอนทุนบวกกำไรงามๆ เปิดมหกรรมปล้นชาติปล้นประชาชนต่อเนื่องถึง 4 ปีไงล่ะครับ
ทุนสามานย์“เหลี่ยม”ก็ยึดอำนาจรัฐด้วยวิธีนี้ แต่สันดาน“เอาแต่ได้-รวยไม่รู้จักพอ” ทำให้มหาโจรการเมืองเหลี่ยมเลวยิ่งกว่าใคร เรียกว่า..โกงทั้งของราษฏร์และของหลวง โกงกระทั่งนโยบายหาเสียง เรียกว่า..โกงตั้งแต่“สากกะเบือยันเรือรบ” จนได้สมญานามรัฐบาล“โคตรโกง-โกงทั้งโคตร” ฯลฯ
นับแต่ทุนสามานย์เหลี่ยมกับเครือข่าย ได้บริหารชาติบ้านเมืองนานกว่า 10 ปี พวกเขาได้สร้างปัญหาชั่วร้ายและทำลายชาติไปแล้วแทบทุกมิติ
จริงตามสำนวนโบราณที่ว่า “สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก” เพราะเหลี่ยมกับเครือข่ายได้เป็นรัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ยังคงโกงชาติ-โค่นล้มสถาบันสูงสุดของชาติ ยังบ้าอำนาจถึงขั้นตั้งศาลเตี้ยฆ่าคนกว่า 2 พันคน ด้วยข้ออ้างปราบปรามยาเสพย์ติด อีกทั้งผลาญและโกงเงินชาติเพื่อหาเสียง ในโครงการจำนำข้าวมากว่า 6 แสนล้านบาท ที่สำคัญถึงกับปล่อยให้เขมรบุกยึดแผ่นดินไทย เพื่อตนกับพวกจะได้น้ำมันใต้ทะเล ในพื้นที่ทับซ้อนกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ฯลฯ
ยุคสามานย์เหลี่ยมกับเครือข่ายบริหารชาติ จึงเกิดการพลิกขั้วการเมือง 1 ครั้ง เกิดรัฐประหารถึง 2 ครั้ง! เพราะเหลี่ยมไม่เคยสนใจผลประโยชน์ชาติและประชาชน เพราะมุ่งแสวงหาแต่ผลประโยชน์ เข้าตัวและพวกพ้องลูกเดียวเท่านั้น
รัฐประหารครั้งแรก“เสียของ-เยี่ยวไม่สุด” นับเป็นการนำชาติและประชาชน ไปลงทุนกับการทำรัฐประหารที่เสียมากกว่าได้ หรือไม่คุ้มค่านั่นเอง
รัฐประหารครั้งที่สองนี้..ยังน่าเป็นห่วง เพราะอยู่ในสภาพ“ลูกผีลูกคน”
หากสภายังประกอบด้วย ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศ กับ สส.เกินกึ่งหนึ่งในสภาเป็นผู้ตั้งนายกฯ และยังแก้ระบบใช้การเงินซื้อเสียงเลือกตั้งไม่ได้! ซึ่งยังคงทำให้นายทุนสามานย์ คุ้ม และยังมีโอกาสจะขนเงินมาลงทุนกับการซื้อเสียงเข้ายึดอำนาจรัฐ เพื่อถอนทุนบวกกำไรจากการปล้นชาติปล้นประชาชน!!
ด้วยกฎหมายลงโทษกลุ่มคนชั่ว ที่ใช้เงินซื้อเสียงการเลือกตั้ง และใช้อำนาจรัฐปล้นชาติ ไม่หนักเท่าที่ควรหรือโทษยังคงเบาหวิวดังที่ผ่านมา..
คนชั่วกับระบบที่ยังมีช่องโหว่ และยังไม่ยอมแก้ไขกันนี่แหละ จะทำให้ชาติและประชาชน“เจ๊ง”ในอนาคตแน่นอน!!!