ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -มีคำถามเกิดขึ้นตามมามากมายภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัว “นายหัสดิน อุไรไพรวัน” อายุ 64 ปี เจ้าของนามแฝง “บรรพต” ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ได้ที่โรงแรมเอวัน ย่านพระราม 9 ซอยศูนย์วิจัยในวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะควบคุมตัวไปสอบสวนที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
เพราะทำไปทำมาเครือข่ายบรรพตที่สังคมคาดหวังว่าจะนำไปสู่การขยายผลจับกุมตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังกลับจบลงตรงที่การเปิดโอกาสให้นายหัสดินประกาศว่า เขาทำคนเดียว
คำถามที่เกิดขึ้นคือมี “การตัดตอน” ให้คดีจบลงตรงแค่นายบรรพตหรือไม่?
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้....
หลังศาลทหารกรุงเทพได้อนุมัติหมายจับผู้ที่ใช้นามแฝง “บรรพต” หรือ นายหัสดิน อุไรไพรวัน วันที่ 6 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.) ได้ผสานกำลังกันระหว่างเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง และทหาร เข้าตรวจค้นบ้านพักนายหัสดินภายในซอยสุขุมวิท 101 โดยตรวจพบอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตสื่อ อาทิ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก อุปกรณ์บันทึกเสียง เอกสารร่างเพื่อใช้ในการบันทึกเสียง เอกสารทางการเงิน
นอกจากนี้ยังตรวจสอบมีเงินหมุนเวียนในบัญชีธนาคารแต่ละเดือนเป็นหลักแสนบาท ซึ่งคาดว่ามาจากรายได้การจำหน่ายสินค้าให้กลุ่มผู้สนับสนุน ขณะเดียวกันได้มีการตรวจยึดแผ่นซีดีละเมิดลิขสิทธิ์จำนวนมาก ที่นายหัสดินใช้ในการทำสำเนาจำหน่ายให้กับกลุ่มเครือข่ายเพื่อเป็นทุนในการเคลื่อนไหว
“นายหัสดินเคยไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. แต่จากการสืบสวนไม่พบว่ากลุ่ม นปช.มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าว เพียงแต่พบว่ามีสมาชิกในเครือข่ายนี้ที่ได้ไปร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่ม นปช.เท่านั้น
“สำหรับนายหัสดินไม่ได้มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง แต่อาศัยเป็นผู้ที่ติดตามข่าวสารทางอินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา จึงนำข้อมูลต่างๆ มาเรียบเรียงและแต่งเรื่องเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองเพื่อให้มีเนื้อหาดึงดูดความสนใจ แล้วชี้นำปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังต่อสถาบันฯ สำหรับวิธีการทำคลิปก็ไม่มีขั้นตอนซับซ้อน ไม่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญมากนัก เพียงแต่ใช้โปแกรมแปลงเสียงก่อนที่จะมีการอัปโหลดไฟล์ลงเว็บไซต์รับฝากไฟล์ต่างๆ โดยมีการอัปโหลดไฟล์ในประเทศ ขณะที่ผู้ที่ติดตามหรือผู้ที่จะนำไฟล์ไปแชร์ต่อก็จะเข้าไปดาวน์โหลดคลิปเสียงดังกล่าวก่อนนำไปแชร์ต่อ” พล.ต.ต.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.)เปิดเผยข้อมูล
นอกจากนั้น พล.ต.ต.ศิริพงษ์ ยังระบุว่าน่าจะมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังหรือระดับผู้บงการที่สูงกว่านี้ แต่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการสืบสวน อาจเป็นลักษณะของการสนับสนุนทางการเงินซึ่งยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด ขณะเดียวกันตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับสมาชิกของเครือข่ายนี้เพิ่มเติมอีกในเร็วๆ นี้
ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวนายหัสดินได้ในช่วงค่ำ ของวันที่ 9 ก.พ. ก็ทำให้เห็นเครือข่ายของ “พวกล้มเจ้า” ได้ชัดเจนมากขึ้นว่ามีการทำงานเป็นเครือข่ายชัดเจน ซึ่งจากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่า “กลุ่มเครือข่ายบรรพต” เป็นเครือข่ายใหญ่ที่มีการแบ่งการดำเนินการเป็นหลายระดับคือ มีผู้บงการ หรือนายทุนหนุนหลังนายหัสดิน หรือบรรพต ให้เป็นผู้ผลิตแนวคิด/วิทยากร จากนั้นก็กระจายไปสู่กลุ่มปฏิบัติการ กลุ่มแนวร่วม และผู้แสวงหาผลประโยชน์อีกต่อ ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)เชื่อว่านายหัสดินเป็นแหล่งผลิตเนื้อหาและซีดีหมิ่นสถาบันแจกจ่าย และเมื่อสาวไปดูเบื้องหลังของนายหัสดิน ก็พบว่าแต่ละเดือนจะมีเงินสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาทจึงเชื่อว่าทำเป็นขบวนการใหญ่
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่าเครือข่ายบรรพต ประกอบด้วยทีมงาน ดังนี้
ผู้บงการ (นายทุน)
ผู้ผลิตแนวคิด/วิทยากร - คือ นายหัสดิน อุไรไพรวัน
กลุ่มปฏิบัติการ ประกอบด้วย นายดำรง ชาญสิทธิโชค,นางศิวาพร ปัญญา,นายเงินคูณ อุดมคุณากร, นางสาวสายฝน อินทสร,นายไพศิษฐ์ จิรประดับวงศ์, นางอัญชัญ ปรีเลิศ,นายสุรัช สมิตชาติ, นายนที ผสมทรัพย์
กลุ่มแนวร่วม ประกอบด้วย นายชโย อัญชลีพัชระ , นายราชกวี ปรางค์ชัยกุล , นายเฉลียว จันเขียด และนายพงษ์ศักดิ์ ศรีบุญเพ็ง
กลุ่มผู้แสวงหาผลประโยชน์ - คือ นายธารา วานิชพงษ์พันธุ์
เมื่อดูจากเครือข่ายบรรพตแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นขบวนการที่ทำงานกันอย่างจริงจัง มีการแบ่งหน้าที่การทำอย่างชัดเจน ทั้งยังมีเงินหมุนเวียนนับแสนบาท แสดงให้เห็นว่าเครือข่ายนี้น่าจะมีน้ำหล่อเลี้ยงเป็นเงินทุนจาก “ผู้บงการ” ที่อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นนายหัสดิน ไม่น่าจะใช้ตัวกลางที่แท้จริง
ทว่า เมื่อดูท่าทีของนายหัสดินหลังจากถูกตำรวจจับกุมตัวได้ ก็ส่อแว่วว่างานนี้อาจจะมีการ “ตัดตอน” ไม่ให้สาวไปถึงผู้ร้ายตัวจริงเรียบร้อยแล้ว เพราะนายหัสดินออกมาแถลงข่าวพร้อมกับตำรวจ โดยสารภาพว่า “เป็นหัวโจกทำเองคนเดียว” ทั้งยังบอกว่าไม่มีใครสนับสนุน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใดๆ ประหนึ่งว่านายหัสดินได้พูดตามสคริปต์ที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
“ผมเป็นตัวโจกของเรื่องทั้งหมด และทำให้คนอื่นๆ ที่ถูกจับกุมและครอบครัวเดือดร้อนเสียหาย ตอนนี้รู้สึกเบื่อหน่าย อยากเลิก ขอไถ่บาปให้ตัวเอง และไปรับฐานานุกรรมตามที่ตัวเองควรได้รับ ขอบอกถึงการเสพสื่อ ขอให้ทุกท่านเสพอย่างมีตรรกะ เหตุผล ต่อจิ๊กซอว์เอาเอง เสพอย่างระวัง อย่าตกเป็นเครื่องมือคนอื่น และที่อยากบอกเหล่าวิทยากรทั้งหลายที่ทำแบบผม ถ้าคิดว่าจะมอบตัว ขอให้ติดต่อมาทางโฆษกตร. รับรองว่าไม่มีการทารุณกรรมแน่นอน จากนี้ผมต้องไปรับกรรมตามที่ตัวเองทำ ไม่รู้จะได้รับการอภัยโทษเมื่อไร ผมย้ำอีกครั้งผมคือ บรรพต ไม่ใช่อากง (นายอำพล ตั้งนพกุล หรืออากง นักโทษในความผิดกฎหมายอาญามาตรา 112) ใครก็ตาม ทั้งเอ็นจีโอ หรือกลุ่มไหน อย่าเอาโมเดล พาราดามซิพของอากงมาใช้กับผม คนที่จะเข้าเรือนจำไปหาผม เพื่อจะพบผมแล้วแสวงหาผลประโยชน์จากผม ขอให้หยุดเลย ไม่ต้องมาทำแบบนี้”นายหัสดินกล่าว
นอกจากนั้นนายหัสดินยังยืนยันไม่มีทุนจากแหล่งใดสนับสนุน มีรายได้จากการทำเสื้อขาย โดยเสื้อก็ไม่มีการหมิ่นฯ แต่อย่างใด มีคนศรัทธาในตนจำนวนหนึ่ง ทำให้เสื้อขายได้ ไม่ถึงกับรวย แต่พอมีรายได้มาแบ่งปันกัน ทั้งนี้ ในการอัดเสียง แปลงเสียง ใส่ดนตรี ฝากลิงค์ แชร์ในโซเซียลต่างๆ ในชื่อบรรพต ทำด้วยตัวเองคนเดียวทั้งหมด ศึกษาการทำแบบครูพักลักจำ โดยมีคนอื่นพยายามมาลิงค์มาร่วม แต่ตนไม่ยอมรับ
ที่สำคัญคือนายหัสดินยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใดๆทั้งสิ้น แม้จะมีกลุ่มการเมืองหลายฝ่ายพยายามติดต่อดึงไปเป็นแนวร่วมบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เอาด้วย
ฟังถ้อยคำจากนายหัสดินแล้วก็น่าสงสัยว่ามีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ เพราะจะเป็นอย่างไรได้ว่าเครือข่ายใหญ่โตขนาดนี้จะทำงานได้ด้วยตัวเขาคนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งว่านายหัสดิน ไม่มีต้นทุนทางสังคมใดๆ ที่จะมาสร้างเครือข่ายใหญ่โตแบบนี้ได้ด้วยตนเอง แถมท่าทีที่ยอมรับผิดคนเดียวเสร็จสรรพ ก็ชวนสงสัยว่าเป็นการพยายามปกป้องผู้บงการตัวจริง
คำถามคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อจริงๆหรือว่านายหัสดินเป็นหัวโจกเพียงคนเดียว โดยไม่มีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง...
แล้วหากดูจากประวัติของนายหัสดินหรือนายบรรพต พบว่านายหัสดินไม่ได้จบการศึกษาปริญญาใดๆ ช่วงหนึ่งเคยใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในต่างประเทศ เมื่อกลับมาได้เข้าทำงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และย้ายที่ทำงานหลายครั้ง ต่อมานายหัสดินได้ร่วมกับนางสายฝน อินทรสร ผู้ต้องหาอีกคนหนึ่ง จัดตั้งบริษัท แต่ปรากฏว่าขาดทุน จึงเลิกกิจการและถูกฟ้องล้มละลายในปี 2548 นายหัสดินจึงไม่ได้ประกอบอาชีพใดๆ
นอกจากนั้น นายหัสดินยังเคยไปร่วมชุมนุมของกลุ่ม นปช. และมีความคิดต่อต้านสถาบันฯจึงเลียนแบบการจัดรายการวิทยุของบุคคลต่างๆ กระทั่งกลายมาเป็นเครือข่ายบรรพต ขบวนการหมิ่นเบื้องสูงในที่สุด ดังนั้นหากดูเบื้องหลังของนายหัสดินก็จะพบว่ามีความเชื่อมโยงทางการเมืองกับกลุ่ม นปช.
อย่าลืมว่าคนร้ายที่ปล่อยแถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอมออกมา ก็เป็นผู้ช่วยประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จึงเห็นได้ว่าขบวนการหมิ่นเบื้องสูง มีคนของกลุ่มนปช. อยู่เบื้องหลัง จึงเป็นได้ว่าเครือข่ายบรรพตอาจจะมีความเชื่อมโยงกับแดงล้มเจ้ากลุ่มนี้ก็ได้
เชื่อว่าสุดท้ายแล้วเครือข่ายบรรพตก็คงจะยิ่งใหญ่จริงๆ เพราะในที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่สามารถสาวไปถึงผู้บงการตัวจริงได้ แถมยังช่วยตัดตอนไม่ให้สาวไปถึงคนร้ายตัวจริงอีกต่างหาก!