“สอดแนมการเมือง”
โดย“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
เรื่องสำคัญสามเรื่องนี้..หากเกิดกับชาติใด ชาตินั้น-วิบัติ!!!
นี่ไม่ใช่เกมไขว่คว้า“มหาสมบัติ” แต่เป็นเรื่อง“มหาวิบัติ”ที่จะเกิดขึ้นได้จริงๆ ถ้า..
1. ชาติใด-มีผู้ปกครองชั่วที่เห็นแก่ตัว ไม่รักชาติ ไม่รักประชาชน โลภมากไม่รู้จักพอ อีกทั้งสันดานโหดเหี้ยมเลือดเย็น ฯลฯ
2. ชาติใด-มีพลเมืองบางส่วนโง่เขลา เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนกับพวกพ้อง ไร้ซึ่งจิตสาธารณะ ด้อยในคุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม-ความซื่อสัตย์สุจริต ฯลฯ
3. ชาติใด-มีพลเมืองส่วนใหญ่ดี รักชาติและส่วนรวม แต่ด้อยความรับผิดชอบ ทำตนเป็น “คนดีวางเฉย” แทบทุกเรื่องราว เฉยแม้มีคนโกงชาติกำลังทำร้ายทำลายชาติบ้านเมืองของตนเอง ฯลฯ
คนสามกลุ่มนี้มาบรรจบพบกันเมื่อไหร่ ทุกชาติ “บรรลัยเสถียร” แน่นอน!
เฮ้อ!..ช่างบรมซวยเสียนี่กระไร ที่ชาติไทยมีคนสามกลุ่มนี้มาพบกันนานแล้ว แต่ “แจ็คพ็อต” มาแตกเอาเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้เอง นั่นคือ
1. ชาติไทย-มีผู้นำทุนสามานย์ “เหลี่ยม” กับพวก ที่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง-ยึดอำนาจรัฐ-ใช้กลไกรัฐโกงชาติ เครือข่ายเหลี่ยมได้สร้างวงจรอุบาทว์ทางการเมืองชั่วๆได้มั่นคงพอสมควร
2. ชาติไทย-มีพลเมืองจำนวนไม่น้อย ที่โง่เขลาไม่รู้ทันเล่ห์อันชั่วร้าย และการโกหกหลอกลวงของเหลี่ยมกับพวก อีกทั้งเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน ในโครงการประชานิยม และเงินที่นักการเมืองชั่วซื้อเสียงเลือกตั้ง จึงหลงไปสนับสนุนพรรคการเมือง ของกลุ่มทุนสามานย์เหลี่ยมกับเครือข่าย
3. ชาติไทย-มีคนส่วนใหญ่ เป็น “พลังเงียบกริบ” หรือ“ไทยเฉย” ดังนั้นไทยเฉย-จึงเฉยจนเครือข่ายของเหลี่ยม โกงเงินชาติได้หลายแสนล้านบาท ไทยเฉย-จึงเฉยจนเหลี่ยมอ้างนโยบายปราบยาเสพติด และความมั่นคงในภาคใต้ ตั้งศาลเตี้ยไล่ล่าฆ่าคนไทย และชาวไทยมุสลิมไปหลายพันคน ไทยเฉย-จึงเฉยกับการที่เหลี่ยมทำชั่วนานัปการ ต่อชาติกับประชาชนมานานกว่าสิบปี ฯลฯ
อืม..ถ้าชาติไทยมีคนเพียงแค่สามกลุ่มนี้เท่านั้น ชาติไทยคงวิบัติไปนานแล้วล่ะ
แต่โชคดี-ที่ชาติไทยมีประชาชนจำนวนมหาศาล เป็นผู้กล้าหาญที่ไม่เกรงกลัวต่อกลุ่มคนชั่ว ที่ใช้อำนาจรัฐอย่างอธรรม มุ่งแต่โกงชาติและโค่นล้มพระมหากษัตริย์ จนคนไทยผู้มีจิตใจเสียสละเหล่านั้น ได้ออกมาต่อสู้ขับไล่รัฐบาลชั่วอย่างต่อเนื่อง ทำให้รัฐบาลโกงชาติเหลี่ยม-จมูกชมพู่-ชายม่านรูด-พริตตี้ปู-ล้มครืนลง
และทุกครั้งที่ปวงชนชาวไทย ออกมาขับไล่รัฐบาลเผด็จการรัฐสภา ที่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งและโกงชาติ ก็มักมี “อัศวินม้าเขียว” ฉวยโอกาสทำรัฐประหารต่อ ล้มรัฐบาลที่โกงชาติเสมอ แต่ทว่า..รัฐบาลเผด็จการทหารทั้งหลาย ก็ไม่เคยปฏิรูปชาติไทยในทุกมิติให้ดีขึ้น แต่กลับใช้อำนาจไปทำการคอร์รัปชั่น โกงชาติบ้านเมืองไม่มากก็น้อยเสียอีก!
ทำให้การเมืองไทยวนเวียนอยู่ในวังวนของคนชั่ว กับตัวเลขซ้ำซากแค่สามตัวเท่านั้น นั่นคือ 1. คนชั่ว-ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง 2. คนชั่ว-ยึดรัฐสภาและตั้งรัฐบาลโกงชาติ 3. รัฐบาล “คนชั่ว” โกงชาติจนฉาวโฉ่ ก็ถูก“อัศวินม้าเขียว”รัฐประหารโค่นล้มลง ก่อนที่การเมืองจะวนกลับมาที่เลข“หนึ่ง”อีกครา..
เผด็จการรัฐสภากับเผด็จการทหาร ล้วนทำให้เกิด “วงจรอุบาทว์ทางการเมือง” ที่ซ้ำซากมานานกว่า 80 ปีแล้ว!
ชาติไทย-มีเลือกตั้งใช้เงินซื้อเสียงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มีรัฐสภาเผด็จการมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งขี้โกง ที่ใช้เงินซื้อเสียงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มีรัฐบาลเผด็จการทหารมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มีการฉีกรัฐธรรมนูญมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ฯลฯ
แต่..ไม่มีใครหน้าไหน-หยุดยั้งหรือแก้ปัญหา การใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งได้เลย
แต่..ไม่มีใครหน้าไหน-หยุดยั้งหรือแก้ปัญหา รัฐบาลชั่วคอร์รัปชั่นโกงชาติได้เลย
แต่..ไม่มีใครหน้าไหน-หยุดยั้งหรือแก้ปัญหา คนชั่วขึ้นครองชาติบ้านเมืองได้เลย
ไม่มีใครหน้าไหน-จริงใจ-จริงจัง-มีความสามารถ กับการทำให้คนดีได้ขึ้นปกครองชาติอย่างถาวร!
ไม่มีใครหน้าไหน-ทำให้การเมืองไทย “ไม่คุ้ม” ต่อการลงทุน และกลัวจนไม่กล้าข้องแวะกับการเมือง หรือทำให้การเมืองเป็นพื้นที่เฉพาะเจาะจง สำหรับคนดีเข้ามาทำงาน เพื่อชาติและประชาชนเท่านั้น นั่นคือ
ทำให้-การใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง หากถูกจับได้และมีหลักฐานการทำผิดชัดแจ้ง ต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง ถึงขั้นยึดทรัพย์ทั้งครอบครัว และติดคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิตไปเลย
ทำให้-รัฐมนตรีที่คอร์รัปชั่นโกงเงินชาติ หากถูกจับได้และมีหลักฐานการทำผิดชัดแจ้ง ต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง ถึงขั้นยึดทรัพย์ทั้งครอบครัว และติดคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิตไปเลย
ทำให้-กระบวนการตรวจสอบคนชั่วทุกภาคส่วน ทั้งการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง และการคอร์รัปชั่นโกงเงินชาติ มีประสิทธิภาพมากเป็นพิเศษ ด้วยภาครัฐ-ภาคประชาชน-องค์กรอิสระต่างๆ โดยรัฐต้องจัดส่วนแบ่งทรัพย์สินที่ยึดมาได้จากคนโกงชาติ ตอบแทนให้อย่างเหมาะสม ทันทีที่คดีความสิ้นสุดลง
ที่สำคัญยิ่ง คือ คนชั่วทั้งที่โกงการเลือกตั้ง และรัฐมนตรีที่โกงชาติ นอกจากต้องถูกลงโทษด้วยกฎหมายรุนแรงแล้ว ยังต้องถูกประณาม ด้วยวิธีการต่างๆ มากมายอีกต่างหาก เพื่อทำให้อับอายและถูกปฏิเสธจากคนในสังคมไทยนั่นเอง
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อทำให้คนชั่ว “ได้ไม่คุ้มเสีย” หรือ คนชั่ว “ไม่คุ้มกับการเสี่ยง” ในการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง เพื่อเข้าไปยึดรัฐสภากับยึดอำนาจรัฐไว้ เพื่อการคอร์รัปชั่นโกงกินชาตินั่นเอง
ต้องทำให้นักธุรกิจการเมืองทั้งหลายที่มีเงินล้นฟ้า กับนักการเมืองชั่ว เกรงกลัวต่อการกระทำความผิด จนไม่กล้าคิด-ไม่กล้าทำผิด หรือไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกต่อไป
ที่ผ่านมา..กฎหมายลงโทษพวกนักธุรกิจการเมืองและนักการเมืองชั่ว ที่คอร์รัปชั่นโกงชาติบ้านเมืองนั้น-เบาโหวง อีกทั้งกระบวนการลงโทษทางกฎหมาย ก็เอาผิดคนชั่วได้ยากมากและล่าช้าอย่างยิ่ง แถมคนชั่วยังมีโอกาสจะยัดสินบน ให้กับกระบวนการยุติธรรม ทั้งต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ปล่อยตนและพวกให้พ้นผิดอีกด้วย
ตราบใดที่การเมืองยังเป็นแหล่งธุรกิจคุ้มค่าต่อการลงทุน มีเงินงบประมาณแผ่นดินมากกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปียั่วกิเลสให้เห็น แค่เงินค่าคอมมิชชั่น 30 % จากเงิน 2 ล้านล้านบาท นักธุรกิจการเมืองจะได้เงินมากถึง 6 แสนล้านบาทต่อปีแล้ว หากได้เป็นรัฐบาลจนครบตามวาระ 4 ปี นักธุรกิจการเมืองชั่วก็จะได้สวาปาม เงินค่าคอมมิชชั่นมากถึง 2.4 แสนล้านบาทกันเลยล่ะ
สรุปชัดๆคือ..เมื่อธุรกิจการเมือง มีศักยภาพคืนทุนบวกกำไรงามเช่นนี้ มีเงินรายได้มหาศาลที่ชัดเจน บวกกับกฎหมายการโกงชาติก็ลงโทษกันเบามาก แถมจะดำเนินคดีทางกฎหมายก็ยากมาก บรรดากลุ่มทุนสามานย์และนักการเมืองชั่ว จึงแห่เข้าสู่วงการเมืองมากมายราวดอกเห็ด การเมืองไทยจึงเต็มไปด้วยคนชั่ว ทั้งในสภาและในรัฐบาลไงล่ะ
คนชั่วเหล่านี้-ได้สร้างระบบซื้อเสียงด้วยเงินที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเลือกตั้งเขตเล็ก-ที่ซื้อเสียงง่าย หรือ เลือกตั้งเขตใหญ่-แม้จะซื้อเสียงยากขึ้น แต่ก็ยังคงใช้เงินซื้อเสียงได้แน่นอน..ไม่ช้าก็เร็ว..จริงไหม?
ดังนั้น หากนายกฯ และคณะรัฐมนตรี มาจากการเลือกตั้งโดยตรง โดยสส.ทั้งหลายมีระบบการซื้อเสียงทุกเขตอยู่ในกำมือ การซื้อเสียงจะเป็นเสมือนการ“ซื้อหวยล็อกชุดใหญ่” นั่นคือ จ่ายเงินซื้อ ส.ส.เขต ควบคู่ไปกับการซื้อนายกฯและคณะรัฐมนตรีทั้งคณะไงล่ะ..
ตราบใด-ที่กฎหมายลงโทษการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งยัง-เบาหวิว
ตราบใด-ที่กฎหมายลงโทษการคอร์รัปชั่นรัฐมนตรียัง-เบาหวิว
ตราบใด-ที่การลงทุนในธุรกิจการเมือง ยัง “มีแต่ได้” หรือ “ได้มากกว่าเสีย” เช่นนี้
ก็อย่าหวังลมๆแล้งๆเลยว่า การเมืองไทยในอนาคตจะได้คนดีขึ้นปกครองชาติบ้านเมือง!
“คำถาม” ที่ไม่มี “คำตอบ” คือ ทำไม.. ผู้มีอำนาจในชาติไทย จึงไม่ยอมแก้ปัญหาชาติที่ต้นเหตุล่ะ..?
โดย“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
เรื่องสำคัญสามเรื่องนี้..หากเกิดกับชาติใด ชาตินั้น-วิบัติ!!!
นี่ไม่ใช่เกมไขว่คว้า“มหาสมบัติ” แต่เป็นเรื่อง“มหาวิบัติ”ที่จะเกิดขึ้นได้จริงๆ ถ้า..
1. ชาติใด-มีผู้ปกครองชั่วที่เห็นแก่ตัว ไม่รักชาติ ไม่รักประชาชน โลภมากไม่รู้จักพอ อีกทั้งสันดานโหดเหี้ยมเลือดเย็น ฯลฯ
2. ชาติใด-มีพลเมืองบางส่วนโง่เขลา เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนกับพวกพ้อง ไร้ซึ่งจิตสาธารณะ ด้อยในคุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม-ความซื่อสัตย์สุจริต ฯลฯ
3. ชาติใด-มีพลเมืองส่วนใหญ่ดี รักชาติและส่วนรวม แต่ด้อยความรับผิดชอบ ทำตนเป็น “คนดีวางเฉย” แทบทุกเรื่องราว เฉยแม้มีคนโกงชาติกำลังทำร้ายทำลายชาติบ้านเมืองของตนเอง ฯลฯ
คนสามกลุ่มนี้มาบรรจบพบกันเมื่อไหร่ ทุกชาติ “บรรลัยเสถียร” แน่นอน!
เฮ้อ!..ช่างบรมซวยเสียนี่กระไร ที่ชาติไทยมีคนสามกลุ่มนี้มาพบกันนานแล้ว แต่ “แจ็คพ็อต” มาแตกเอาเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้เอง นั่นคือ
1. ชาติไทย-มีผู้นำทุนสามานย์ “เหลี่ยม” กับพวก ที่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง-ยึดอำนาจรัฐ-ใช้กลไกรัฐโกงชาติ เครือข่ายเหลี่ยมได้สร้างวงจรอุบาทว์ทางการเมืองชั่วๆได้มั่นคงพอสมควร
2. ชาติไทย-มีพลเมืองจำนวนไม่น้อย ที่โง่เขลาไม่รู้ทันเล่ห์อันชั่วร้าย และการโกหกหลอกลวงของเหลี่ยมกับพวก อีกทั้งเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน ในโครงการประชานิยม และเงินที่นักการเมืองชั่วซื้อเสียงเลือกตั้ง จึงหลงไปสนับสนุนพรรคการเมือง ของกลุ่มทุนสามานย์เหลี่ยมกับเครือข่าย
3. ชาติไทย-มีคนส่วนใหญ่ เป็น “พลังเงียบกริบ” หรือ“ไทยเฉย” ดังนั้นไทยเฉย-จึงเฉยจนเครือข่ายของเหลี่ยม โกงเงินชาติได้หลายแสนล้านบาท ไทยเฉย-จึงเฉยจนเหลี่ยมอ้างนโยบายปราบยาเสพติด และความมั่นคงในภาคใต้ ตั้งศาลเตี้ยไล่ล่าฆ่าคนไทย และชาวไทยมุสลิมไปหลายพันคน ไทยเฉย-จึงเฉยกับการที่เหลี่ยมทำชั่วนานัปการ ต่อชาติกับประชาชนมานานกว่าสิบปี ฯลฯ
อืม..ถ้าชาติไทยมีคนเพียงแค่สามกลุ่มนี้เท่านั้น ชาติไทยคงวิบัติไปนานแล้วล่ะ
แต่โชคดี-ที่ชาติไทยมีประชาชนจำนวนมหาศาล เป็นผู้กล้าหาญที่ไม่เกรงกลัวต่อกลุ่มคนชั่ว ที่ใช้อำนาจรัฐอย่างอธรรม มุ่งแต่โกงชาติและโค่นล้มพระมหากษัตริย์ จนคนไทยผู้มีจิตใจเสียสละเหล่านั้น ได้ออกมาต่อสู้ขับไล่รัฐบาลชั่วอย่างต่อเนื่อง ทำให้รัฐบาลโกงชาติเหลี่ยม-จมูกชมพู่-ชายม่านรูด-พริตตี้ปู-ล้มครืนลง
และทุกครั้งที่ปวงชนชาวไทย ออกมาขับไล่รัฐบาลเผด็จการรัฐสภา ที่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งและโกงชาติ ก็มักมี “อัศวินม้าเขียว” ฉวยโอกาสทำรัฐประหารต่อ ล้มรัฐบาลที่โกงชาติเสมอ แต่ทว่า..รัฐบาลเผด็จการทหารทั้งหลาย ก็ไม่เคยปฏิรูปชาติไทยในทุกมิติให้ดีขึ้น แต่กลับใช้อำนาจไปทำการคอร์รัปชั่น โกงชาติบ้านเมืองไม่มากก็น้อยเสียอีก!
ทำให้การเมืองไทยวนเวียนอยู่ในวังวนของคนชั่ว กับตัวเลขซ้ำซากแค่สามตัวเท่านั้น นั่นคือ 1. คนชั่ว-ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง 2. คนชั่ว-ยึดรัฐสภาและตั้งรัฐบาลโกงชาติ 3. รัฐบาล “คนชั่ว” โกงชาติจนฉาวโฉ่ ก็ถูก“อัศวินม้าเขียว”รัฐประหารโค่นล้มลง ก่อนที่การเมืองจะวนกลับมาที่เลข“หนึ่ง”อีกครา..
เผด็จการรัฐสภากับเผด็จการทหาร ล้วนทำให้เกิด “วงจรอุบาทว์ทางการเมือง” ที่ซ้ำซากมานานกว่า 80 ปีแล้ว!
ชาติไทย-มีเลือกตั้งใช้เงินซื้อเสียงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มีรัฐสภาเผด็จการมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งขี้โกง ที่ใช้เงินซื้อเสียงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มีรัฐบาลเผด็จการทหารมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มีการฉีกรัฐธรรมนูญมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ฯลฯ
แต่..ไม่มีใครหน้าไหน-หยุดยั้งหรือแก้ปัญหา การใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งได้เลย
แต่..ไม่มีใครหน้าไหน-หยุดยั้งหรือแก้ปัญหา รัฐบาลชั่วคอร์รัปชั่นโกงชาติได้เลย
แต่..ไม่มีใครหน้าไหน-หยุดยั้งหรือแก้ปัญหา คนชั่วขึ้นครองชาติบ้านเมืองได้เลย
ไม่มีใครหน้าไหน-จริงใจ-จริงจัง-มีความสามารถ กับการทำให้คนดีได้ขึ้นปกครองชาติอย่างถาวร!
ไม่มีใครหน้าไหน-ทำให้การเมืองไทย “ไม่คุ้ม” ต่อการลงทุน และกลัวจนไม่กล้าข้องแวะกับการเมือง หรือทำให้การเมืองเป็นพื้นที่เฉพาะเจาะจง สำหรับคนดีเข้ามาทำงาน เพื่อชาติและประชาชนเท่านั้น นั่นคือ
ทำให้-การใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง หากถูกจับได้และมีหลักฐานการทำผิดชัดแจ้ง ต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง ถึงขั้นยึดทรัพย์ทั้งครอบครัว และติดคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิตไปเลย
ทำให้-รัฐมนตรีที่คอร์รัปชั่นโกงเงินชาติ หากถูกจับได้และมีหลักฐานการทำผิดชัดแจ้ง ต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง ถึงขั้นยึดทรัพย์ทั้งครอบครัว และติดคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิตไปเลย
ทำให้-กระบวนการตรวจสอบคนชั่วทุกภาคส่วน ทั้งการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง และการคอร์รัปชั่นโกงเงินชาติ มีประสิทธิภาพมากเป็นพิเศษ ด้วยภาครัฐ-ภาคประชาชน-องค์กรอิสระต่างๆ โดยรัฐต้องจัดส่วนแบ่งทรัพย์สินที่ยึดมาได้จากคนโกงชาติ ตอบแทนให้อย่างเหมาะสม ทันทีที่คดีความสิ้นสุดลง
ที่สำคัญยิ่ง คือ คนชั่วทั้งที่โกงการเลือกตั้ง และรัฐมนตรีที่โกงชาติ นอกจากต้องถูกลงโทษด้วยกฎหมายรุนแรงแล้ว ยังต้องถูกประณาม ด้วยวิธีการต่างๆ มากมายอีกต่างหาก เพื่อทำให้อับอายและถูกปฏิเสธจากคนในสังคมไทยนั่นเอง
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อทำให้คนชั่ว “ได้ไม่คุ้มเสีย” หรือ คนชั่ว “ไม่คุ้มกับการเสี่ยง” ในการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง เพื่อเข้าไปยึดรัฐสภากับยึดอำนาจรัฐไว้ เพื่อการคอร์รัปชั่นโกงกินชาตินั่นเอง
ต้องทำให้นักธุรกิจการเมืองทั้งหลายที่มีเงินล้นฟ้า กับนักการเมืองชั่ว เกรงกลัวต่อการกระทำความผิด จนไม่กล้าคิด-ไม่กล้าทำผิด หรือไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกต่อไป
ที่ผ่านมา..กฎหมายลงโทษพวกนักธุรกิจการเมืองและนักการเมืองชั่ว ที่คอร์รัปชั่นโกงชาติบ้านเมืองนั้น-เบาโหวง อีกทั้งกระบวนการลงโทษทางกฎหมาย ก็เอาผิดคนชั่วได้ยากมากและล่าช้าอย่างยิ่ง แถมคนชั่วยังมีโอกาสจะยัดสินบน ให้กับกระบวนการยุติธรรม ทั้งต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ปล่อยตนและพวกให้พ้นผิดอีกด้วย
ตราบใดที่การเมืองยังเป็นแหล่งธุรกิจคุ้มค่าต่อการลงทุน มีเงินงบประมาณแผ่นดินมากกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปียั่วกิเลสให้เห็น แค่เงินค่าคอมมิชชั่น 30 % จากเงิน 2 ล้านล้านบาท นักธุรกิจการเมืองจะได้เงินมากถึง 6 แสนล้านบาทต่อปีแล้ว หากได้เป็นรัฐบาลจนครบตามวาระ 4 ปี นักธุรกิจการเมืองชั่วก็จะได้สวาปาม เงินค่าคอมมิชชั่นมากถึง 2.4 แสนล้านบาทกันเลยล่ะ
สรุปชัดๆคือ..เมื่อธุรกิจการเมือง มีศักยภาพคืนทุนบวกกำไรงามเช่นนี้ มีเงินรายได้มหาศาลที่ชัดเจน บวกกับกฎหมายการโกงชาติก็ลงโทษกันเบามาก แถมจะดำเนินคดีทางกฎหมายก็ยากมาก บรรดากลุ่มทุนสามานย์และนักการเมืองชั่ว จึงแห่เข้าสู่วงการเมืองมากมายราวดอกเห็ด การเมืองไทยจึงเต็มไปด้วยคนชั่ว ทั้งในสภาและในรัฐบาลไงล่ะ
คนชั่วเหล่านี้-ได้สร้างระบบซื้อเสียงด้วยเงินที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเลือกตั้งเขตเล็ก-ที่ซื้อเสียงง่าย หรือ เลือกตั้งเขตใหญ่-แม้จะซื้อเสียงยากขึ้น แต่ก็ยังคงใช้เงินซื้อเสียงได้แน่นอน..ไม่ช้าก็เร็ว..จริงไหม?
ดังนั้น หากนายกฯ และคณะรัฐมนตรี มาจากการเลือกตั้งโดยตรง โดยสส.ทั้งหลายมีระบบการซื้อเสียงทุกเขตอยู่ในกำมือ การซื้อเสียงจะเป็นเสมือนการ“ซื้อหวยล็อกชุดใหญ่” นั่นคือ จ่ายเงินซื้อ ส.ส.เขต ควบคู่ไปกับการซื้อนายกฯและคณะรัฐมนตรีทั้งคณะไงล่ะ..
ตราบใด-ที่กฎหมายลงโทษการใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งยัง-เบาหวิว
ตราบใด-ที่กฎหมายลงโทษการคอร์รัปชั่นรัฐมนตรียัง-เบาหวิว
ตราบใด-ที่การลงทุนในธุรกิจการเมือง ยัง “มีแต่ได้” หรือ “ได้มากกว่าเสีย” เช่นนี้
ก็อย่าหวังลมๆแล้งๆเลยว่า การเมืองไทยในอนาคตจะได้คนดีขึ้นปกครองชาติบ้านเมือง!
“คำถาม” ที่ไม่มี “คำตอบ” คือ ทำไม.. ผู้มีอำนาจในชาติไทย จึงไม่ยอมแก้ปัญหาชาติที่ต้นเหตุล่ะ..?