“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“งานใดถ้าไม่มีอุปสรรค งานนั้นไม่ใช่งานสำคัญ น้ำทะเลเรียบไม่มีคลื่น ปลาจะตายหมด ปฐพีนี้ความชั่วเดินคู่ความดี ท่านจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว อยู่ที่ท่านเผลอหรือไม่”
หนึ่งในธรรมง่ายๆแต่ลึกซึ้งจาก “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด”
มนุษย์ทุกคนรู้ว่าปฐพีนี้มีความชั่วกับความดี กิเลส-ทำให้มนุษย์กระทำชั่วบนปฐพีนี้!
กิเลส-ที่อยากได้เงินทอง-อำนาจ-ทรัพย์ศฤงคารสารพัด-เพศตรงข้าม ฯลฯ ชนิดไม่รู้จักพอ!!
ใครไม่อยากร่ำรวยเงินทองทรัพย์สิน? ใครไม่อยากเป็นประธานสภา-นายกฯ-รัฐมนตรี-ผบ.ทบ.-ผบ.ทอ.-ผบ.ทร.-ผบ.ตร.-ปลัดกระทรวง-อธิบดี ฯลฯ
มนุษย์-ชายหญิงคนใดบ้าง..ที่ไม่มีกิเลสบางสิ่งบางอย่างซุกซ่อนไว้ในใจ?
ชายคนใด-ไม่อยากได้หญิงสวย-หุ่นดี-ขาวโอโม่? ชายบางคนถึงขั้นอยากได้เธอที่ “ไฟหน้าโตเต็มสองมือ”อีกต่างหาก แต่ไม่กล้าพูดกันตรงๆ เพราะรู้สึกไม่เหมาะไม่ควร
อืม..ที่ไม่ควรนั้นถูกต้อง เพราะความดีของหญิงต่างหาก ที่ต้องเป็นหลักยึดของผู้ชายที่ดีทุกคน มิใช่ “ไฟหน้า”ของคุณเธอ
หญิงคนใด-ไม่อยากได้ชายหล่อเหลา-สูงยาว-เข่าดี ที่สำคัญต้องเป็นคนนิสัยดี แน่นอน..เธอทุกคนล้วนอยากได้ชายที่รักเธอคนเดียวตลอดไป มิใช่รักเดียวใจเดียวแต่หลายคน..
แต่ที่แน่ๆหญิงและชายทุกคนไม่กล้าบอกว่า..เรื่องบนเตียงนั้น เธอ-ฉัน-สองเราต้องดีมีประสิทธิภาพด้วยนะ..จริงไหม? แต่พอเป็น“สว.”หรือสูงวัย ก็คงต้องให้ความรักหรือให้ใจทำงาน เพราะขืนใช้กายลุยแบบไม่ยั้งคิด ไม่ใครก็ใครอาจตายก่อนวัยอันควร หรือ“ตายคาอก”นั่นเอง
แต่มนุษย์ทั่วไปอย่างเราๆท่านๆ ก็ต้องพยายามดับกิเลสด้วยศีล 5 ที่ดีหน่อยก็ศีล 8 ไปเลย และต้องรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีจิตสาธารณะในฐานะพลเมืองไทยที่ดีมีคุณภาพ ทว่า..มนุษย์ที่มีอาชีพเหนือคนธรรมดาในชาติไทย คือ
นักการเมือง ต้องมีคุณธรรม-ศีลธรรม-จริยธรรม-ซื่อสัตย์ ฯลฯ พูดง่ายๆ ต้องเป็นคนดีเหนือมนุษย์ทั่วไป ต้องไม่ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก หรือเป็นลิงหลอกเจ้า เพราะอาชีพนี้เป็นผู้บริหารชาติ ต้องยึดถือผลประโยชน์ส่วนรวม สร้างสังคมที่มีความยุติธรรม ต้องทำให้คนในชาติอยู่ดีกินดี ที่สำคัญต้องมิให้คนชั่วยึดอำนาจรัฐไว้ในกำมือ ฯลฯ
แต่ที่ผ่านมาชาติไทยโชคร้าย..ชาติไทยแทบล่มจม เพราะได้รัฐบาลโคตรโกงและโกงทั้งโคตร ใช้เงินยึดอำนาจรัฐมานานกว่าสิบปี
ครูอาจารย์ ต้องเป็นแม่พิมพ์พ่อพิมพ์ที่ดี ให้กับเด็ก-เยาวชน-นักศึกษา แต่สังคมไทยก็ดันมีครูอาจารย์บางส่วนเป็นพวกขี้โกงเสียอีก โกงตั้งแต่เก้าอี้-โต๊ะเรียน-สนามฟุตซอล ฯลฯ ส่วนระดับมหาวิทยาลัยก็โกงกันอย่างมโหฬาร
อธิการบดีกับพวกในมหาวิทยาลัยรัฐบางแห่ง ชอบขยายวิทยาเขตกันเป็นว่าเล่น เพื่อโกงการจัดซื้อข้าวของ โกงการก่อสร้างอาคาร ฯลฯ จนอธิการบดีมหาวิทยาลัยกับพวกบางคน มีเงินทั้งสีขาวสีเทาสีดำหลายพันล้านบาท มีซุปเปอร์คาร์เป็นฝูง มีบ้านราคานับร้อยล้าน ฯลฯ แถมครูอาจารย์กิเลสตัณหาจัดบางคน ยังใช้การสอบผ่านแลกเปลี่ยนกับการขอร่วมเพศลูกศิษย์สาวอีกด้วย
ล่าสุด สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มีการโกงเงินของมหาวิทยาลัยฯ เป็นเงินมากกว่า 1,400 ล้านบาท เฮ้อ..ครูอาจารย์ที่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ให้กับเด็ก-เยาวชน-นักศึกษา กลับโกงชาติกันอย่างหน้าด้านๆตลอดเวลา
การโกงในสถาบันศึกษาทุกระดับ ที่เป็นข่าวสู่สังคมเป็นแค่เศษเสี้ยว ส่วนที่ยังไม่ถูกเปิดเผยยังมีอีกมหาศาล..จริงไหม?
พระสงฆ์ สละกิเลสมาครองผ้าเหลือง เพื่อเดินสู่หนทางธรรมขององค์พระศาสดา ดังนั้น พระสงฆ์ทุกรูปจึงต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด พระสงฆ์ต้องชี้ทางธรรมแก่ผู้คน ให้ได้คิดได้ทำกรรมดี-ไม่คิดไม่ทำกรรมชั่ว ฯลฯ
แต่เพราะชาติไทยอยู่ในสังคมทุนสามานย์ จึงเกิดสภาวะ“ปลาใหญ่ไล่กินปลาเล็ก” คนส่วนใหญ่ในสังคม จึงจมปลักอยู่กับความยากจนและความอยุติธรรมสารพัด ยิ่งชาติเต็มไปด้วยนักการเมืองชั่ว ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง เข้ามาเป็น ส.ส.-นายกฯ-รัฐบาล ฯลฯ วิกฤตการโกงชาติจึงยิ่งทับถมทวีขึ้นอีก
ครั้นผู้คนที่ยากจนข้นแค้นแสนสาหัส หันหน้าเข้าหาวัด พระสงฆ์ที่ดียึดธรรมขององค์พระศาสดา ก็จะสอนหรือบอกทางสว่าง ให้ผู้คนเอาชนะความทุกข์ด้วยมรรคาที่ถูกต้องแห่งธรรม
แต่พระสงฆ์เชิงพาณิชย์กับพระปลอมทั้งหลาย ที่ใช้ผ้าเหลืองบังหน้าทำมาหากิน กลับมอมเมาผู้คนด้วยอวิชชาหรือโกหกหลอกลวง เพื่อมุ่งกอบโกยทรัพย์สินเงินทอง ซ้ำเติมทุกข์ให้ผู้ยากไร้เหล่านั้นเพิ่มขึ้นอีก
วันนี้พระสงฆ์บางรูปบางวัด มีข่าวฉาวโฉ่กับสีกา ขายเครื่องรางของขลังกันเป็นล่ำเป็นสัน โกงเงินที่ญาติโยมถวายให้วัด มีการก่อสร้างโครงการใหญ่ๆ ที่โกงกันเป็นเงินมากถึงร้อยๆล้าน ฯลฯ ล่าสุด..ญาติโยมเพิ่งรู้ว่า พระชื่อดังรูปหนึ่งมีเงินส่วนตัวถึงห้าพันล้านบาท ญาติโยมมารู้หลังท่านมรณภาพไปแล้ว นี่ยังไม่รวมพระจริงพระปลอม ที่พ่ายต่อกิเลสตัณหามั่วสีกาในกุฏิจนเป็นข่าวอยู่เนืองๆ
เมื่อมนุษย์แทบทุกรูปทุกนามล้วนมีกิเลส ดังนั้น มนุษย์จึงต้องรู้มรรคาเอาชนะกิเลส อย่างมีประสิทธิภาพสูงยิ่ง นั่นคือ ธรรมแห่งองค์พระศาสดา..
คนชั่วปล่อยกิเลสให้เป็น“นาย”เหนือกายใจ ส่วนคนดีเก็บกดกิเลสให้เป็น“ทาส” โดยใช้ความดี-ปัญญาแห่งธรรม เอาชนะความชั่วได้สำเร็จนั่นเอง
สังคมไทยมีคนดีมากกว่าคนชั่วแน่นอน ลองคิดดูสิว่า..ถ้าชาติไทยมีคนชั่วมากกว่าคนดี กิเลสชั่วร้ายนานาชนิดจะครอบงำแทบทุกอณู คนดีที่กลายเป็นคนส่วนน้อย จะอยู่กันเช่นไร-จะอยู่กันแบบไหน?
ถ้าวันนั้นมีจริงและมาถึง คงต้องใช้ธรรมของ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี” ที่ว่า
“ธรรมชาติเคลื่อนไปสู่ความสลายของธรรมชาติ วัตถุเคลื่อนไปสู่ความสลายของวัตถุ จักรวาลเคลื่อนไปสู่ความสลายของจักรวาล กรรมเคลื่อนไปสู่วิบากของมัน”
ถึงวันนั้นจะโทษใครหรืออะไรไม่ได้ทั้งสิ้น นอกจากสรุปตรงไปตรงมาว่า
คนชั่วก่อเกิด-เติบโต-ครองอำนาจ จนแผ่ขยายไปแทบทั้งสังคมไทยได้ เพราะคนดีที่เคยเป็นคนส่วนใหญ่ ได้ปล่อยปละ-ละเลย-นิ่งเฉย-งอมืองอตีน ฯลฯ จนคนชั่วยึดอำนาจรัฐไว้ได้อย่างถาวร และใช้กลไกรัฐขยายความชั่วไปทุกมิติ “คนเคยดี”ส่วนใหญ่แพ้พ่ายใจตน จนตกเป็นทาสกิเลสที่คนชั่วปรนเปรอให้ จนโงหัวไม่ขึ้น ฯลฯ
สุดท้าย..“คนเคยดี”จึงเป็นเฉกเช่นคนชั่วทั้งหลาย นั่นคือ ละทิ้งธรรมกรรมดีไปทำชั่ว ด้วย“เห็นกงจักรเป็นดอกบัว”แทน
ดังนั้น หากคนดีที่เป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม ปล่อยหรือยอมให้กลุ่มคนชั่ว ใช้เงินหรือใช้ปืนยึดอำนาจรัฐ หรือบริหารชาติบนกิเลสตัณหา แสวงหาเงินทองและอำนาจให้ตนกับพวกพ้องอย่างต่อเนื่อง ย่อมเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง ต่อชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ และประชาชนในทุกมิติแน่นอน
แต่ผมเชื่อว่า สังคมไทยจะไม่อาจล่มสลายไปได้ง่ายๆ ด้วยเพราะธรรมที่ง่ายและลึกซึ้งของ “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ที่แสดงไว้ว่า
“การเป็นชาวพุทธที่แท้จริง หรือการตามรอยองค์สมณโคดมที่แท้จริง คือ การปฏิบัติ”
แน่นอนว่า ต้องมิใช่เพียงแค่ปฏิบัติดีแก่ตัวเองและครอบครัวเท่านั้น แต่ต้องกล้าปฏิบัติดีต่อชาติบ้านเมืองด้วย!
งานนี้ต้องขอจบลงด้วยธรรมของ“พระเจ้าอโศกมหาราช”ที่ว่า..
“ชัยชนะที่แท้จริงนั้นมีอยู่เพียงอย่างเดียว คือ การชนะตนเองและการชนะใจของมนุษย์ด้วยธรรม”
นั่นเป็น“ธรรม”ส่วนหนึ่งในหนังสือ “คำคมเตือนสติ” ของ “ส.อริยวังโส ภิกขุ” ซึ่งตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 2 ในเดือนธันวาคม ปี 2536 จำนวน 5,000 เล่ม ผมได้หนังสือเก่าๆเล่มบางๆแค่ 86 หน้านี้ จากพันธมิตรท่านหนึ่ง ในปี 2557 ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้
เรื่องของ“กิเลส”ที่ไม่เข้าใครออกใคร ทั้งมนุษย์ทั่วไป-ครูบาอาจารย์-พระสงฆ์องคเจ้า-นักการเมือง ฯลฯ ตลอดเส้นทางแห่งการ“เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย” ชัยชนะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ
“เข้าใจ” และ “ปฏิบัติ” ธรรม..ธรรม..ธรรม..แห่งองค์พระศาสดา !!!
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“งานใดถ้าไม่มีอุปสรรค งานนั้นไม่ใช่งานสำคัญ น้ำทะเลเรียบไม่มีคลื่น ปลาจะตายหมด ปฐพีนี้ความชั่วเดินคู่ความดี ท่านจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว อยู่ที่ท่านเผลอหรือไม่”
หนึ่งในธรรมง่ายๆแต่ลึกซึ้งจาก “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด”
มนุษย์ทุกคนรู้ว่าปฐพีนี้มีความชั่วกับความดี กิเลส-ทำให้มนุษย์กระทำชั่วบนปฐพีนี้!
กิเลส-ที่อยากได้เงินทอง-อำนาจ-ทรัพย์ศฤงคารสารพัด-เพศตรงข้าม ฯลฯ ชนิดไม่รู้จักพอ!!
ใครไม่อยากร่ำรวยเงินทองทรัพย์สิน? ใครไม่อยากเป็นประธานสภา-นายกฯ-รัฐมนตรี-ผบ.ทบ.-ผบ.ทอ.-ผบ.ทร.-ผบ.ตร.-ปลัดกระทรวง-อธิบดี ฯลฯ
มนุษย์-ชายหญิงคนใดบ้าง..ที่ไม่มีกิเลสบางสิ่งบางอย่างซุกซ่อนไว้ในใจ?
ชายคนใด-ไม่อยากได้หญิงสวย-หุ่นดี-ขาวโอโม่? ชายบางคนถึงขั้นอยากได้เธอที่ “ไฟหน้าโตเต็มสองมือ”อีกต่างหาก แต่ไม่กล้าพูดกันตรงๆ เพราะรู้สึกไม่เหมาะไม่ควร
อืม..ที่ไม่ควรนั้นถูกต้อง เพราะความดีของหญิงต่างหาก ที่ต้องเป็นหลักยึดของผู้ชายที่ดีทุกคน มิใช่ “ไฟหน้า”ของคุณเธอ
หญิงคนใด-ไม่อยากได้ชายหล่อเหลา-สูงยาว-เข่าดี ที่สำคัญต้องเป็นคนนิสัยดี แน่นอน..เธอทุกคนล้วนอยากได้ชายที่รักเธอคนเดียวตลอดไป มิใช่รักเดียวใจเดียวแต่หลายคน..
แต่ที่แน่ๆหญิงและชายทุกคนไม่กล้าบอกว่า..เรื่องบนเตียงนั้น เธอ-ฉัน-สองเราต้องดีมีประสิทธิภาพด้วยนะ..จริงไหม? แต่พอเป็น“สว.”หรือสูงวัย ก็คงต้องให้ความรักหรือให้ใจทำงาน เพราะขืนใช้กายลุยแบบไม่ยั้งคิด ไม่ใครก็ใครอาจตายก่อนวัยอันควร หรือ“ตายคาอก”นั่นเอง
แต่มนุษย์ทั่วไปอย่างเราๆท่านๆ ก็ต้องพยายามดับกิเลสด้วยศีล 5 ที่ดีหน่อยก็ศีล 8 ไปเลย และต้องรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีจิตสาธารณะในฐานะพลเมืองไทยที่ดีมีคุณภาพ ทว่า..มนุษย์ที่มีอาชีพเหนือคนธรรมดาในชาติไทย คือ
นักการเมือง ต้องมีคุณธรรม-ศีลธรรม-จริยธรรม-ซื่อสัตย์ ฯลฯ พูดง่ายๆ ต้องเป็นคนดีเหนือมนุษย์ทั่วไป ต้องไม่ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก หรือเป็นลิงหลอกเจ้า เพราะอาชีพนี้เป็นผู้บริหารชาติ ต้องยึดถือผลประโยชน์ส่วนรวม สร้างสังคมที่มีความยุติธรรม ต้องทำให้คนในชาติอยู่ดีกินดี ที่สำคัญต้องมิให้คนชั่วยึดอำนาจรัฐไว้ในกำมือ ฯลฯ
แต่ที่ผ่านมาชาติไทยโชคร้าย..ชาติไทยแทบล่มจม เพราะได้รัฐบาลโคตรโกงและโกงทั้งโคตร ใช้เงินยึดอำนาจรัฐมานานกว่าสิบปี
ครูอาจารย์ ต้องเป็นแม่พิมพ์พ่อพิมพ์ที่ดี ให้กับเด็ก-เยาวชน-นักศึกษา แต่สังคมไทยก็ดันมีครูอาจารย์บางส่วนเป็นพวกขี้โกงเสียอีก โกงตั้งแต่เก้าอี้-โต๊ะเรียน-สนามฟุตซอล ฯลฯ ส่วนระดับมหาวิทยาลัยก็โกงกันอย่างมโหฬาร
อธิการบดีกับพวกในมหาวิทยาลัยรัฐบางแห่ง ชอบขยายวิทยาเขตกันเป็นว่าเล่น เพื่อโกงการจัดซื้อข้าวของ โกงการก่อสร้างอาคาร ฯลฯ จนอธิการบดีมหาวิทยาลัยกับพวกบางคน มีเงินทั้งสีขาวสีเทาสีดำหลายพันล้านบาท มีซุปเปอร์คาร์เป็นฝูง มีบ้านราคานับร้อยล้าน ฯลฯ แถมครูอาจารย์กิเลสตัณหาจัดบางคน ยังใช้การสอบผ่านแลกเปลี่ยนกับการขอร่วมเพศลูกศิษย์สาวอีกด้วย
ล่าสุด สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มีการโกงเงินของมหาวิทยาลัยฯ เป็นเงินมากกว่า 1,400 ล้านบาท เฮ้อ..ครูอาจารย์ที่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ให้กับเด็ก-เยาวชน-นักศึกษา กลับโกงชาติกันอย่างหน้าด้านๆตลอดเวลา
การโกงในสถาบันศึกษาทุกระดับ ที่เป็นข่าวสู่สังคมเป็นแค่เศษเสี้ยว ส่วนที่ยังไม่ถูกเปิดเผยยังมีอีกมหาศาล..จริงไหม?
พระสงฆ์ สละกิเลสมาครองผ้าเหลือง เพื่อเดินสู่หนทางธรรมขององค์พระศาสดา ดังนั้น พระสงฆ์ทุกรูปจึงต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด พระสงฆ์ต้องชี้ทางธรรมแก่ผู้คน ให้ได้คิดได้ทำกรรมดี-ไม่คิดไม่ทำกรรมชั่ว ฯลฯ
แต่เพราะชาติไทยอยู่ในสังคมทุนสามานย์ จึงเกิดสภาวะ“ปลาใหญ่ไล่กินปลาเล็ก” คนส่วนใหญ่ในสังคม จึงจมปลักอยู่กับความยากจนและความอยุติธรรมสารพัด ยิ่งชาติเต็มไปด้วยนักการเมืองชั่ว ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง เข้ามาเป็น ส.ส.-นายกฯ-รัฐบาล ฯลฯ วิกฤตการโกงชาติจึงยิ่งทับถมทวีขึ้นอีก
ครั้นผู้คนที่ยากจนข้นแค้นแสนสาหัส หันหน้าเข้าหาวัด พระสงฆ์ที่ดียึดธรรมขององค์พระศาสดา ก็จะสอนหรือบอกทางสว่าง ให้ผู้คนเอาชนะความทุกข์ด้วยมรรคาที่ถูกต้องแห่งธรรม
แต่พระสงฆ์เชิงพาณิชย์กับพระปลอมทั้งหลาย ที่ใช้ผ้าเหลืองบังหน้าทำมาหากิน กลับมอมเมาผู้คนด้วยอวิชชาหรือโกหกหลอกลวง เพื่อมุ่งกอบโกยทรัพย์สินเงินทอง ซ้ำเติมทุกข์ให้ผู้ยากไร้เหล่านั้นเพิ่มขึ้นอีก
วันนี้พระสงฆ์บางรูปบางวัด มีข่าวฉาวโฉ่กับสีกา ขายเครื่องรางของขลังกันเป็นล่ำเป็นสัน โกงเงินที่ญาติโยมถวายให้วัด มีการก่อสร้างโครงการใหญ่ๆ ที่โกงกันเป็นเงินมากถึงร้อยๆล้าน ฯลฯ ล่าสุด..ญาติโยมเพิ่งรู้ว่า พระชื่อดังรูปหนึ่งมีเงินส่วนตัวถึงห้าพันล้านบาท ญาติโยมมารู้หลังท่านมรณภาพไปแล้ว นี่ยังไม่รวมพระจริงพระปลอม ที่พ่ายต่อกิเลสตัณหามั่วสีกาในกุฏิจนเป็นข่าวอยู่เนืองๆ
เมื่อมนุษย์แทบทุกรูปทุกนามล้วนมีกิเลส ดังนั้น มนุษย์จึงต้องรู้มรรคาเอาชนะกิเลส อย่างมีประสิทธิภาพสูงยิ่ง นั่นคือ ธรรมแห่งองค์พระศาสดา..
คนชั่วปล่อยกิเลสให้เป็น“นาย”เหนือกายใจ ส่วนคนดีเก็บกดกิเลสให้เป็น“ทาส” โดยใช้ความดี-ปัญญาแห่งธรรม เอาชนะความชั่วได้สำเร็จนั่นเอง
สังคมไทยมีคนดีมากกว่าคนชั่วแน่นอน ลองคิดดูสิว่า..ถ้าชาติไทยมีคนชั่วมากกว่าคนดี กิเลสชั่วร้ายนานาชนิดจะครอบงำแทบทุกอณู คนดีที่กลายเป็นคนส่วนน้อย จะอยู่กันเช่นไร-จะอยู่กันแบบไหน?
ถ้าวันนั้นมีจริงและมาถึง คงต้องใช้ธรรมของ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี” ที่ว่า
“ธรรมชาติเคลื่อนไปสู่ความสลายของธรรมชาติ วัตถุเคลื่อนไปสู่ความสลายของวัตถุ จักรวาลเคลื่อนไปสู่ความสลายของจักรวาล กรรมเคลื่อนไปสู่วิบากของมัน”
ถึงวันนั้นจะโทษใครหรืออะไรไม่ได้ทั้งสิ้น นอกจากสรุปตรงไปตรงมาว่า
คนชั่วก่อเกิด-เติบโต-ครองอำนาจ จนแผ่ขยายไปแทบทั้งสังคมไทยได้ เพราะคนดีที่เคยเป็นคนส่วนใหญ่ ได้ปล่อยปละ-ละเลย-นิ่งเฉย-งอมืองอตีน ฯลฯ จนคนชั่วยึดอำนาจรัฐไว้ได้อย่างถาวร และใช้กลไกรัฐขยายความชั่วไปทุกมิติ “คนเคยดี”ส่วนใหญ่แพ้พ่ายใจตน จนตกเป็นทาสกิเลสที่คนชั่วปรนเปรอให้ จนโงหัวไม่ขึ้น ฯลฯ
สุดท้าย..“คนเคยดี”จึงเป็นเฉกเช่นคนชั่วทั้งหลาย นั่นคือ ละทิ้งธรรมกรรมดีไปทำชั่ว ด้วย“เห็นกงจักรเป็นดอกบัว”แทน
ดังนั้น หากคนดีที่เป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม ปล่อยหรือยอมให้กลุ่มคนชั่ว ใช้เงินหรือใช้ปืนยึดอำนาจรัฐ หรือบริหารชาติบนกิเลสตัณหา แสวงหาเงินทองและอำนาจให้ตนกับพวกพ้องอย่างต่อเนื่อง ย่อมเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง ต่อชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ และประชาชนในทุกมิติแน่นอน
แต่ผมเชื่อว่า สังคมไทยจะไม่อาจล่มสลายไปได้ง่ายๆ ด้วยเพราะธรรมที่ง่ายและลึกซึ้งของ “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ที่แสดงไว้ว่า
“การเป็นชาวพุทธที่แท้จริง หรือการตามรอยองค์สมณโคดมที่แท้จริง คือ การปฏิบัติ”
แน่นอนว่า ต้องมิใช่เพียงแค่ปฏิบัติดีแก่ตัวเองและครอบครัวเท่านั้น แต่ต้องกล้าปฏิบัติดีต่อชาติบ้านเมืองด้วย!
งานนี้ต้องขอจบลงด้วยธรรมของ“พระเจ้าอโศกมหาราช”ที่ว่า..
“ชัยชนะที่แท้จริงนั้นมีอยู่เพียงอย่างเดียว คือ การชนะตนเองและการชนะใจของมนุษย์ด้วยธรรม”
นั่นเป็น“ธรรม”ส่วนหนึ่งในหนังสือ “คำคมเตือนสติ” ของ “ส.อริยวังโส ภิกขุ” ซึ่งตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 2 ในเดือนธันวาคม ปี 2536 จำนวน 5,000 เล่ม ผมได้หนังสือเก่าๆเล่มบางๆแค่ 86 หน้านี้ จากพันธมิตรท่านหนึ่ง ในปี 2557 ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้
เรื่องของ“กิเลส”ที่ไม่เข้าใครออกใคร ทั้งมนุษย์ทั่วไป-ครูบาอาจารย์-พระสงฆ์องคเจ้า-นักการเมือง ฯลฯ ตลอดเส้นทางแห่งการ“เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย” ชัยชนะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ
“เข้าใจ” และ “ปฏิบัติ” ธรรม..ธรรม..ธรรม..แห่งองค์พระศาสดา !!!