ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เหตุการณ์ระเบิดบริเวณสถานีรถไฟฟ้าสยามสแควร์หน้าห้างสยามพารากอนใจกลางเมืองกรุง เมื่อช่วงค่ำวันที่ 1 ก.พ. 2558 จนมีผู้บาดเจ็บสองราย แม้อานุภาพของแรงระเบิดจะไม่ได้ทำลายล้างจนสร้างความเสียหายเหลือคณา แต่ทว่าอานุภาพทำลายล้างในทางการเมืองได้สร้างผลสะเทือนใหญ่หลวง ก่อให้เกิดคำถามกลุ่มแก๊งไหนกันช่างกล้าบังอาจท้าทายอำนาจ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)” และเมื่อคสช.ถูกหยามหน้าเช่นนี้จะยังโลกสวยอยู่ต่อไปอีกหรือไม่?
สิ้นเสียงระเบิดป่วนกรุงลูกแรกหลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 เป็นต้นมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ภายใต้การกุมอำนาจของพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ก็เจองานเข้า เร่งควานหาตัวการจ้าละหวั่น ขณะเดียวกัน กระแสเสียงของสังคมก็ตั้งวงวิเคราะห์กันไปต่างๆ นาๆ หนำซ้ำยังตั้งข้อสงสัยให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) แสบๆ คันๆ ในหัวใจจนอารมณ์บูดอีกจนได้
หากติดตามประมวลผลการวิเคราะห์ คาดเดา รวมทั้งข้อสันนิฐานของฝ่ายรัฐบาลและตำรวจที่รับผิดชอบคดีจนนำไปสู่การออกหมายจับกุมผู้ต้องหา จะพบว่าอย่างน้อยๆ การก่อเหตุสร้างสถานการณ์ป่วนเมืองคราวนี้ จำแนกแยกแยะได้ 3 แนวทางใหญ่ๆ คือ
หนึ่ง แนวการคาดเดาของ "พวกสมองหมา ปัญญาควาย" ที่ตั้งสมมุติฐานทึ่มๆ ทื่อๆ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของพวกนักเรียนช่างกลแถวปทุมวัน เพราะในวันดังกล่าว บัญเอิญตรงกันการจัดงานครบรอบวันสถาปนา "วิทยาเขตอุเทนถวาย" หรืองาน "Blue Day" แต่ข้อนี้ก็ตกไปในวันถัดมาเพราะว่าไม่มีความสมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง
สมมุติฐานที่ไม่น่าเป็นไปได้นี้ถูกตีตกไป โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร. ออกมาให้รายละเอียดถึงระเบิดที่ใช้ในการก่อเหตุว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องประเภทไปป์บอม หรือระเบิดท่อ มีขนาด 10x20 ซ.ม. น้ำหนักประมาณ 2 กก. จุดชนวนด้วยสายไฟ ภายในมีเศษตะปูบรรจุอยู่ด้วย หวังผลให้มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต หากเป็นนักเรียนช่างกล อาวุธที่ใช้จะเป็นระเบิดปิงปองหรืออาวุธปืน แต่ระเบิดที่คนร้ายใช้ในการก่อเหตุคราวนี้เป็นระเบิดที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการประกอบ
สอง แนวทางการคาดเดาของ "พวกสมองเสีย" ที่หาว่าเป็นฝีมือของฝ่ายรัฐบาลเอง ทำให้นายกรัฐมนตรีพลอยอารมณ์เสียไปด้วย และเป็นที่มาของคำตอบจากปากพล.อ.ประยุทธ์ ต่อคำถามของนักข่าวที่ถามว่า ฝ่ายความมั่นคงได้ประเมินหรือไม่ว่าผู้ก่อเหตุต้องการสร้างสถานการณ์เพื่ออะไร?
".....ก็เห็นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับมีการประเมินกันมาแล้วโน่นนี่ ท่านก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว มันจะมาจากใครล่ะ ตนไปทำเองเหรอ ก็มีคนวิพากษณ์วิจารณ์ว่า 1.มาจากรัฐบาลทำเอง คสช.ทำเอง เพื่อต่อกฎอัยการศึก ไอ้พวกนี้สมองเสีย มันเขียนอย่างนี้ได้อย่างไร ไม่มีใครเขาลงทุนขนาดนั้นหรอก 2.การแย่งชิงจ่าฝูงในกองทัพบก การโยกย้ายในกองทัพบกจะมีเดือนตุลาคมโน่น ยังไม่มีปรับย้าย หรือจะเป็นตำรวจนอกแถวก็กำลังตรวจสอบทั้งหมด จะเกี่ยวข้องทหารเก่า ตำรวจเก่าก็ต้องลงโทษอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว ...."
พวก "สมองเสีย" ที่คิดไปเช่นนั้น นอกจากนักวิเคราะห์การเมืองที่นำเสนอผ่านสื่อต่างๆ แล้ว เป้าหมายที่ถูกจับตาเป็นพิเศษ จะเป็นพวกไหนไปไม่ได้นอกจากพวกเสื้อแดงที่ยังซุ่มซ่อนรอจังหวะเวลาและโอกาสหาทางล่อคสช.อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และดูเหมือนการออกมาให้สัมภาษณ์ของแกนนำคนเสื้อแดงจะสอดคล้องกันพอดิบพอดี
ขาใหญ่แดงปากน้ำ นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าน่าจะเป็นฝีมือของคน 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มที่ต้องการให้คงกฎอัยการศึกไว้ โดยอ้างว่ายังมีเหตุรุนแรงอยู่ และ 2. กลุ่มที่มีอำนาจที่ไม่พอใจ ต้องการลองของประลองกำลัง เพื่อสร้างสถานการณ์ส่งสัญญาณไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่มีคนจงใจสร้างขึ้น แต่นายวรชัย ก็ออกตัวยืนยันว่า กลุ่ม นปช.ไม่ได้อยู่เบื้องหลังหรือเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุ เพราะกลุ่ม นปช.ต้องการความสงบ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งโดยเร็ว หากสร้างสถานการณ์เช่นนี้คงไม่เป็นผลดี นอกจากจะมีบางกลุ่มต้องการนำเหตุการณ์ครั้งนี้มาใส่ร้าย
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไปไกลถึงขั้นที่ว่านี่เป็นโอกาสของหัวหน้าคสช.ที่จะหยิบเอา มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฯ 2557 ที่ให้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมาใช้แทนกฎอัยการศึก โดยหัวหน้าคสช.สามารถใช้อำนาจได้ทั้ง 3 ทาง ทั้งนิติบัญญัติ ตุลาการ และบริหาร ซึ่งนายจตุพร เห็นว่าการยกเลิกกฎอัยการศึกแล้วไปใช้มาตรา 44 จะยิ่งหนักกว่าเดิม เพราะภาพลักษณ์ความไม่เป็นประชาธิปไตยจะรุนแรงและหนักกว่าการประกาศใช้กฎอัยการศึก
นั่นเป็นความเห็นของพวก "สมองเสีย" ที่กล่าวหาว่าคสช.สร้างสถานการณ์เพราะต้องการคงกฎอัยการศึกไว้ดูแลบ้านเมืองต่อไป ภายใต้สภาวะที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ กำลังถูกกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศมหามิตรสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามาจุ้นจ้านการเมืองภายในของไทยภายหลังน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติด้วยเสียงข้างมากถอดถอนออกจากตำแหน่งซึ่งจะมีผลให้ถูกแช่แข็งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
และสุดท้าย แนวทางสมมุติฐานของพวก "สมองใส" ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลและตำรวจที่รับผิดชอบคดี ที่ชี้นิ้วไปยังกลุ่มป่วนเมืองจากขั้วอำนาจเก่า โดยมีการโยงไปยังเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่เขตมีนบุรี
".....จากการตรวจสอบเบื้องต้น เหตุที่เกิดขึ้น เป็นระเบิดชนิดเดียวและลักษณะเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วที่ย่านมีนบุรี” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง ฟันธงทันที ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีนบุรีเป็นพื้นที่ของมวลชนคนเสื้อแดงและเคยเกิดเหตุระเบิดไปป์บอมบ์จนมีผู้เสียชีวิตในสภาพเป็นเศษเนื้อ 2 ศพ มาแล้ว เมื่อตอนค่ำของวันที่ 29 มี.ค. 2557 ในช่วงเวลาที่มวลชน กปปส. กำลังชุมนุมรุกไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้พ้นจากตำแหน่ง
จากการทำคดีของตำรวจในคราวนั้น พบระเบิดชนิดไปป์บอมบ์ที่ยังไม่ระเบิดตกอยู่ข้างรถจักรยานยนต์ของผู้ตายหนึ่งลูก และจากการตรวจค้นพบระเบิดที่บ้านเช่าซึ่งห่างจากที่เกิดเหตุเล็กน้อยทั้งหมด 9 ลูก โดยลักษณะระเบิดทำจากท่อนเหล็กยาวประมาณ 10 นิ้วเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 นิ้ว อัดดินระเบิดปิดหัวท้ายต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ใช้ถ่านก้อนขนาด 9 โวลต์ มีสายไฟฟ้าโผล่ออกมา
อย่างไรก็ตาม เวลานั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงานฯ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ตัดตอนให้เป็นเรื่องของคนคึกคะนอง “คดีนี้ผู้ครอบครองระเบิดเสียชีวิตจึงไม่ต้องติดตามจับกุมใคร” แต่ทว่าหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในแฟ้มคดีทำให้ตำรวจนำมาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ระเบิดหน้าห้างพารากอนได้พอดิบพอดี
และต่อมา เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2558 ศาลอาญาก็อนุมัติหมายจับสองผู้ต้องหาที่ก่อเหตุ โดยดูจากลักษณะการก่อเหตุแล้ว ตำรวจเชื่อว่า คนที่ประกอบระเบิดค่อนข้างมีความเชี่ยวชาญ เป็นมืออาชีพ น่าจะเคยก่อเหตุมาแล้ว และเชื่อว่าคนร้ายมีมากกว่า 2 คน ซึ่งจากแนวทางการสืบสวน ระเบิดดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี และที่ย่านมีนบุรี กทม.
ส่วนเป้าหมายของการก่อเหตุครั้งนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ เชื่อว่า เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง เนื่องจากที่ผ่านมาการลอบวางระเบิดส่วนใหญ่ร้อยละ 80 เป็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง ส่วนกรณีที่คนร้ายเลือกวางระเบิดที่ห้างสยามพารากอนซึ่งเป็นห้างใหญ่ใจกลางเมือง เชื่อว่าหวังผลหลายอย่าง รวมทั้งการท้าทายเจ้าหน้าที่ด้วย
แนวทางการดำเนินคดีของตำรวจ ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอำพรางอีกแล้วว่าคสช.กำลังล่อขั้วอำนาจเก่า ไล่เป็นลูกระนาด นับตั้งแต่ สนช. ถอดถอนอดีตนายกรัฐมนตรีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถัดมาเมื่อนายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เข้ามาจุ้นจ้านทั้งเรื่องการถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ และกดดันให้เลิกกฎอัยการศึก ทำให้อดีตส.ส.เพื่อไทย เลือดสูบฉีดคึกคักออกมาวิพากษ์วิจารณ์คสช. จนมีรายการเรียกแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง และอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย มาปรับทัศนคติ
เหตุการณ์ท้าทายอำนาจคสช. ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน และเพิ่มดีกรีความรุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออกเป็นลำดับ คงทำให้คสช.ที่มองโลกสวย ท่องคาถายึดมั่นในแนวทางปรองดองกับขั้วอำนาจเก่าตลอดเวลาที่ผ่านมาได้คำตอบแจ่มแจ้งแล้วว่า กลุ่มอำนาจเก่าสะกดคำว่า "ปรองดอง" ไม่เป็น และพร้อมเสมอที่จะลุกขึ้นมาโค่นอำนาจ คสช. หาได้ซาบซึ้งในไมตรีที่คสช.พยายามหยิบยื่นให้แต่อย่างใด
มองย้อนกลับไป ในนามของความปรองดอง คสช.ปล่อยโอกาสในการจัดการเสี้ยนหนามแผ่นดิน ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อมีการจับกุมอาวุธสงครามจำนวนมาก แต่ในการดำเนินคดีกลับไม่มีการเชื่อมโยงขบวนการไปถึงยังแหล่งต้นตอ ทั้งๆ ที่มีเบาะแสมากมายที่บ่งชี้ว่าเป็นพฤติกรรมของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งมี “ท่อน้ำเลี้ยง” มาจากคนแดนไกล
มองย้อนกลับไป คสช. พลาดโอกาสที่จะขยายผลกรณี “ขอนแก่นโมเดล” ซึ่งปรากฏข่าวในเบื้องต้นว่าโยงใยไปถึงคนบงการ แต่เมื่อมีการสรุปคดีส่งฟ้องในข้อหาก่อการร้ายกับผู้ต้องหาราว 20 คน ก็จบที่ตัวเล็กตัวน้อยไม่มีการสาวให้ลึกลงไปอย่างที่ควรจะเป็น
มองย้อนกลับไป การจับกุมชายชุดดำล่าสุดที่ตอนแรก ระบุว่า เกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม แต่ในที่สุดกองปราบก็รวบรัดแจ้งข้อหาเพียงแค่การพกพาอาวุธเท่านั้น ไม่มีการส่งคดีต่อไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ดูแลคดีก่อการร้าย ไม่มีการขยายผลกรณีที่พบการโอนเงินเข้าบัญชีคนเสื้อแดง ปล่อยให้ทุกอย่างเงียบหายไปกับสายลม ตัวใหญ่ยังคงผึ่งผายจ่ายเงินดูแลลูกกระจ๊อกทั้งที่อยู่ในประเทศ และหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ต่างประเทศอย่างสบายใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมทำให้ขบวนการป่วนเมืองที่กบดานปรับโหมดพร้อมดำเนินการได้ทุกเวลาเมื่อเงื่อนไขสุกงอม ซึ่งก็หมายถึงการถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และการเดินทางเข้ามายังไทยของนายแดเนียล ยังไม่สายเกินไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเลิกโลกสวย ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การบริหารใหม่ ด้วยการดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา สาวให้ลึกถึงต้นตออย่าปล่อยให้คาราคาซังเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินเหมือนที่เกิดขึ้นในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ดูเหมือนพล.อ.ประยุทธ์ จะใคร่ครวญแล้วเห็นว่าถุงมือกำมะหยี่ที่ยื่นไมตรีเพื่อปรองดองคงไม่ได้ผล ดูจากท่าทีที่ให้สัมภาษณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2558 ภายหลังจากมีการออกหมายจับกุมผู้ต้องหาคดีวางระเบิดที่หน้าห้างสยามพารากอนที่บอกว่า สิ่งหนึ่งต้องทำความเข้าใจว่า ไม่ใช่ว่ามีกฎหมายความมั่นคงแล้วหรือมีกฎอัยการศึกแล้วทุกคนจะกลัว
“นี่แสดงว่ามันยังมีอยู่ เข้าใจว่าเราไม่ได้ทำอะไรเข้มงวดขนาดนั้น เขาเลยใช้วิธีการเหล่านี้ และเคยเกิดมาหลายครั้ง ลองไปดูว่าเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นในสถานการณ์ไหน เช่น ปี 53 มีเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงมาตอบโต้รัฐบาล พอปี 56-57 ใช้ความรุนแรงมาตอบโต้กลุ่มต่อต้าน เหตุการณ์แบบนี้มาจากใครคิดกันเอาเอง จากใครไม่รู้ ถ้าไม่ใช่พวกไหนต้องหาตัวพวกที่ว่านี้มา อย่าไปให้ความสำคัญมากนัก .....”
นอกจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยังลั่นวาจาด้วยว่า ใครที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นจะจับหมดทั้งคนที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง คนวางต้องจับ ใครสั่งมันก็ไปสอบมาสาวไปถึงใครจับมาให้หมด ใครไม่อยู่ก็ออกหมายจับไป เพราะที่ผ่านมาให้โอกาสผ่อนผันอะไรเยอะแยะแต่ก็ยังสร้างความรุนแรงเกิดขึ้น
การทบทวนปรับเปลี่ยนท่าทีที่ขึงขังเอาจริงเอาจังของนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ดังกล่าวข้างต้น เป็นสัญญาณชัดเจนที่ คสช.เตรียมไม้แข็งจัดการกับขั้วอำนาจเก่าหลังจากเงื้อง่าราคาแพงเสียเวลา เสียโอกาสมาครึ่งค่อนปี เพราะไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วหากต้องการให้การรัฐประหารคราวนี้ไม่เสียของเปล่า และการลงมือเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้อาจทันการณ์ ไม่เช่นนั้นทางเดินที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เลือกอาจเป็นแม่น้ำ “สายเกินไป”