xs
xsm
sm
md
lg

“พ่อ-แม่ศรีรัศมิ์”พบ ตร.ครวญอย่าทับถม ตั้งนำจับ ’บรรพต’หมิ่นสถาบัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บิดา-มารดา “ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์” เข้าพบตำรวจกองปราบ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยืนยันไม่รู้จักสาวราชบุรี วอนอย่ารังแกกันเลย ทุกวันนี้ไม่มีน้ำตาจะร้องแล้ว ยันยังรักและเทิดทูนสถาบันฯ ตร.เร่งสอบเพิ่มอีก 3 ปากก่อนสรุปคดี อีกด้าน ปอท.ขออนุมัติหมายจับผู้ที่ใช้นามแฝง “บรรพต” เผยชื่อ “หัสดิน อุไรไพรวัน” ตัวการใหญ่เครือข่ายหมิ่นสถาบันฯ เคยร่วมชุมนุม นปช. ระบุยังมุดหัวอยู่ใน กทม. ตั้งรางวัลนำจับ 2 แสน ก่อนหน้านี้รวบภรรยา พร้อมค้นบ้านย่านสุขุมวิทพบหลักฐานอื้อ

วานนี้ (9 ก.พ.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายอภิรุจ สุวะดี อายุ 72 ปี และนางวันทนีย์ สุวะดี อายุ 66 ปี บิดาและมารดาของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ภายหลังถูก น.ส.ศวิตา หรือนก มณีจันทร์ อายุ 31 ปี ชาว จ.ราชบุรี แจ้งความดำเนินคดีในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง และใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย และใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานแจ้งความเพื่อกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในขณะเดินทางมา นายอภิรุจ และนางวันทนีย์ มีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย ส่วนญาติที่เดินทางมาให้กำลังใจก็มีอาการเศร้าซึม ร่ำไห้ ก่อนจะโผเข้าสวมกอดนายอภิรุจ ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงกันตัว โดยให้นายอภิรุจ และนางวันทนีย์ เข้าพบพนักงานสอบสวนทันที ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดเตรียมห้องประชุมชิวปรีชาเพื่อใช้เป็นสถานที่จำลองเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุขึ้นเพื่อประกอบขั้นตอนการมอบตัวครั้งนี้ด้วย โดยให้ตำรวจสังกัด บก.ป.เป็นตัวแสดงแทน และมีการถ่ายภาพนิ่งและบันทึกวีดีโอไว้ในทุกขั้นตอน ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะเริ่มสอบปากคำ นายอภิรุจ และนางวันทนีย์ โดยแยกกันสอบที่ห้องพนักงานสอบสวน ก่อนจะมีการพิมพ์ลายนิ้วมือทำประวัติและลงบันทึกประจำวันไว้

ยันไม่เคยเห็นหน้าคนแจ้งจับ

ก่อนเข้ารับการสอบปากคำ นางวันทนีย์ กล่าวว่า ไม่เคยรู้จักหรือเคยเห็นหน้า น.ส.ศวิตา และครอบครัว รวมทั้งไม่ทราบเรื่องว่าเขาได้ถูกแจ้งความดำเนินคดี จนต้องถูกจำคุกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งส่วนตัวแล้วจะอาศัยอยู่ใน กทม.นานๆครั้งจึงจะเดินทางไปอยู่ที่ จ.ราชบุรี โดยจะไปๆมาๆ และเมื่อมาเห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เรื่องที่ถูก น.ส.ศวิตาแจ้งความดำเนินคดีตนและสามี ก็รู้สึกตกใจ เราไม่รู้เรื่องจริงๆ ยืนยันได้ว่าไม่เคยกลั่นแกล้งให้เขาต้องติดคุก อยากขอให้เอาเรื่องจริงมาคุยกันดีกว่า อย่าทำเรื่องแบบนี้เลย ปัจจุบันตนกับสามีก็อยู่ที่ กทม.ตลอด มีแต่ช่วงที่ไปอยู่ก็ตั้งแต่ลูกเราย้ายไปประมาณเดือน ธ.ค.ปีที่ผ่านมา

“ดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร เพราะคิดว่าคนเราทำอะไรก็คงต้องรู้อยู่แก่ใจ เพราะฉันไม่เคยรู้จักกับเขา และไม่รู้จักว่าใครเป็นใครในครอบครัวเขา ขอความเป็นธรรมให้กับเราบ้าง เราไม่รู้เรื่องแต่พอมาเห็นข่าวก็ต้องตกใจว่าทำไมต้องมีเรื่องแบบนี้กับเรา ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องชู้สาว หรือเรื่องอะไรแบบนี้ แม้ว่าจะมีใครเคยมาขอพบเราที่บ้าน แต่จริงๆแล้วเราก็ไม่คบหากับใคร ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เราอยู่อย่างสมถะ เราไม่เคยให้ใครที่มาเข้าพบต้องหมอบต้องคลาน ใครมาก็ทักทายกันธรรมดา จะมานั่งสูงนั่งต่ำนั้นไม่มี เสมอกันหมด เราให้เกียรติกับทุกคน” นางวันทนีย์กล่าว

ยันยังรักและเทิดทูนถึงทุกวันนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้มีใครเคยมาขอความช่วยเหลือบ้างหรือไม่ นางวันทนีย์ กล่าวว่า ไม่เคยช่วยใคร เราช่วยใครไม่ได้ ทุกวันนี้ก็ไม่มีน้ำยาจะไปทำอะไรได้ เพราะกลัว เมื่อลูกอยู่อย่างนั้นแล้ว ที่ผ่านมาก็ไม่เคยช่วยเหลือใครเลย เราไม่ยุ่งกับใคร และไม่ชอบไปยุ่งกับชาวบ้านอยู่แล้ว เพราะเวลาไปยุ่งกับใคร ก็มักจะมีปัญหา เกิดมายังไม่เคยขึ้นโรงขึ้นศาล อายุก็ปาเข้าไป 66 แล้ว ก็เพิ่งมีครั้งนี้ ยังงงๆอยู่ที่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาแจ้งความดำเนินคดีเรา ก็ตกใจเหมือนกัน จะให้สาบานที่ไหนวัดไหนก็ได้ ส่วนตำรวจยศ ด.ต.ที่มีศักดิ์เป็นลุงของ น.ส.ศวิตานั้น ก็ไม่เคยรู้จัก

“คิดว่าคงไม่มีอะไรจะเสียในชีวิตนี้ เพราะเราเสียทุกอย่างไปหมดแล้ว อย่าทับถมเรามากนักเลย จะเอาอะไรกับเราอีก เราไม่มีน้ำตาจะร้องแล้วทุกวันนี้ อยากให้สงสาร เมตตาเราบ้าง เราไม่เคยที่จะดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เรารักทุกพระองค์ แม้จะยังไง เราก็ยังรักและเทิดทูนถึงทุกวันนี้” นางวันทนีย์ กล่าว
ทั้งนี้ภายหลังการสอบปากคำเป็นเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง นางวันทนีย์ และนายอภิรุจ ได้ออกจากห้องสอบสวน โดยไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ก่อนที่จะขี้นรถตู้เดินทางออกจากกองบังคับการปราบปรามไป

ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

โดย พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รรท.ผบช.ก.) กล่าวว่า ในระหว่างการเข้ามาพบพนักงานสอบสวน ได้ขอให้มีการจำลองเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุที่บ้านพัก เพื่อประกอบการพิจารณาและเข้าสู่ขั้นตอนการดำเนินการต่อไป

ด้าน พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจปราบปราม (รรท.ผบก.ป.) กล่าวว่า การสอบปากคำเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งระหว่างการสอบปากคำทางเจ้าหน้าที่ได้มีการเชิญทนายมาร่วมฟัง รวมทั้งมีการบันทึกขั้นตอนการสอบปากคำทุกขั้นตอน ทั้งนี้เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองอยู่ในวัยชราทางเจ้าหน้าที่ได้มีการเตรียมแพทย์ และรถพยาบาลไว้ด้วย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้พิมพ์ลายนิ้วมือ ถ่ายภาพทำประวัติตามขั้นตอนปกติ จากการสอบปากคำทั้งสองให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาว่า เหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากการสอบปากคำเสร็จผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองสามารถเดินทางกลับตามภูมิลำเนาได้ตามปกติ เพราะทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการออกหมายเรียก ซึ่งเป็นไปตามตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความตามอาญา มาตรา 134

ตร.คาดไม่เกิน 30 วันได้ข้อสรุป

พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวอีกว่า จากนี้จะทำการสอบปากคำเพิ่มอีก 3 ปาก โดยในวันที่ 10 ก.พ.นี้ จะมีการเรียกตำรวจยศ ด.ต.ซึ่งเป็นลุงของ น.ส.ศวิตา ตามที่ปรากฏเป็นข่าวมาทำการสอบปากคำ และหลังจากนี้จะทำการเรียกสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการสอบปากคำนายตำรวจทั้งสองแล้ว โดยทั้งสองให้การเป็นประโยชน์ ระบุว่าเคยเห็นหน้า แต่บางคนไม่รู้จักเลย อย่างไรก็ดีจะทำการรวบรวมวัตถุพยานอื่นๆ จำพวกเอกสาร เอกสาร และภาพถ่ายต่างๆ ในวันดังกล่าว เพื่อนำมาประกอบการสอบปากคำ และจะทำการเร่งสรุปสำนวนให้เสร็จโดยเร็วคาดว่าจะใช้เวลา 30 วัน และจะยังไม่มีการเรียกผู้ถูกกล่าวหามาทำการสอบปากคำเพิ่ม

ทางด้าน นายพัสกร เพชรในหิน ผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า วันนี้ พ.ต.อ.ดร.ณรัตช์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้มอบหมายให้ตนประสานงานและรับเรื่องราวร้องทุกข์กรณีของผู้เสียหายรายนี้ ซึ่งมี 2 ส่วนด้วยกันที่จะให้การช่วยเหลือ ส่วนแรกคือการช่วยเหลือเยียวยาจำเลยในคดีอาญา ซึ่งกรณีถ้าท้ายที่สุดแล้วคดีถึงที่สุดแล้วพบว่าผู้เสียหายไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด หรือถูกกล่าวหาแจ้งความเท็จก็สามารถเข้ารับเงินเยียวยาได้ และอีกส่วนคือการขอคุ้มครองความปลอดภัยในฐานะพยานในคดีอาญา

ล่าหัวโจกแก๊ง “บรรพต”

วันเดียวกัน เมื่อเวลา 13.30 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) ร่วมกันแถลงความคืบหน้าการสืบสวนขยายผลจับกุมเครือข่าย “บรรพต” ขบวนการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงรายสำคัญ โดยระบุว่า ล่าสุดศาลทหารกรุงเทพได้อนุมัติหมายจับผู้ที่ใช้นามแฝง “บรรพต” คือ นายหัสดิน อุไรไพรวัน อายุ 64 ปี อยู่บ้านเลขที่ 167 ถ.วิสุทธิ์กษัตริย์ แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กทม. ในข้อหาหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

พล.ต.ต.ศิริพงษ์เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา ปอท.ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และทหาร เข้าตรวจค้นบ้านพักนายหัสดินภายในซอยสุขุมวิท 101 ตรวจพบอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตสื่อ อาทิ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก อุปกรณ์บันทึกเสียง เอกสารร่างเพื่อใช้ในการบันทึกเสียง เอกสารทางการเงิน จากการตรวจสอบมีเงินหมุนเวียนในบัญชีธนาคารแต่ละเดือนเป็นหลักแสนบาท คาดว่ามาจากรายได้การจำหน่ายสินค้าให้กลุ่มผู้สนับสนุน โดยหลังจากนี้จะมีการส่งข้อมูลเหล่านี้ให้ทาง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วย ขณะเดียวกัน ได้มีการตรวจยึดแผ่นซีดีละเมิดลิขสิทธิ์จำนวนมาก ที่นายหัสดินใช้ในการทำสำเนาจำหน่ายให้กับกลุ่มเครือข่ายเพื่อเป็นทุนในการเคลื่อนไหว
“นายหัสดินเคยไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. แต่จากการสืบสวนไม่พบว่ากลุ่ม นปช.มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าว เพียงแต่พบว่ามีสมาชิกในเครือข่ายนี้ที่ได้ไปร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่ม นปช.เท่านั้น” พล.ต.ต.ศิริพงษ์ กล่าว

รวบเพิ่มอีก 2 รายร่วมเครือข่าย

พล.ต.ต.ศิริพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับนายหัสดินไม่ได้มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง แต่อาศัยเป็นผู้ที่ติดตามข่าวสารทางอินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา จึงนำข้อมูลต่างๆ มาเรียบเรียงและแต่งเรื่องเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองเพื่อให้มีเนื้อหาดึงดูดความสนใจ แล้วชี้นำปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังต่อสถาบันฯ สำหรับวิธีการทำคลิปก็ไม่มีขั้นตอนซับซ้อน ไม่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญมากนัก เพียงแต่ใช้โปแกรมแปลงเสียงก่อนที่จะมีการอัปโหลดไฟล์ลงเว็บไซต์รับฝากไฟล์ต่างๆ โดยมีการอัปโหลดไฟล์ในประเทศ ขณะที่ผู้ที่ติดตามหรือผู้ที่จะนำไฟล์ไปแชร์ต่อก็จะเข้าไปดาวน์โหลดคลิปเสียงดังกล่าวก่อนนำไปแชร์ต่อ

พล.ต.ต.ศิริพงษ์กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านั้นได้การมีจับกุมสมาชิกระดับปฏิบัติการเพิ่มอีก 2 ราย คือ น.ส.สายฝน อินทสร อายุ 48 ปี ภรรยานายหัสดิน ได้ที่บ้านพักย่านพระโขนง และสามารถจับกุม นายนที ผสมทรัพย์ อายุ 54 ปี ได้ขณะมาทำธุระย่านฝั่งธนบุรี โดย น.ส.สายฝนเป็นผู้เปิดบัญชีธนาคารเพื่อให้ผู้อื่นโอนเงินมาช่วยเหลือการกระทำผิด เป็นการสนับสนุนให้การช่วยเหลือผู้กระทำผิดในการโพสต์คลิปเสียงชื่อ “บรรพต” ทางเฟซบุ๊ก ที่มีเนื้อหาหมิ่นสถาบันฯ นอกจากนี้ยังได้มีการอัปโหลดคลิปเสียงและโพสต์ต่อกันไปอีกหลายทอดในลักษณะเครือข่ายกระจายกันออกไปทางสื่อสังคมออนไลน์ ถือเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ส่วนนายนทีเป็นผู้ส่งสินค้า และซีดีคลิปเสียงบรรพต โดยได้รับค่าจ้าง ถือเป็นการสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำผิด เบื้องต้นจึงแจ้งข้อหาฐานสนับสนุนผู้กระทำผิดฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ขณะที่เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน บก.ปอท.ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนไปยื่นคำร้องเพื่อขออำนาจศาลฝากขังต่อศาลทหารแล้ว

ตั้งรางวัล 2 แสนคนแจ้งเบาะแส

สำหรับการติดตามตัวนายหัสดินนั้น พล.ต.ต.ศิริพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทาง ปอท.ได้มีการส่งประกาศสืบจับนายหัสดินไปยังสถานีตำรวจ และด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ โดยจากข้อมูลล่าสุดทราบว่านายหัสดินยังอยู่ในประเทศและยังหลบหนีอยู่ใน กทม. ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างสืบสวนติดตามจับกุมตัว โดย สตช.ได้ตั้งรางวัลนำจับแก่ผู้ที่สามารถแจ้งเบาะแสแล้วนำไปสู่การจับกุมตัวได้เป็นเงินจำนวน 2 แสนบาท ทั้งนี้ อยากฝากเตือนไปยังประชาชนว่า นายหัสดินเป็นบุคคลที่เป็นภัยอันตรายอย่างยิ่ง อย่าให้การช่วยเหลือ หรือสนับสนุนเครือข่ายดังกล่าว ทั้งการบริจาคเงินซื้อสินค้า หรือโพสต์ข้อความคิดเห็นสนับสนุน หรือนำเอาข้อความ รูปภาพ คลิปเสียงไปเผยแพร่ต่อซึ่งจะถือว่ามีความผิดในฐานะผู้ร่วมเครือข่ายบรรพตด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากแนวทางการสืบสวนมีผู้ที่บงการที่อยู่เหนือกว่านายหัสดินหรือไม่ พล.ต.ต.ศิริพงษ์กล่าวว่า จากสมมติฐานของตำรวจเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น โดยนายหัสดินเป็นเพียงผู้ผลิตสื่อเพื่อเผยแพร่ออกไป น่าจะมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังหรือระดับผู้บงการที่สูงกว่านี้ แต่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการสืบสวน อาจเป็นลักษณะของการสนับสนุนทางการเงินซึ่งยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากได้ตัวนายหัสดิน มาประเด็นนี้ก็จะมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกันตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับสมาชิกของเครือข่ายนี้เพิ่มเติมอีกในเร็วๆนี้

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับนายหัสดินผู้ที่ใช้ชื่อว่า “บรรพต” โพสต์ข้อมูลที่มีเนื้อหาหมิ่นสถาบันฯ เคยเป็นพนักงานโรงแรม และต่อมาได้เปิดบริษัท แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนต้องปิดกิจการไป ปัจจุบันไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร มีการระมัดระวังตัวเองตลอดเวลา เพราะรู้ว่าถูกหมายหัวจากเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากนี้มีข้อมูลว่านายหัสดินเคยไปเรียนภาษาที่ประเทศอังกฤษจึงมีความรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี

หาต้นตอแถลงการณ์ปลอมคืบหน้า

อีกด้าน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีทหารควบคุมตัว นายกฤษณ์ บุดดีจีน ผู้ช่วยประธาน นปช. จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นผู้เผยแพร่แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 13 ปลอมว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวคนกระทำความผิดได้แล้ว และทราบว่า ยังอยู่ในขั้นตอนการขยายผล ตนคิดว่าคงมีข่าวดีต่อไป และเชื่อว่าคนไทยทุกคนจะให้กำลังใจเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการในเรื่องนี้ เพราะคนไทยส่วนใหญ่ที่รักและเทิดทูนสถาบันฯ อีกทั้งไม่ต้องการให้ใครมาทำลายสถาบันฯ ซึ่งเรื่องนี้มีความคืบหน้าไปมาก ส่วนคนที่ทำผิดตาม มาตรา112 เช่น เครือข่ายบรรพต เรากำลังติดตามอยู่ได้ทราบถึงกลุ่มที่สนับสนุน และผู้ที่ให้ความร่วมมือเผยแพร่คลิปต่างๆ อย่างไรก็ตาม กองทัพบกจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างดีที่สุด เพราะคนไทยรักและเทิดทูนสถาบันฯ เราต้องดูแลให้สถาบันฯ ของเราปลอดภัย ส่วนการปลอมแปลงเอกสารต่างๆ ที่ออกมา น่าจะขยายผลไปสู่คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้มากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น