ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กรณี “แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 13 ปลอม” โผล่ว่อนในโลกอินเตอร์เน็ตนั้น ถือเป็นบทพิสูจน์ชัดว่า “ขบวนการล้มเจ้า” มิได้สูญหายไปไหน หากแต่ยังคงทำหน้าที่อย่างขมีขมันตามสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยและแม้จะมีความพยายามในการปรับทัศนคติเพียงใด ก็ไม่สามารถลดทอนความเชื่อของขบวนการล้มเจ้าลงได้
ก็จะสูญหายไปได้อย่างไร ในเมื่อ “หัวหน้าใหญ่” ยังคงยืนเด่นโดยท้าท้ายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และรัฐบาลอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
และชัดเจนหนักขึ้นไปอีกเมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) สามารถไล่ล่าและจับกุม “นายกฤษณ์ บุดดีจีน” อายุ 25 ปี ชายชาว จ.เพชรบูรณ์ ตัวการคนสำคัญในระดับต้นๆ ที่เผยแพร่แถลงการณ์ฉบับดังกล่าวได้ ทั้งนี้ เนื่องเพราะนายกฤษณ์มิได้เป็นแค่ชาวบ้านร้านตลาดธรรมดาที่ประกอบอาชีพเป็นนักดนตรี หากแต่คือ “ผู้ช่วยประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) จังหวัดเพชรบูรณ์”
จากการตรวจสอบข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า หลังแถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอมปรากฏและถูกโพสต์ในอินเตอร์เน็ต นายกฤษณ์ได้นำข้อความดังกล่าวมาโพสต์ต่อให้สมาชิกเพจ 4 พันกว่าคนในเวลาใกล้เคียงกับข้อความแรกเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่านายกฤษณ์เป็นผู้โพสต์ข้อความเป็นคนที่ 2 หรือ 3 รองจากผู้สร้างเอกสารดังกล่าว
ความน่าสนใจของนายกฤษณ์อยู่ตรงที่สถานะของนายกฤษณ์นั้นคือความเป็นแกนนำ นปช.เป็นแกนนำเสื้อแดงระดับตัวเอ้ ซึ่งเข้าร่วมเคลื่อนไหวและทำกิจกรรมร่วมกับคนเสื้อแดงมาอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญยังปรากฏหลักฐานเป็นภาพถ่ายของนายกฤษณ์กับนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และแกนนำคนเสื้อแดงระดับสำคัญเป็นจำนวนมาก อาทิ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งปัจจุบันได้หลบหนีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมก่อตั้งองค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในสหรัฐอเมริกา โดยดำรงตำแหน่งเลขาธิการ , พ.อ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว , น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลูกสาวของ เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล รวมไปถึงหนูหริ่งบก.ลายจุด-นายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง
แถมงานนี้ท่านประธานตู่ส่ง นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไปเป็นทนายเพื่อให้การช่วยเหลือด้านคดีแก่นายกฤษณ์อีกต่างหาก
“เบื้องต้นทราบว่าบุคคลที่ผู้ต้องหารับข้อมูลว่าเป็นสมาชิกกลุ่ม นปช.จ.เพชรบูรณ์เช่นเดียวกัน มีการพูดคุยแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมาโดยตลอด แต่จากการตรวจสอบไม่พบประวัติการกระทำผิดทางคดี เพียงแต่มีแนวคิดทางการเมืองสอดคล้องกับกลุ่มเสื้อแดงเพชรบูรณ์เท่านั้น และทราบว่านายกฤษณ์ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหัวหน้าขบวนการเสื้อแดง จ.เพชรบูรณ์ และเคยเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช.เกือบทุกครั้ง”พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ข้อมูล
ดังนั้น แม้หัวโจกคนเสื้อแดงทั้งธิดาแดง-นางธิดา ถาวรเศรษฐ ตุ๊ดตู่-นายจตุพร พรหมพันธุ์ จะดาหน้าออกมาปฏิเสธโดยใช้วาทกรรมอำพรางอย่างไร ก็ไม่อาจกลบเกลื่อนความจริงได้ว่า นายกฤษณ์ซึ่งเป็นผู้เผยแพร่แถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอมนั้นเป็น “แดงแท้” มิใช่ “แดงเทียม”
สิ่งที่ต้องจับตาและตั้งคำถามกันต่อไปในเมื่อความจริงปรากฏเป็นเช่นนี้ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและประธานคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จะทำอย่างไรกับขบวนการล้มล้างสถาบันที่ยังคงเงยหน้าท้ากฎหมายอยู่เช่นนี้ เพราะต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมารัฐบาลประสบความล้มเหลวในการตามจับตัวผู้ทำการหมิ่นเบื้องสูงหลายราย เช่น นายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ อั้ม เนโกะ,น.ส.ฉัตรวดี อมรพัฒน์ หรือ โรส สาวไทยสัญชาติอังกฤษ , นายตั้ง อาชีวะ หรือเจ๊เพ็ญ นายจักรภพ เพ็ญแข เป็นต้น
โดยเฉพาะในรายของตั้งอาชีวะที่รัฐบาลนิวซีแลนด์ตีแสกหน้ารัฐบาลไทยด้วยการให้วีซ่าในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง ทำให้สังคมไทยยิ่งมองว่ารัฐบาลไทยไม่มีปัญญาดำเนินคดีกับพวกล้มเจ้า
กรณีนายกฤษณ์ก็เช่นกัน รัฐบาลจะต้องสืบสาวและแสวงหาความเชื่อมโยงให้ได้ว่าเรื่องแถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอมนั้น เชื่อมโยงกับแกนนำคนเสื้อแดงรายอื่นๆ หรือไม่ เพราะรัฐบาลรู้อยู่แก่ใจว่า “แดงล้มเจ้า” นั้นมีอยู่จริง และเป็นส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดง แม้คนเสื้อแดงจะไม่ยอมรับก็ตาม
อย่างไรก็ตาม นอกจากกรณีของนายกฤษณ์กับแถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอมแล้ว ยังมีเครือข่ายของขบวนการล้มเจ้าที่น่าสนใจอีกเครือข่ายหนึ่ง นั่นก็คือ เครือข่ายที่มีชื่อว่า “บรรพต”
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ,กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ร่วมกันแถลงผลการจับกุม 6 ผู้ต้องหาเครือข่าย “บรรพต” อันประกอบด้วยนายดำรงค์ ชาญสิทธิโชค หรือลิขิตชีวะ, น.ส.ศิวาพร ปัญญา, นายเงินคูณ อุดมคุณากร, นายไพศิษฐ์ จิรประดับวงศ์ , นางอัญชัญ ปรีเลิศ และนายธารา วานิชพงษ์พันธุ์ ผู้ร่วมเครือข่าย และเป็นผู้ดูแลระบบเพจที่ใช้ในการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะหมิ่นสถาบัน
ทั้งนี้ จากการสืบสวนพบว่าเครือข่าย “บรรพต” เป็นการรวมกลุ่มบุคคลที่มีแนวความคิดที่ต้องการล้มล้างสถาบันพระกษัตริย์ มีการจัดตั้งเครือข่ายแบ่งหน้าที่ทำงานโดยใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่แนวคิดไปสู่ประชาชน เพื่อยุยงปลุกปั่น ให้เกิดความวุ่นวาย บ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่ปี 2554
เพราะเมื่อสาวดูปมเบื้องหลังของเครือข่ายบรรพตแล้ว ก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เนื่องจากเครือข่ายนี้มีการแบ่งหน้าที่ทำงานเป็นระบบ ขนาดตำรวจยังเอ่ยปากว่าขบวนการนี้มีลักษณะองค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งระดับชั้นของการทำงานและสั่งการเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับชั้นผู้นำหรือผู้บงการ เป็นผู้ผลิตแนวความคิดในรูปแบบของสื่อซีดี คลิปเสียง และบทความ ระดับปฏิบัติงานซึ่งรับฟังและช่วยกันเผยแพร่แนวความคิดตามเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ก ยูทิวบ์ และบล็อกเกอร์ และระดับแนวร่วม มีหน้าที่สนับสนุนทางด้านการเงิน รวมทั้งเผยแพร่แนวความคิดไปในวงกว้างส่งผลให้มีบุคคลหลงเชื่อจำนวนหนึ่ง
แสดงเห็นว่าเครือข่ายนี้ไม่ใช่ธรรมดาเป็นอันขาด หากแต่ร่วมมือทำกันเป็นขบวนการจริงจังใหญ่โต เชื่อว่าน่าจะหวังผลทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง
แม้ล่าสุด รัฐบาลจะยังตามจับตัวผู้บงการที่ใช้ชื่อว่า “บรรพต” ไม่ได้ แต่ก็รับรู้ข้อมูลสำคัญแล้วว่า “บรรพต” เป็นใคร โดย ดีเอสไอระบุว่าขณะนี้เชื่อว่าบรรพตยังอยู่ในเมืองไทย แต่พยายามเคลื่อนไหวหลบหนีออกนอกประเทศ โดยผู้ที่ใช้ชื่อบรรพตเป็นคนสูงอายุ ยังไม่เคยถูกออกหมายจับ
นี่นับเป็นสัญญาณที่ดีว่ารัฐบาลกำลังเอาจริงเอาจังในการจับผู้กระทำผิดมาลงโทษมากขึ้น
พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล ผู้บัญชการสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ ดีเอสไอ ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ดีเอสไอกำลังพยายามหาข้อมูลขยายผลใน 3 ส่วนคือ 1.ทีมงานผู้สนับสนุนด้านเทคนิค 2. ทีมคนเขียนคอลัมน์ที่ทำกันเป็นขบวนการ ใช้วิธีหลบซ่อนไอพี ซึ่งต้องใช้เทคนิคในการตรวจสอบ โดยมีคนที่ใช้นามแฝงบรรพตเป็นผู้รวบรวมนำข้อมูลขึ้นโพสต์ทางโซเชียลมีเดีย และ 3.ทีมผู้อยู่เบื้องหลังที่ให้การสนับสนุนด้านการเงิน
แน่นอนกรณีเครือข่ายบรรพตก็ดี กรณีนายกฤษณ์ก็ดี แสดงให้เห็นว่า ขบวนการล้มสถาบันนั้นมีมีการทำงานหลายสาย โดยส่วนใหญ่มีรูปแบบการทำงานที่คล้ายคลึงกันคือใช้สื่อโซเซียลมีเดียเผยแพร่ข่าวสารที่เป็นการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
เรื่องนี้รัฐบาลสมควรหาคำตอบให้กระจ่าง เชื่อว่าหากรัฐบาลสาวไปถึงตัวจริงของ “บรรพต” และตัวการจัดทำแถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอมได้ได้ ก็น่าจะต่อจิ๊กซอว์ได้แล้วว่าใครกันกันแน่ที่เป็นหัวหน้าโจร หรือใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการล้มเจ้าตัวจริง...
ที่สำคัญบิ๊กตู่อย่าลืมว่าผู้ต้องหาที่เผยแพร่แถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอมคือ คนของนปช.หรือกลุ่มคนเสื้อ
ย้อนกลับไปที่เรื่องเครือข่ายบรรพต นอกจากข้อมูลที่ได้รับผ่านตำรวจและดีเอสไอแล้ว ยังได้มีความพยายามที่จะไล่ล่าว่า นายบรรพตตัวจริงคือใคร โดยสำนักข่าวทีนิวส์ และก็ได้กลายเป็นประเด็นวิวาทะที่ได้รับความสนใจจากสังคมและแวดวงวิชาการอย่างสูง
สำนักข่าวทีนิวส์ได้มีการเปรียบเทียบวิเคราะห์เสียงของนายบรรพต และเสียงของ “นายธเนศวร์ เจริญเมือง” นักวิชาการ อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าน้ำเสียง คล้ายคลึงกันมาก จึงคาดว่านายธเนศวร์กับนายบรรพตอาจจะเป็นคนคนเดียวกัน ทำให้นายธเนศวร์ เจริญเมือง ต้องออกมาตอบโต้ด้วยการเขียนเฟซบุ๊กระบุว่าตนเองไม่ใช่บรรพต
อาจารย์ธเนศวร์ชี้แจงว่า “....ผมกำลังทำงานวิจัยอยู่ที่สถาบันศึกษาอุษาคเนย์ (Institute of Southeast Studies - ISEAS) ที่สิงคโปร์ มาอยู่ที่นี่ได้ 5 เดือนแล้วครับ ทำวิจัยเรื่องการเมืองการปกครองท้องถิ่น ไม่นึกว่าสำนักข่าว บางสำนัก จะเสนอข่าวอะไรแบบนี้ เป็นการกล่าวหากัน โดยไม่สำรวจตรวจสอบกันให้ดี
“ก่อนหน้านี้คือเดือนก่อน มีคนบอกว่า มีคนใช้ชื่อ เสธ.น้ำเงิน เขียนลงในเน็ตมาระยะหนึ่งแล้ว แล้วมีคนเอาไปโพสต่อๆกันหลายราย ก็ไม่มีใครมาถามผมว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรผมก็ไม่รู้จักว่าใครคือเสธ.น้ำเงิน จะได้ติดต่อไปหา ขอถามว่าบรรพตเป็นผมได้อย่างไร เคยมีคนทักอยู่ครับว่าผมมีเสียงคล้ายคุณบรรพต ต้องขอสารภาพว่าเคยฟังสัก 2-3 ประโยคเพราะมีคนเอามือถือมาเปิดให้ฟังเลย
“ฟังกันแล้วก็หัวเราะ เพราะมันเหมือน เสียงในเทปที่ยืดยานมากๆ จงใจจะบิดเบือนเสียงให้ไม่ใช่ของจริง มันเป็นเสียงปลอมชัดๆ เพราะเหตุนั้น จึงไม่มีใครเชื่อ แล้วก็คุยกันเรื่องอื่นไปเลย ได้ยินมาว่าคุณบรรพตจัดรายการมาหลายปีมาก ดังนั้น ถ้าเจ้าหน้าที่สงสัยผม ก็คงมาสอบถามผมนานแล้ว หรือมาขอหลักฐานอะไรก็ได้ ผมก็จะยินดีให้ความร่วมมือนะครับ พร้อมเสมอ แต่ที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีใครสอบถามอะไรเลย
“จนกระทั่ง ทีนิวส์ มาทำให้ผมตกเป็นข่าว ภาพที่เห็นนี่ก็ถ่ายปี พ.ศ. 2550 แล้วครับ ที่รัฐนอร์ธ แคโรไลน่า ก็พูดเรื่องเดิม คือ การปกครองท้องถิ่น กับเมืองเชียงใหม่ที่มีปัญหารถติดมายาวนาน ว่าการปกครองท้องถิ่นที่ดี จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างไร”
ในขณะที่ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ได้เขียนแฟนเพจยืนยันว่านายธเนศวร์ เจริญเมือง ไม่ใช่คนเดียวกับบรรพตอย่างแน่นอน ทั้งยังฉะว่าสำนักข่าวดังกล่าวไม่รู้หรือยังไงว่าเสียง “บรรพต”เป็นเสียง “ปลอม” ที่ดัดด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
“…ผมยืนยันได้ล้านเปอร์เซ็นต์เลยว่า “พี่ธเนศวร์” ไม่ใช่ “บรรพต” แน่นอน ผมไม่รู้จักตัว “บรรพต” แต่มีคนเคยบอกผมอยู่ว่า เขามีแบ็คกราวน์ยังไง ที่สำคัญ ผมรู้จัก “พี่ธเนศวร์” ดี ไม่มีทางเป็น “บรรพต” แน่นอน…”
กระนั้นก็ดี ไม่แปลกใจที่สำนักข่าวทีนิวส์ของสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรมจะพุ่งเป้าไปที่นายธเนศวร์ เพราะหากตรวจสอบความสัมพันธ์ก็จะพบว่าเกี่ยวโยงกับระบอบทักษิณและคนเสื้อแดง
นายธเนศวร์ หนึ่งใน “คณะนิติราษฎร์” ที่ยื่นเสนอร่างแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 และหลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร เขาเคยถูก คสช.เรียกเข้าไปรายงานตัว และได้ถูกควบคุมตัวไว้ในค่ายทหารเชียงใหม่ เป็นเวลา 6 วัน
แม้ตอนนี้ จะไม่ทราบแน่ชัดว่า “ตัวจริงนายบรรพต” คือใคร และใครคือผู้จัดทำแถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอม แต่ก็หวังว่า รัฐบาลจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด โดยลากคอตัวการสำคัญของขบวนการมาลงโทษให้จงได้ เพราะเป้าหมายชัดเจนแล้วว่า ใครล้มสถาบัน