“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“บิ๊กตู่”ยกพลออกมารัฐประหารภายใต้สถานการณ์ ดังนี้
รัฐบาล”พริ้ตตี้ปู”บริหารชาติด้วยสูตร เหลี่ยมคิด-สั่งปูทำแบบสิ้นคิด จนก่อให้เกิดปัญหาอันเลวร้ายต่อชาติ และประชาชคนนไทยอย่างมากมาย เช่น
น้ำเหนือมหาศาลจะหลากลงมา ตามแม่น้ำลำคลองในภาคกลาง ผ่านกรุงเทพฯและจังหวัดภาค กลาง ไปสู่จังหวัดสมุทปราการหรือ”ปากน้ำ” เพื่อไหลลงท้องทะเลเป็นปกติมาแต่โบราณกาล
แต่รัฐบาล”พริ้ตตี้ปู”และนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ได้เปลี่ยนทางเดินของน้ำ มิให้ไหลผ่านในบาง พื้นที่ของจังหวัดภาคกลาง ที่นักการเมืองบางคนได้ขายที่ดิน และรับจ้างปลูกข้าวให้กับชาวตะวันออกกลาง อีกทั้งยังผันเปลี่ยนทางน้ำจำนวนมหาศาล ให้ไหลไปท่วมยังพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะพื้นที่สูงไม่เคย ท่วมอย่าง”ดอนเมือง”อีกด้วย
ทั้งนี้เพื่อกันมิให้น้ำไหลผ่าน ไปยังพื้นที่ต่ำอย่าง”หนองงูเห่า” อันเป็นที่ตั้งสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งๆที่สนามบินแห่งนี้ มีมาตราการป้องกันน้ำท่วมไว้แล้วครบครัน เพราะที่ดินจำนวนมหาศาล แถบ สนามบินสุวรรณภูมิ ล้วนตกอยู่ในกำมือของนักการเมือง และนักธุรกิจพวกพ้องของรัฐบาลในยุคนั้น
ผลงานเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ครั้งนั้น ก่อให้เกิดน้ำท่วมหนักในประเทศไทย ทำลายเศรษฐกิจชาติเสียหายไปกว่า 3 ล้านล้านบาท ทำให้คนไทยจำนวนมหาศาลไร้ที่อยู่อาศัย ต้องพบกับความเดือดร้อนแสนสาหัส แถมตายไปกับเหตุการณ์น้ำท่วมอีกเกือบ 1 พันคน
ผลงานห่วยแตกอีกเรื่อง คือ โครงการประชานิยม”จำนำข้าว” ที่”พี่ชายคิด-น้องสาวสิ้นคิดทำ” เพื่อหาเสียงและโกงเงินชาติ 6-7 แสนล้านบาท โดยเงินมหาศาลนี้ถูกนักการเมือง-พ่อค้า-ข้าราชการกลุ่มหนึ่ง สุมหัวกับรัฐบาลในยุคนั้น โกงกินกันโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย
การทำชั่วในครั้งนั้น ทำให้ชาวนาต้องขาดทุนอย่างย่อยยับ กับการลงทุนด้วยการกู้เงินและใช้หยาดเหงื่อแรงงานอย่างหนัก เพื่อสร้างผลผลิตข้าวเอาไปจำนำไว้กับรัฐ แต่ชาวนานกลับไม่ได้รับเงิน ตามโครงการ”พี่คิด-น้องทำ”แม้แต่น้อย ทำให้ชาวนาอย่างน้อย 20 คน ต้องฆ่าตัวตายหนีหนี้สินล้นพ้นตัว
แต่ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น ผลงานอันชั่วช้าสามานย์เพื่อหาเสียงและโกงนี้ ได้ทำลายเศรษฐกิจที่เป็น”กระดูกสันหลังของชาติ”จนพินาศ เพราะได้ทำให้คุณภาพกับยอดขายข้าวไทย ที่ติดอันดับ 1 ของโลกมาโดยตลอด พ่ายแพ้ต่ออินเดีย-เวียดนาม-เขมรไปเลย
ยุครัฐบาล”พี่คิด-น้องทำ”ให้พรรคพวกโกงนั้น เป็นห้วงการคอร์รัปชั่นเบ่งบานไปทุกหย่อมหญ้า จนเป็นที่รู้กันในหมู่ภาคเอกชนว่า ใครหน้าไหนอยากได้งานของรัฐไปทำ ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะให้นักการเมืองเครือข่ายรัฐบาลและพวก ไม่ต่ำกว่า 30 % บางโครงการจ่ายมากกว่า 50 % หรือการซื้ออุปกรณ์บางชนิดของรัฐ มีการบวกเงินเพิ่มมากกว่า 100 % อีกด้วย ฯลฯ
แถมยุครัฐบาลเหลี่ยม-รัฐบาลเครือข่ายเหลี่ยม-รัฐบาลน้องเหลี่ยม ครองอำนาจรัฐไว้ในกำมือนั้น รัฐบาลยังปล่อยให้เกิดขบวนการ”ล้มเจ้า”ปฏิบัติการกันทั้งลับและเปิดเผยอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
ด้วยความบ้าอำนาจของ”พี่คิด-น้องทำ” ทำให้รัฐบาลเหิมเกริมจนถึงขั้น ใช้อำนาจ”เผด็จการรัฐสภา” ออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อล้างความผิดให้คนชั่วและคนโกงชาติดื้อๆ นับเป็นการทำลายนิติธรรมและนิติรัฐของชาติไทย จนประชาชนคนไทยอดรนทนต่อไปไม่ไหว ต้องออกมาชุมนุมกันจนมืดฟ้ามัวดินหลายล้านคน เพื่อขับไล่รัฐบาล”พริ้ตตี้ปู”อย่างยืดเยื้อยาวนาน
งานนี้..รัฐบาลทุนสามานย์”โกงจนชิน” ยังเผยสันดานเผด็จการบ้าอำนาจเหมือนเดิม ด้วยการให้อันธพาลการเมืองแอบใช้อาวุธสงคราม ลอบเข่นฆ่าประชาชนผู้รักชาติ จนบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
นั่นจึงมิใช่เหตุการณ์หรือเป็นความขัดแย้งธรรมดาๆ ของคนไทยกับคนไทยด้วยกัน ดังใครบางคนคิดและกล่าวอ้าง หากแต่เป็นเรื่องของกลุ่มคนชั่ว ใช้การโกงและเงินซื้อเสียงเลือกตั้ง เข้ามายึดอำนาจรัฐเพื่อโกงกินชาติบ้านเมือง ซึ่งเป็นการเมืองที่ชั่วช้าสามานย์ ซึ่งทั่วโลกประณามและต่อต้านกันอยู่จนทุกวันนี้
ที่แน่ๆ..นั่นมิใช่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างแน่นอน!
ข้อย้ำว่า..มันเป็นเรื่องคนไทยนั้นมีทั้งคนดีและคนชั่ว จึงทำให้ประเทศไทยต้องมีตำรวจไว้จับคนไทยที่เป็นโจร และต้องมีคนไทยเป็นผู้พิพากษา ไว้ตัดสินลงโทษคนไทยที่ทำชั่วทำผิดกฎหมาย หากทำชั่วหนักจนมีโทษร้ายแรง คนไทยชั่วที่ทำผิดอาจถูกประหารชีวิต โดยคนไทยด้วยกันเองตามศาลสั่งอีกด้วย ฯลฯ
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาล”โคตรโกง-โกงทั้งโคตร” จึงเป็นเรื่องการต่อสู้ของคนดีกับคนชั่ว หรือ เป็นการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่วนั่นเอง!
เพราะคนชั่วทางการเมืองนั้น ใช้วิธียึดอำนาจรัฐด้วยเงินซื้อเสียงเลือกตั้ง เพื่อเข้ามาคอร์รัปชั่นโกงกินชาติบ้านเมือง ย่อมมิใช่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่มันคือระบอบคณา-ธนา-โจราธิปไตย ของกลุ่มมหาเศรษฐีทุนสามานย์เหลี่ยม และบรรดาโจรการเมืองที่เป็นขี้ข้า ที่ทำลายชาติและประชาชนโดยตรงนั่นเอง
แต่ชาติไทยในยามนั้น สถานการณ์ตกอยู่ในสภาพ รัฐบาล”พริ้ตตี้ปู”ยุติการชุมนุม ของประชาชนผู้รักชาติไม่ได้ และ”ผู้นำ”ของประชาชนหลายล้านคน ก็ไร้ปัญญาที่จะล้มรัฐบาลทุนสามานย์เช่นกัน
”บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จึงนำกองทัพไทยออกมาทำรัฐประหารด้วยข้ออ้างที่ว่า
เพื่อยุติปัญหา”คนไทย 2 ฝ่ายขัดแย้งกัน” และเน้นให้ทุกฝ่าย”ปรองดอง”กัน โดยก้าวข้ามความขัดแย้งทั้งปวง เพื่อมุ่งไปสู่การ”ปรองดอง” และ เพื่อทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้ ฯลฯ ส่วนเรื่องใครถูกหรือใครผิดนั้น ปล่อยให้กฎหมายดำเนินการไปตามปกติ
จากวันนั้นถึงวันนี้ เวลาได้ผ่านไปแล้วกว่า 9 เดือน ภายใต้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร”คสช.” และ เป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาล”คสช.” ยังคงให้สัมภาษณ์ในเรื่องราวดังกล่าว ผ่านสื่อมวลชนแทบทุกวัน และพูดยาวผ่านทางทีวีพูลทุกวันศุกร์อีกด้วย
แต่เนื้อหากับลีลาการพูดของ”บิ๊กตู่” ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยงงแล้วงงอีก..
เพราะ”บิ๊กตู่”พูดถึงปัญหาชาติไทยแต่ละครั้งนั้น มักพูดปัญหาสารพัดเรื่องเยอะแยะตาแปะไก่ หรือ พูดผสมปนเปกันจนสับสนจับต้นชนปลาย โดยเฉพาะจับหลักจับรองแทบไม่ได้เลย แถมบางเรื่อง”บิ๊กตู่”จะพูดเอง-เออเอง-รู้เอง แต่คนฟังจะฟังจนสุดท้าย..เบลอไปเลย..
แต่”ป๋าเปรม-พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” พูดทีไร-พูดเมื่อไหร่-ชัดเจนเสมอ ทุกคนคงได้อ่านคำพูดเต็มๆของป๋าเปรมครั้งล่าสุดไปแล้ว ส่วนตัวผมสรุปหลักๆสั้นๆ คือ
ชาติไม่ได้เป็นของ”ประยุทธ์” เป็นของคนไทยทุกคน คนไทยทุกคนต้องช่วยกันจัดการกับคนโกงชาติ ต้องใช้กฏหมายลงโทษคนโกงชาติ อย่าง-รวดเร็ว-รุนแรง-เด็ดขาด ช่วยกันทำให้คนโกงชาติหมดไปจากประเทศไทย!
คนที่จงใจแกล้งโง่เท่านั้นที่จะไม่รู้ว่า คนโกงชาติเป็นหนึ่งในภัยร้ายแรงที่สุดของชาติไทย ดังนั้น คนปราบคนโกงชาติและประชาชนที่รักชาติ “ปรองดอง”กับคนโกงชาติไม่ได้แน่นอน! คนดีกับคนชั่ว”ปรองดอง”กันไม่ได้แน่นอน! ความดีกับความชั่ว”ปรองดอง”กันไม่ได้แน่นอน! ถูกกับผิดก็”ปรองดอง”กันไม่ได้เช่นกัน!
ฉะนั้น นักการเมืองชั่วใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง ที่โกงชาติและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ใครแอบไปเจรจาปรองดองด้วย แล้วจะมาบังคับให้คนไทยที่รักชาติ ต้องปรองดองตามไปด้วยนั้น ถ้ามีใครคิด-ใครทำย่อมมิใช่หนทางที่ถูกต้อง ที่สำคัญมิใช่หนทางแห่งธรรม แต่มันเป็นหนทางของการ”ทำ”ชั่วต่างหาก..จริงไหม?
ขอขอบคุณ”ป๋าเปรม”ที่คิด-ที่พูด ได้ตรงกับหนทางธรรม และตรงใจคนไทยครับ