xs
xsm
sm
md
lg

จับแก๊งหมิ่นสถาบันฯรายใหญ่ล่าหัวโจก’บรรพต’-ขรก.เอี่ยว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตร.-ดีเอสไอร่วมแถลงจับ 6 ผู้ต้องหาเครือข่าย “บรรพต” เผยแพร่แนวคิดล้มเจ้าผ่านโลกออนไลน์ตั้งแต่ปี 54 ชี้เข้าข่ายองค์กรอาชญากรรม พบ ขรก.กรมสรรพากรร่วมแก๊งด้วย เผยตัวการใหญ่หนีออกนอกประเทศ อีกด้านผู้เสียหายร้องกองปราบฯ แจ้งจับ “เอฟ พลอยหิน” หลาน "พงศ์พัฒน์" อดีต ผบช.ก.อ้างเบื้องสูงหลอกวิ่งเต้นคดียาบ้า ตุ๋นเงิน 1.3 ล้านบ. พบประวัติเคยวิ่งเต้นเพื่อเปิดบ่อนย่านเหม่งจ๋าย ส่วน “สุดาทิพย์ ม่วงนวล” โดนคุก 2 ปีครึ่งฐานอ้างเบื้องสูงผูกขาดส่งอาหารเข้าวัง

วานนี้ (2 ก.พ.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) พร้อมด้วย พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ พล.ต.ต.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายดำรงค์ ชาญสิทธิโชค หรือ ลิขิตชีวะ น.ส.ศิวาพร ปัญญา นายเงินคูณ อุดมคุณากร นายไพศิษฐ์ จิรประดับวงศ์ นางอัญชัญ ปรีเลิศ และนายธารา วานิชพงษ์พันธุ์ ผู้ร่วมเครือข่าย และเป็นผู้ดูแลระบบเพจที่ใช้ในการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะหมิ่นสถาบัน

แฉปลุกปั่นล้มเจ้าตั้งแต่ปี 54

พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ตำรวจได้ร่วมกับดีเอสไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการสืบสวนจนทราบว่ากลุ่มดังกล่าวมีการกระทำผิดร่วมกันเป็นเครือข่าย ใช้สื่อสังคมออนไลน์กระทำความผิดกฎหมายเป็นสื่อยุยงปลุกปั่น ให้เกิดความวุ่นวาย บ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ผลิตสื่อในรูปแบบซีดี คลิปเสียง และบทความออกมาเผยแพร่ตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อเป็นการหยุดยั้งพฤติการณ์ของเครือข่าย “บรรพต” ซึ่งถือว่ามีการกระทำผิดมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน เป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติและสถาบันหลักของประเทศ เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันทำการสืบสวนจนสามารถจับกุมบุคคลที่อยู่ในเครือข่ายได้

ด้าน พล.ต.ต.ศิริพงษ์ กล่าวเสริมว่า เครือข่าย “บรรพต” มีพฤติการณ์บ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ มาตั้งแต่ปี 2554 จัดตั้งเครือข่ายแบ่งหน้าที่ทำงานโดยใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่แนวคิดไปสู่ประชาชน สำหรับขบวนการนี้มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งระดับชั้นของการทำงานและสั่งการเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับชั้นผู้นำหรือผู้บงการ เป็นผู้ผลิตแนวความคิดในรูปแบบของสื่อซีดี คลิปเสียง และบทความระดับปฏิบัติงาน ซึ่งรับฟังและช่วยกันเผยแพร่แนวความคิดตามเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่นเฟซบุ๊ค ยูทิวส์ และบล็อกเกอร์ และระดับแนวร่วม มีหน้าที่สนับสนุนทางด้านการเงิน รวมทั้งเผยแพร่แนวความคิดไปในวงกว้างส่งผลให้มีบุคคลหลงเชื่อจำนวนหนึ่ง

ล่าตัว “บรรพต” ตัวการใหญ่

พล.ต.ต.ศิริพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับนายดำรงค์ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลระบบ หรือแอดมิน ของเพจที่ใช้เผยแพร่ข้อมูลในลักษณะหมิ่นสถาบันฯ ขณะที่นายไพศิษฐ์ มีพฤติการณ์เป็นบุคคลสำคัญในการเผยแพร่ข้อความ รูปภาพ หรือคลิปต่างๆ ที่มีลักษณะหมิ่นสถาบันฯ ส่วน น.ส.ศิวาพร มีพฤติการณ์เผยแพร่ข้อความและภาพหมิ่นสถาบันฯมานาน ในส่วนของนางอัญชัญเป็นข้าราชการกรมสรรพากร เป็นผู้แลการเงินของเครือข่าย ทั้งที่ได้จากการขายสินค้าต่างๆและรับการสนับสนุนมาจากบุคคลในเครือข่าย และนายธาราเป็นเจ้าของเว็บไซต์ ที่เป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูล มีพฤติการณ์หลอกลวงหาเงินกับบุคลอื่นโดยนำผลิตภัณฑ์ในเครือข่ายจำหน่ายต่ออีกทอด สำหรับนางอัญชัญและนายธารา เจ้าหน้าที่ได้นำตัวไปดำเนินคดีแล้ว เนื่องจากมีพยานหลักฐานสำคัญชัดเจน ผู้ต้องหาจึงจำนนต่อหลักฐาน และให้การรับสารภาพ หลังจากนี้ทางดีเอสไอจะร่วมกับ ป.ป.ง.ทำการตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มเครือข่ายนี้ด้วย

“สำหรับผู้บงการที่ใช้ชื่อว่า “บรรพต” นั้น เบื้องต้นทราบว่า ได้มีการหลบหนีออกไปนอกประเทศ แต่ยังคงมีการผลิตสื่อที่มีลักษณะหมิ่นสถาบันฯ แล้วนำมาให้เครือข่ายเผยแพร่ต่อ ทั้งนี้ ฝากเตือนผู้ที่ให้การสนับสนุนกลุ่มเครือข่ายบรรพต ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงิน หรืออุดหนุนสินค้าต่างๆ ที่นำมาจำหน่ายขอให้งดการกระทำ เพราะมิฉะนั้นอาจมีความผิดร่วมด้วย” พล.ต.ต.ศิริพงษ์ กล่าว กล่าว

ร้องโดนตุ๋นเงิน 1.3 ล้านวิ่งคดี

วันเดียวกัน ที่กองปราบปราม นายบรรเทิง เนมีแสน อายุ 73 ปี เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาการผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นายเอกชัย หรือเอฟ พลอยหิน ในข้อหาฉ้อโกงและหมิ่นเบื้องสูง โดย นายบรรเทิง ให้การว่า เมื่อปี 2551 นายไพฑูรย์ เนมีแสน ลูกชายของตนได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางแพ จ.ราชบุรี จับกุมยาบ้าจำนวน 2 แสนเม็ด ด้วยความเป็นพ่อจึงอยากช่วยเหลือบุตรชาย ต่อมา นายเอกชัย ได้เข้ามาติดต่อและแอบอ้างว่าเป็นหลานของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับสถาบัน และสามารถช่วยเหลือ นายไพฑูรย์ ให้หลุดพ้นจากคดีได้ โดยมีการเรียกเงินจำนวน 1.3 ล้านบาทเป็นค่าดำเนินการ ตนก็ได้ไปกู้ยืมเงินมา แล้วนัดจ่ายเงินกันที่โรงแรมโกลเด้นท์ซิตี้ จ.ราชบุรี กระทั่งผ่านไปนานลูกชายก็ถูกดำเนินคดีไปตามกฎหมาย ตนจึงทวงถามความคืบหน้าทางคดี แต่นายเอกชัยกลับบ่ายเบี่ยงและข่มขู่จะเอาเรื่อง จึงไม่กล้าร้องเรียน

“ที่ไม่ได้แจ้งความในขณะนั้นเพราะเกรงว่าจะได้รับความเดือดร้อน จนต่อมาเห็นว่า ครอบครัวสุวะดี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี โดยมีพฤติกรรมแอบอ้างสถาบันเพื่อหลอกลวงทรัพย์สิน แล้วเห็นว่า นายเอกชัย มีพฤติกรรมคล้ายกัน จึงได้เดินทางเข้ามาร้องทุกข์ในวันนี้” นายบรรเทิง ระบุ

เผยเป็นหลาน “พงศ์พัฒน์”

ด้าน พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวว่า ก่อนหน้าผู้เสียหายไม่กล้าแจ้งความเอาผิด เนื่องจากเกรงกลัวอิทธิพลของนายเอกชัย แต่ต่อมาทราบข่าวว่าครอบครัวตระกูลสุวะดี ถูกตำรวจจับกุมจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความดำเนินคดีในครั้งนี้ โดยทางเจ้าหน้าที่จะรวบรวมพยานหลักฐานก่อนขออนุมัติหมายจับจากศาล ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง, ฉ้อโกง และเรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เป็นการตอบแทนหรือจูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตน ให้กระทำหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 341 และ 143

พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวว่า นายเอกชัย เคยเป็นคนกลางรับเงินวิ่งเต้นเพื่อเปิดบ่อนนัมเบอร์วัน ย่านเหม่งจ๋าย แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเข้าทลายเสียก่อน ทั้งนี้ นายเอกชัย ยังเป็นหลานของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. และเป็นญาติของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ซึ่งมักจะนำชื่อของสองท่านไปหลอกลวงและข่มขู่ผู้เสียหาย และคาดว่ายังมีผู้เสียหายอีกหลายรายที่ถูกหลอกแต่ไม่กล้าเข้าแจ้งความ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามจับกุมนายเอกชัยได้แล้ว และควบคุมตัวมายังกองปราบปราม เพื่อดำเนินคดีต่อไป

“สุดาทิพย์” โดนคุก 2 ปีครึ่ง

อีกด้าน ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสอบคำให้การคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขคดีดำ อ.100/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล อายุ 49 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยตั้งแต่ปี 2545 จำเลยซึ่งเป็นพี่สาวของอดีตหม่อมศรีรัศมิ์ฯ (พระยศในขณะนั้น) ได้อาศัยความเป็นพระญาติของอดีตหม่อมศรีรัศมิ์ฯจัดหาอาหารจำพวกน้ำพริก พร้อมเครื่องเคียงนำส่งกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อพระราชทานเลี้ยงแก่ข้าราชบริพารวังศุโขทัย และจำเลยยังเป็นผู้กำหนดเมนูอาหารในลักษณะผูกขาดเองเสมอ โดยไม่ผ่านการประมูลตามขั้นตอนหลักเกณฑ์ตามปกติ อีกทั้งการใช้ถ้อยคำพูดแอบอ้างของจำเลยยังเป็นการจาบจ้วง แอบอ้างเบื้องสูง หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ล่วงเกิน ใส่ร้าย ใส่ความทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ อันเป็นการหมิ่น ดูหมิ่น ต่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นรัชทายาท

ภายหลังจากที่อัยการส่งฟ้อง ศาลได้นัดสอบคำให้การจำเลยเมื่อวันที่ 15 ม.ค.58 แต่จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ม.ค.58 จำเลยขอกลับคำให้การใหม่ โดยยื่นเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรให้การรับสารภาพโดยดี ศาลจึงเบิกตัวจำเลยเพื่อมาสอบถามความจริงจากตัวจำเลยเอง

โดยวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวนางสุดาทิพย์มาจากทัณฑสถานหญิงกลางเข้ามาที่ห้องเวรชี้ ต่อมาศาลได้สอบถามจำเลยอีกครั้งว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธหรือไม่ ปรากฏว่าจำเลยยืนยันให้การรับสารภาพ ไม่ขอต่อสู้คดี ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดจริง พิพากษาจำคุก 5 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 2 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
กำลังโหลดความคิดเห็น