ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คดีสะท้านสะเทือนยุทธจักรสีกากี กรณีตระกูลสุวะดี แอบอ้างเบื้องสูงมีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา112ในการเรียกรับผลประโยชน์จากส่วยน้ำมัน เถื่อน เปิดบ่อน ข่มขู่ ตบทรัพย์ รวมไปถึงธุรกิจผูกขาดส่งน้ำพริกกองกิจการในวังศุ โขทัย โดยมีตัวละครเอกอย่าง พล.ต.ท.พงศพัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) เป็นตัวการใหญ่ ร่วมมือกับคนในตระกูลสุวะดี(อัครพงศ์ปรีชา) 4 คน คือ 1.นายณัฐพล สุวะดี 2.นายณรงค์ สุวะดี 3.นายสิทธิศักดิ์ สุวะดี 4.นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล (นามสกุลเดิม คือ สุวะดี) ภรรยาของพ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล อดีตผกก.ตม.สมุทรสาคร วันนี้ชะตากรรมของพวกเขาดำเนินมาถึงจุดต่ำสุด โดยศาลพิพากษาให้มีโทษจำคุกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คือคดีของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และคดีของนางสุดาทิพย์ ซึ่งเป็นพี่สาวของท่านผู้หญิงศรีรัตน์ สุวะดี
กล่าวสำหรับคดีพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กับพวก พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา เป็นโจทย์ยื่นฟ้องรวม 3 สำนวนคดีคือ หนึ่ง คดีเปิดบ่อนโคลอนเซ่ ย่านรัชดา และกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 สอง คดีรับส่วยน้ำมันเถื่อน และสาม คดีรับส่วยแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ
คดีเปิดบ่อนโคลอนเซ่และการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นคดีหมายเลขดำ อ.290/2558 คดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา เป็นโจทก์ฟ้องพล.ต.ท.พงศพัฒน์ และพล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อายุ 59 ปี อดีตรอง ผบช.ก. ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 -2 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินีและองค์รัชทายาท, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และจัดให้มีการเล่นการพนัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 112, พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 41, 123/1และพ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478
อัยการระบุพฤติการณ์ความผิดของ พล.ต.ท.พงศพัฒน์และ พ.ต.ต.โกวิทย์ว่า เมื่อระหว่างวันที่ 11 ม.ค. - 30 ก.ค. 2554 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองได้จัดให้มีการเล่นการพนัน กำถั่ว ไพ่แปดเก้า โป๊กเกอร์ บักคารา และอื่นๆ ที่บ่อนพนันโคลอนเซ่ และทั้งสองยังกระทำการดูหมิ่นสถาบันด้วยการประดับเครื่องหมาย ภปร.บนไหล่เสื้อ และติดเหรียญภาพขององค์รัชทายาทไว้ที่ฝากระเป๋าเสื้อด้านซ้ายตลอดเวลาที่สวมเครื่องแบบราชการตำรวจ เพื่อเป็นการสื่อสารให้บุคคลอื่นเข้าใจได้ว่า ทั้งสองได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากสถาบัน
ศาลได้พิพากษาคดีนี้ ตามหมายเลขคดีแดงที่ อ283/2558เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2558 ตัดสินจำคุกจำเลยฐานหมิ่นเบื้องสูง เป็นเวลา 5 ปี และฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 5 ปี ฐานความผิดพ.ร.บ.การพนัน 2 ปี รวมโทษจำคุก 12 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือโทษจำคุก 6 ปี
ส่วนอีกคดี เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2558พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 ได้สั่งฟ้อง พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ พ.ต.ต.โกวิทย์ และ พล.ต.ต. บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีตผู้บังคับการตำรวจน้ำ (ผบก.รน.) อายุ 55 ปี กับพวก เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ชอบ เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112
สำนวนฟ้องสรุปได้ว่า จากกรณีเมื่อระหว่างเดือนก.พ. 2555 - เดือนก.ค. 2557 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันเรียกรับทรัพย์สินเป็นเงินจากผู้ประกอบการลักลอบจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมาย ในบริเวณน่านน้ำไทยเป็นรายเดือนจำนวนหลายราย เพื่อแลกกับการไม่จับกุมผู้ประกอบการลักลอบจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมายหลายครั้ง รวมเป็นเงิน 147.4 ล้านบาท ทำให้เกิดความเสียหายกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและรัฐบาล โดยจำเลยที่ 3 ยังแอบอ้างเบื้องสูงด้วย
ในวันเดียวกันนี้ ศาลยังรับฟ้องคดีที่ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ กับพวกรวม 5 คน เรียกรับส่วยแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจในสังกัด บช.ก. อีก 1 ข้อหาด้วย โดยศาลได้ออกหมายเบิกตัวจำเลยทั้งห้า จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มาสอบคำให้การจำเลยทั้งห้าว่าจะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธ ในวันที่ 30 ม.ค. 2558
นอกจากพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ที่เป็นหนึ่งในแก๊งหมิ่นสถาบัน จะถูกศาลพิพากษาให้จำคุกแล้วนั้น ตัวละครสำคัญอีกคนที่ชะตากรรมนอนคุกเฉกเช่นเดียวกับพล.ต.ท.พงศพัฒน์ นั่นก็คือ นางสุดาทิพย์ พี่สาวของท่านผู้หญิงศรีรัตน์ สุวะดี
คดีนี้มีความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2558 ศาลได้พิเคราะห์ความผิดฐานหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พิพากษาจำคุก 5 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 2 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา
คดีดังกล่าว นางสุดาทิพย์ ตกเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา 112 โดยนางสุดาทิพย์ ได้อาศัยความเป็นญาติท่านผู้หญิงศรีรัตน์ จัดหาอาหารจำพวกน้ำพริก พร้อมเครื่องเคียงนำส่งกองกิจการในพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อพระราชทานเลี้ยงแก่ข้าราชบริพาร วังศุโขทัย อีกทั้งยังเป็นผู้กำหนดเมนูอาหารในลักษณะผูกขาดเองเสมอ โดยเฉพาะในคราวกระทำผิด จะมีวิธีการแอบอ้างเบื้องสูง และใช้ถ้อยคำจาบจ้วงเบื้องสูง หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ล่วงเกินใส่ร้าย ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ
ในเบื้องต้น หลังจากที่ศาลอัยการส่งฟ้อง และนัดสอบคำให้การเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2558นางสุดาทิพย์ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมจะต่อสู้คดี ทว่า ต่อมาในวันที่ 24 ม.ค. 2558 นางสุดาทิพย์ ได้ขอกลับคำให้การใหม่ โดยยื่นเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรให้การรับสารภาพโดยดี
อีกคดีที่เกี่ยวข้องกับตระกูลสุวะดี ล่าสุด เมื่อวันที่ 3ก.พ. 2558ได้ปรากฏตัวละครเพิ่มอีกหนึ่งคน ซึ่งเป็นหลานของพล.ต.ท.พงศพัฒน์ คือนายเอกชัย หรือเอฟ พลอยหิน อายุ 28 ปี ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง เพื่อกระทำการฉ้อโกงทรัพย์ โดยได้แสดงตัวเป็นคนกลางเคลียร์คดียาเสพติดให้นายไพฑูรย์ เนมีแสน ที่ถูกตำรวจ สภ.บางแพ จ.ราชบุรี จับกุมดำเนินคดีค้ายาบ้าจำนวน 2,000,000 เม็ด โดยมีการแอบอ้างเบื้องสูง และเรียกรับเงินจำนวน 1.3 ล้านบาท ก่อนที่จะเชิดหนีไป
คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อเดือนธ.ค. 2551 นายไพฑูรย์ เนมีแสน บุตรชายของนายบรรเทิง ถูกนายเอกชัยหลอกลวงว่า สามารถวิ่งเต้นช่วยเหลือให้ลูกชายให้พ้นจากคดีได้ ทว่าภายหลังเมื่อนายเอกชัย รับเงินไปแล้ว กลับไม่สามารถช่วยนายไพฑูรย์ รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีได้ อีกทั้งผู้เสียหายไม่กล้าเข้าแจ้งความเนื่องจากเกรงกลัวอำนาจ และบารมีของนายเอกชัย แต่เนื่องจากทางครอบครัวของผู้เสียหายทราบข่าวว่าตระกูลสุวะดีถูกจับกุมในหลายคดี จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความ
สำหรับนายเอกชัย เคยเป็นคนกลางรับเงิน วิ่งเต้นเปิดบ่อนนัมเบอร์วัน ย่านเหม่งจ๋าย เขตประชาอุทิศ แขวงห้วยขวาง กทม. และเป็นหลานของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และเป็นญาติท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ซึ่งมักจะนำชื่อบุคคลทั้งสองไปหลอกลวง ข่มขู่ผู้เสียหาย
ทั้งนี้ ชุดสืบสวนกก.5.บก.ป.ได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานก่อนจะขออนุมัติศาลเพื่อออกหมายจับนายเอกชัย ในการติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ตัวละครในตระกูลสุวะดีคนต่อมาคือ นายณัฐพล สุวะดี โดยทางกลุ่มเครือข่ายต่อต้านถ่านหินได้เดินทางมาที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.สมุทรสาคร เพื่อยื่นหนังสือร้องทุกข์กรณีนายณัฐพล ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายนางสุดาทิพย์และท่านผู้หญิงศรีรัตน์ กระทำการข่มขู่ผู้ชุมนุมต่อต้านการขนถ่ายถ่านหินใน จ.สมุทรสาคร พร้อมทั้งข่มขู่ข้าราชการให้อนุญาตดำเนินกิจการถ่านหิน โดยอ้างว่าเป็นธุรกิจของครอบครัว และข่มขู่แกนนำผู้ประท้วงจะพาเข้าไปในบ้านที่อ้างว่าเป็นเขตพระราชทาน ซึ่งนั่นถือว่าเป็นพฤติกรรมที่แสดงเพื่อให้เกิดการเกรงกลัวและหยุดการประท้วง รวมถึงหลอกลวงให้เจ้าของท่าเรือเซ็นจูรี่โอนเงินสดจำนวน 1.4 ล้านบาท
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะยังหักค่าผลประโยชน์จากกำไรที่บริษัทท่าเรือเซ็นจูรี่ได้รับในการขนส่งถ่านหินจำนวน 7 บาทต่อตัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ขนส่งถ่านหินผ่านท่าเรือได้โดยไม่เกิดข้อโต้แย้งจากเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน
ทั้งนี้ นายณัฐพล ซึ่งถูกจับคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครอยู่ขณะนี้ เจอข้อหาเพิ่มจากการร้องทุกข์ดังกล่าวข้างต้นอีกคดีหนึ่ง
และที่กำลังเป็นที่จับตาของสังคมก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา เมื่อน.ส.ศวิตา หรือแสงระวี หรือนก มณีจันทร์ อายุ 31 ปี เจ้าหน้าที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ได้เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อนายอภิรุจ สุวะดี อายุ 72 ปี และนางวันทนีย์ สุวะดี อายุ 66 ปี ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง, ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหายและใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานแจ้งความเพื่อกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา
ที่ต้องจับตาก็เพราะนายอภิรุจคือพ่อของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์และนางวันทนีย์คือแม่ของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไป สุดท้ายคดีนี้จะลงเอยอย่างไร จะมีชะตากรรมเฉกเช่นสุวะดีคนอื่นๆ หรือไม่