ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ความจริง ปัญหาจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้ารัฐบาล “ใจร่มๆ” และปล่อยให้ “ขบวนล้อการเมือง” ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในงานฟุตบอลประเพณีครั้งที่ 70 ของทั้ง 2 สถาบัน ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่ต้องห้าม ไม่ต้องขอความร่วมมือ เพราะนี่คือการแสดงออกอย่างเปิดเผย มิใช่ซ่อนเร้นหลบลงใต้ดินเหมือนอย่าง “ขบวนการล้มเจ้า”
การห้ามและการควบคุมต่างหากที่จะทำให้เกิด “รอยด่าง” ในการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะจะถูกตีความและถูกมองว่า คับแคบและจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของนิสิตนักศึกษา แถมยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีทางการเมืองอีกต่างหาก
ที่สำคัญคือถึงจะห้ามอย่างไร สุดท้ายรัฐบาลและคสช.ก็หนีไม่พ้นถูกวิพากษ์วิจารณ์
ตรงกันข้าม....ถ้าไม่ห้ามและปล่อยให้มีสิทธิเสรีภาพ รัฐบาลและคสช.ก็จะได้รับเสียงชื่นชมว่าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง
ขบวนล้อการเมือง ล้อรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัย ล้ออภิสิทธิ์ ล้อยิ่งลักษณ์ แล้วทำไมถึงมาถูกห้ามในยุคบิ๊กตู่
นี่ต่างหากคือจุดที่เปราะบาง
จริงอยู่ ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติ อยู่ในช่วงประกาศกฎอัยการศึก แต่ถ้าไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป แน่นอน อาจเจ็บปวดบ้างเมื่อภาพปรากฏสู่สายตาสาธารณชน แต่เชื่อเถอะว่า ไม่นานทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปแบบเป็นธรรมชาติ
กระนั้นก็ดี ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าสุดท้ายแล้วรัฐบาลและ คสช.ทำให้ประชาชนเห็นว่า เข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
ไปที่เรื่องอื่นๆ กันบ้าง เริ่มจาก นายกิตติ และ นายโยธิน ดำเนินชาญวนิชย์ ผู้บริหารดั๊บเบิ้ล เอ เยี่ยมชมการดำเนินงานของมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พร้อมมอบกระดาษดับเบิ้ล เอ และผลิตภัณฑ์เครื่องเขียนเพื่อใช้ในกิจการตลอดปีและมอบอุปกรณ์ไฟฉายเดินป่าสำหรับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน จำนวน 300 ชุด โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เป็นผู้รับมอบ ณ อุทยานแห่งชาติเขาสิบห้าชั้น จังหวัดจันทบุรี เมื่อเร็วๆนี้
ตามต่อด้วย มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกับสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และมูลนิธินริศรานุวัดติวงศ์ จัดการประกวดภาพถ่ายนานาชาติ ครั้งที่ 11 หัวข้อ “ร้อน” เนื่องในงานวันนริศ ประจำปี 2558 โดยในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานภาพถ่ายฝีพระหัตถ์เข้าร่วมแสดงในครั้งนี้ด้วย กำหนดจัดแสดงระหว่างวันที่ 1-10 ม.ย.58 ณ หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ กรุงเทพฯ สอบถาม โทร. 0 2849 7538 หรือ 0 2849 7564
และปิดท้ายกับ บริษัท แอร์สตรีม บาย คาร์แมกซ์ พระราม 9 (ไทยแลนด์) จำกัด ที่เล็งเห็นความสำคัญเรื่องของเยาวชนและการศึกษา โดย ชัชชัย สิทธิเดชชาญชัย ประธานกรรมการบริหาร มอบหมายตัวแทนบริษัทฯ เข้ามอบทุนการศึกษาจำนวน 10,000 บาท ให้แก่ โรงเรียนวัดอุทัยธาราม พระราม9 โดยนางสาวธีรพร ยุนยะสิทธิ์ ผู้อำนวยการสถานศึกษาเข้ารับมอบ ณ กิจกรรมวันเด็กที่ผ่านมา
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ...
ลุงอ้วน
managerweekend@yahoo.com
คอลัมน์// หนังสือน่าอ่าน
แค่ 13
ประเทศไทย เมืองแห่งศิวิไลซ์ มีผู้หญิงขายบริการทางเพศปีหนึ่งไม่ต่ำ กว่า 4 แสนคน อาชีพที่ต้องละทิ้งเกียรติยศเพื่อแลกกับเงินที่พวกเธอจะได้รับจากผู้ที่มาซื้อบริการ โดยเฉพาะชาวต่างชาตินับว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อย ทว่า พวกเธอต้องแลกกับความสูญเสีย ในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ทันทีที่เดินเข้ามายังเส้นทางสายนี้
ย่านพัฒนพงษ์ และเมืองพัทยา เป็นแหล่งสถานเริงรมย์ขนาดใหญ่ มีทั้งอาบอบนวด อะโกโก้ และค้าบริการทางเพศ ซึ่งอาชีพที่เป็นตราบาปนี้ ล้วนน่าอับอาย เป็นอาชีพที่ใครต่อใครมองว่าน่ารังเกียจ ทว่า อีกแง่มุมหนึ่งผู้หญิงที่ขายบริการจำนวนไม่น้อย ที่ถูกความเบาปัญญา ความยากจน และค่านิยมบูชาเงินตราในสังคมของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่หญิงสาวชาวอีสานจำต้องแบกรับชะตากรรม ขายตัวเพื่อเลี้ยงครอบครัว
แค่ 13 หนังสือที่เขียนโดย Julia Manzanares และ Derek Kent เป็นหนังสือที่เขียนจากชีวิตจริงอันสุดสะเทือนใจของผู้หญิงที่ชื่อ ลอน หญิงสาวขายบริการชาวอีสานที่เข้ามาทำงานในไนท์คลับแค่เพียงอายุ 13 ปี และเปิดบริสุทธิ์ให้กับชาวต่างชาติ เพื่อแลกกับเงิน ที่เธอจะส่งให้แก่ครอบครัวที่หวังเพียงหน้าตาทางสังคม ที่เธอมีค่าแค่เพียงธนาคารของครอบครัวเท่านั้น ซึ่งนั่นกลายเป็นบาดแผลในใจที่เธอรู้สึกถึงความอัปยศ ตลอดเวลา
เนื้อหาภายในหนังสือเล่มนี้ยังได้กะเทาะสภาพปัญหาสังคมให้เห็นถึงค่านิยมของคนอีสานที่ผู้หญิงที่ชื่อลอน หญิงสาวขายบริการทางเพศด้วยวัยแค่ 13 ปี เข้าสู่วังวนของ Sex-tourism ระบำเปลื้องผ้าในต่างประเทศ ผ่านชีวิตคู่ที่ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า และถูกพรากจากลูกเพราะมีปัญหาทางจิต
ผู้อ่านจะได้ทำความเข้าใจชีวิตของลอน ที่ต้องเติบโตในครอบครัวที่พ่อแม่ของเธอต้องใช้แรงงานเพื่อแลกกับเงินร้อยสองร้อยมาจุนเจือครอบครัว บวกกับสภาพแวดล้อมที่กดดันนี่เอง ที่ทำให้ลอนกลายเป็นเด็กมีปัญหาในโรงเรียน และถูกไล่ออก ครอบครัวขับไล่ ลอนระเหเร่รอน หนีเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหาเงินชดใช้หนี้ชีวิตของตัวเอง และชดใช้ชะตากรรมที่พ่อคนที่เธอรักที่สุด ต้องมาเสียชีวิตคราวที่ตามหาเธอ
นอกจากนั้นหนังสือเล่มนี้ยังได้รับการแปลมาแล้วกว่า 8 ภาษา ที่สำคัญเป็น Best Seller ในต่างประเทศ และผู้เขียนยังใช้เวลาอยู่กับเจ้าของเรื่อง เก็บข้อมูลอย่างใกล้ชิด จนสามารถถ่ายทอดเรื่องราวสุดสะเทือนใจออกมาได้อย่างถึงแก่น จนทำให้อ่านไปแล้วถึงกับน้ำตาซึม
ความรัก ความอบอุ่น ถูกแทรกซึมในช่องว่างด้วยความโดดเดี่ยว ความละอายใจ และความเกลียดชังของผู้หญิงที่ชื่อลอน ที่บอกกับตัวเองว่าเธอคือกระหรี่
เป็นหนังสือดีที่พลาดไม่ได้เชียวค่ะ
แสงเพ็ง