ป้อมพระอาทิตย์
โดย โสภณ องค์การณ์
นับตั้งแต่รัฐประหาร คสช. ได้ตั้งรัฐบาลบริหารบ้านเมืองมานานกว่า 8 เดือน ทำงานด้วยความเชื่อมั่นว่าถ้าไม่มีเสียงคนคัดค้าน ชุมนุมเดินขบวนเรียกร้อง มีความสงบ จะทำให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ บ้านเมืองราบรื่นเดินหน้าต่อไปในบรรยากาศของความปรองดองสมานฉันท์
ชาวบ้านไม่ว่าอะไร แม้รู้อยู่แก่ใจว่าการปรองดองไม่มีทางเป็นไปได้
ความขัดแย้งที่เป็นมาไม่ใช่เป็นการต่อสู้บนพื้นฐานของความเชื่อ อุดมการณ์ทางการเมือง แต่ฝ่ายหนึ่งเป็นตัวสร้างปัญหาเพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตนและเครือข่าย เพื่ออำนาจในการยึดครองทรัพย์แผ่นดินถึงขั้นขายชาติ
เป็นกลุ่มซึ่งทำทุกอย่าง แม้กระทั่งจ้างวานเครือข่ายต่างชาติให้บ่อนทำลายบ้านเมือง
เป็นความกระสัน ทะเยอทะยานใฝ่หาอำนาจเพื่อยึดครองประเทศให้เป็นเสมือนอาณาจักรของครอบครัว ทำได้แม้กระทั่งสร้างบรรยากาศของความหวาดกลัว ใช้อำนาจนอกกฎหมายฆ่าคน กำจัดคู่แข่ง หรือผู้เปิดโปงพฤติกรรมชั่วร้าย สร้างเครือข่ายด้วยเงินทุนมหาศาลผ่านงบประมาณแผ่นดิน
ฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มประชาชนรวมตัวออกมาชุมนุมขับไล่ ถูกอำนาจเถื่อนปราบปรามบาดเจ็บล้มตาย มีคดีอาญาร้ายแรงสารพัดด้วยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ซึ่งยอมรับใช้นักการเมืองกังฉิน
การต่อสู้จึงไม่มีกฎเกณฑ์ ไร้กติกา เมื่อฝ่ายชั่วร้ายกล้าใช้ความรุนแรง เช่นฆาตกรรมในการกำจัดอุปสรรคทางการเมือง ทำให้เกิดวิกฤตหลายครั้ง รวมทั้งการเข่นฆ่าทหารกลางเมืองในเดือนเมษายน 2553 จนละลาย 3 กองร้อย เป็นความสูญเสียใหญ่หลวงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
มาบัดนี้ทหารเข้ามารับผิดชอบการบริหารบ้านเมือง โดยมีพลเรือนผสม มีกฎอัยการศึกเป็นฐานความมั่นคง กลุ่มการเมืองต่างๆ ต้องหยุดความเคลื่อนไหว ให้รัฐบาลประยุทธ์แสดงฝีมือเต็มที่
ผ่านมากว่า 8 เดือนท่ามกลางการติดขัด อุปสรรคทั้งความมั่นคง ความท้าทายว่าบ้านเมืองสงบ ไร้ฝ่ายค้าน เสียงวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงเหมือนรัฐบาลเลือกตั้งได้เผชิญ ชาวบ้านได้แต่รอดูว่า “เรือแป๊ะ” จะรอดสันดอนไปได้ตลอดถึงเป้าหมายปลายทางหรือไม่ บ้านเมืองจะสงบถาวรหรืออย่างไร
สถานการณ์ปัจจุบันไม่เป็นไปตามแผน แม้รัฐบาลได้อ้างทุกอย่างยังอยู่ในกรอบระยะเวลาของโรดแมป การแต่งรัฐธรรมนูญยังติดขัดด้วยปัญหาตามคำพังเพย “มากหมอ มากความ” เรื่องเยอะ
ที่น่าวิตกคือความเคลื่อนไหวโดยกลุ่มเครือข่ายการเมืองจงรักดีอำนาจเก่าฟ้องให้เห็นว่าไม่ได้เข้าสู่กรอบของการปรองดอง ยังเคลื่อนไหวในมิติต่างๆ ท้าทายอำนาจรัฐและกฎอัยการศึก การแสดงออกทั้งความคิดเห็น การปลุกระดมแฝงเร้นฟ้องให้เห็นความล้มเหลวของการปรองดอง
ที่อาจคาดไม่ถึงคือการเพิ่มแรงกดดันต่อเนื่องโดยสหรัฐฯและเครือข่ายโลกตะวันตก สะกิดจุดอ่อนของรัฐ ย้ำซ้ำซากในประเด็นรัฐประหาร กฎอัยการ ศึก เรียกร้องให้คืนการเมืองประชาธิปไตยโดยการเลือกตั้ง ทำให้สงสัยว่าสหรัฐฯได้เลือกข้างสนับสนุนกลุ่มอำนาจเก่าเพื่อผลประโยชน์ชัดเจน
กลุ่มอำนาจเก่าได้เอื้ออำนวยต่อการครอบครองแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมโดยบริษัทข้ามชาติ เชื่อมโยงกับบางกลุ่มผลประโยชน์แฝงอยู่ในกลุ่มกุมอำนาจรัฐในปัจจุบันทำให้เกิดแรงต้านการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ โดยภาครัฐยังไม่สามารถหาเหตุผลโต้แย้งได้ชัดเจน
เมื่อเผชิญการขัดขาโดยขบวนการกลุ่มอำนาจเก่าประสานกับเครือข่ายต่างประเทศ ทั้งสูญเสียศรัทธา ความน่าเชื่อถือของกลุ่มในประเทศซึ่งต่อต้านการครอบงำผลประโยชน์ทรัพยากรแผ่นดิน ทำให้รัฐบาลอยู่ในสภาพเหมือนถูกโดดเดี่ยว ขาดพลังหนุนของมวลชนเว้นแต่พวกไม่ยุ่งกับใคร
ยิ่งการตอกย้ำหลายครั้งของผู้นำรัฐบาลว่าทุกยังอย่างเป็นไปตามแผน จะมีการเลือกตั้งภายใน 1 ปี จึงนำไปสู่สภาวะ “เกียร์ว่าง” โดยข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งต้องการวางเฉยลอยตัวรอกลุ่มอำนาจใหม่ถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริง ดังนั้นจึงเอาตัวรอดไม่เสี่ยงเลือกข้างตัดอนาคตตัวเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ แผนพัฒนาบริหารบ้านเมืองจึงไม่ราบรื่น ลื่นไหลตามความต้องการ
กลุ่มทหารกุมอำนาจรัฐคุ้นเคยกับการสั่งการแบบทหาร มีระบบระเบียบเคร่งครัด แต่งานสั่งงานข้าราชการพลเรือนหวังผลตามใจไม่ได้เมื่อมีระบบอุปถัมภ์ค้ำจุนเกื้อหนุนพวกเดียวกัน การใส่ “เกียร์ว่าง” จึงเป็นผลให้เกิดความเฉื่อย ข้าราชการมุ่งแต่หาเรื่องประชุมสัมมนา ผลงานจึงไม่เกิดแท้จริง
นี่เป็นเรื่องร้ายแรง ทำให้การบริหารโดยรัฐทหารไร้ผล ถูกมองว่าไร้ฝีมือ ผู้นำจึงโดนกระหนาบโดยแรงอัดจากต่างประเทศ ความเคลื่อนไหวการเมือง ปัญหาปากท้องของชาวบ้านซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไข การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจึงไม่เป็นไปตามที่หวัง ถ้ายังอยู่ในสภาพเช่นนี้กลุ่มทหารในรัฐบาลย่อมเห็นได้ว่าจะเดินหน้าไปได้ยาก และอยู่รอดยาก
ยิ่งการดำเนินคดีอาญาแม่นางปูโฉมสะคราญดินแดนล้านนาและชายจืดนักซื้อตู้เย็น ทำให้กลุ่มอำนาจเก่าออกอาการเป็นฟืนเป็นไฟ จึงกระตุ้นกลุ่มร่วมในต่างแดนรณรงค์เรียกร้องประชาธิปไตยหนักข้อกว่าเดิม ดังจะเห็นการย้ำพูด ซ้ำโดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จนแทบจะเป็นแผ่นเสียงตกร่องรายวัน
การถูกชิงชัง ปฏิเสธโดยกลุ่มคนชั่วร้ายและกลุ่มคนดี ทำให้รัฐบาลขาดกัลยาณมิตร
จึงเกิดสภาวะเหมือนถูกไฟลนก้น ทำให้รองนายกฯ พลเอกประวิตร เรียกประชุมนายทหารพันกว่านายมียศตั้งแต่พันโทขึ้นไปจนถึงพลเอกช่วงบ่ายวันพุธเพื่อให้ขับเคลื่อนการบริหารงานให้เห็นผลโดยเร็วมิฉะนั้นจะเกิดความไม่พอใจกับการไร้ฝีมือของรัฐบาล มีแต่ราคาคุยให้ความหวังลมๆ แล้งๆ
มีรัฐมนตรีจากกระทรวงมหาดไทย พาณิชย์ เกษตร แรงงาน ทรัพยากร การประชุมเริ่มบ่ายโมงจนถึง 5 โมงกว่า มีการสั่งงานให้ทำแผนการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เสร็จภายในวันที่ 20 และปฏิบัติการให้เห็นผลภายในอีก 2 สัปดาห์ แก้ปัญหาเงินค้างคาท่อเยอะ งานไม่เดินหน้า
งบลงทุน 33 เปอร์เซ็นต์ เพิ่งเบิกจ่ายไปได้เพียง 13 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าต่ำ กว่าเป้ามาก
นี่เป็นการขับเคลื่อนโดยทหาร และต้องดูว่าฝ่ายข้าราชการจะร่วมมือจริงจังหรือไม่ ต้องไม่ลืมลูกไม้กลเม็ดลีลาเกียร์ว่างต่างๆ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือของประชาชน
การประชุมยังมีเลขาธิการนายกฯ มาบอกถึงการเร่งโดยนายกฯ ว่าต้องให้เห็นผล งานภาคโยธาต่างๆ เช่นการขุดลอกห้วยหนองคลองบึงลำน้ำ ก่อสร้าง ซ่อมบำรุงถนนหนทางจะให้ทหารหน่วยพัฒนา ทหารช่างซึ่งมีอุปกรณ์ต่างๆ กำลังพล พร้อมทำงานแทนผู้รับเหมาเพื่อให้ได้ผลเร็ว
นอกจากการใช้งานหน่วยทหารเพื่อหวังผลเร็ว ยังตัดช่องทางการทุจริต แต่การเบิกจ่ายยังเป็นไปตามระบบ เพียงแต่ผู้รับงานไม่ใช่ผู้รับเหมาเอกชนเท่านั้น ผลงานคือตัวตัดสินสุดท้าย
เป็นสภาวะไฟลนก้นรัฐบาลทหาร ทำให้ต้องดิ้นรนแบบเลือดเข้าตา จะเป็นก๊อกสุดท้ายหรือไม่ อีกไม่กี่เดือนคงรู้ผล